นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 400 เจอเหล่าไท่ไท่อีกครั้ง
นางพยายมลุกขึ้นนั่ง โจวกุ้ยหลานใช้มือข้างหนึ่งกดนางไว้“อย่าขยับ เดี๋ยวรอยแผลจะปริเอาได้”
เสี่ยวจิ่วนอนกลับไปเงียบๆ ตอนที่โจวกุ้ยหลานยื่นช้อนซุปไปใกล้ริมฝีปากของนาง ริมฝีปากของนางสั่นระริก
“เมื่อคืนข้าก็เป็นคนป้อน ไม่ต้องเกรงใจ”
โจวกุ้ยหลานเดาว่านางรู้สึกเกรงใจ เลยกล่าวขึ้น
เสี่ยวจิ่วหลุบตาลง ขมวดคิ้วอีกครั้ง ครั้งนี้นางไม่สนใจโจวกุ้ยหลานที่ห้ามไว้ พยายามลุกขึ้นนั่ง และรับถ้วยที่อยู่ในมือโจวกุ้ยหลานมาแนบริมฝีปาก จากนั้นดื่มกินจนหมด
การขยับที่รุนแรงทำให้บาดแผลเปิด สีหน้าของนางมีอาการเจ็บแปลบแฉลบผ่าน
โจวกุ้ยหลานรับถ้วยเปล่ามา เอาช้อนวางลงไป จากนั้นเดินไปวางไว้บนโต๊ะ แล้วกลับมานั่ง พยุงช่วยให้นางนอนลง
“เจ้าอยู่ข้างกายข้าตลอดเลยใช่หรือไม่?”
เสี่ยวจิ่วคิดไม่ถึงว่าโจวกุ้ยหลานจะถามคำถามนี้ นางลังเลอยู่สักพักหนึ่ง ถึงได้พยักหน้า
“อย่างนั้นรอยดาบนี้ใช่หรือไม่ว่ามีคนจะลักพาตัวข้า แล้วเจ้าจะปกป้องข้ากับลูกทั้งสองคนของข้าเลยได้รับบาดเจ็บ?”
โจวกุ้ยหลานถามอย่างต่อเนื่อง
เสี่ยวจิ่วไม่เข้าใจว่านางต้องการจะพูดอะไร ชะงักไปพักหนึ่ง แล้วพยักหน้ารับ
โจวกุ้ยหลานสูดหายใจฟุดฟิด“ในเมื่อเจ้าปกป้องพวกเราจนได้รับบาดเจ็บ ทำไมไม่ยอมให้ข้าดูแลเจ้าเพื่อเป็นการตอบแทน?”
“นี่….คือหน้าที่ของข้า”เสี่ยวจิ่วกล่าวขึ้น น้ำเสียงแหบพร่าคล้ายดั่งหินกลิ้งทับพื้น
“ที่จริงเจ้าไม่พูด ข้าก็สามารถเดาได้ เจ้าคือองครักษ์ลับของสวีฉางหลินใช่หรือไม่? และดูแลอยู่ข้างกายข้าตลอด ครั้งนี้เพราะช่วยข้ากับลูกเลยได้รับบาดเจ็บ บาดเจ็บแล้วยังถูกจับเพราะกลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีกับพวกเรา”
เสี่ยวจิ่วแปลกใจ
เห็นนางไม่โต้แย้ง โจวกุ้ยหลานเลยกล่าวอย่างต่อเนื่องว่า“เจ้าช่วยพวกเราอยู่ลับๆหลานหนแล้วใช่หรือไม่?”
“เหตุใดท่าน…..”
กล่าวพูดได้ครึ่งหนึ่ง น้ำเสียงของเสี่ยวจิ่วก็หยุดไป เพราะรู้สึกว่าพอตัวเองไม่ระวังก็จะทำให้เปิดเผยตัวตนได้
“เพราะร่างกายของเจ้าข้าดูหมดแล้ว ด้านบนยังมีบาดแผลใหม่ นับตามเวลา น่าจะเพิ่งได้รับบาดเจ็บ อย่างนั้นก็คือเจ้าปกป้องพวกเราอยู่ตลอด ก็ไม่ใช่บาดเจ็บเพราะพวกเราหรือ?”
โจวกุ้ยหลานกล่าวพูดอย่างแน่วแน่
เสี่ยวจิ่วเหลือบมองเรือนร่างของตนเองอย่างไม่ตั้งใจ ถึงพบว่าไม่ได้สวมใส่ชุด หลายจุดใช้ผ้าพันห่อไว้
สีหน้าซีดเผือดแดงเป็นลูกตำลึงเล็กน้อย ทำให้โจวกุ้ยหลานดูแล้วแปลกประหลาดใจ
แต่เวลานี้โจวกุ้ยหลานไม่คิดจะหยอกล้อนาง นางสูดหายใจเข้าลึกๆ กล่าวว่า“ในเมื่อนอกจากข้าก็ไม่มีใครสามารถดูแลเจ้าได้แล้ว อย่างนั้นก็ไม่ต้องตัดขาดไมตรีเช่นนี้”
เสี่ยวจิ่วจับขอบผ้าห่มแน่น กัดริมฝีปากไม่พูดไม่จา
โจวกุ้ยหลานตบไหล่นางเบาๆ“เจ้าเก่งมาก ถ้าไม่ใช่เจ้าช่วยข้า หลังจากพวกเราเกิดเรื่องที่หมู่บ้านต้าสือก็ไม่มีเสบียงอาหารกินแล้ว เป็นเจ้าที่ช่วยสวีฉางหลินเก็บเสบียงอาหาร ถึงทำให้พวกเราได้รับการช่วยเหลือ ข้านับถือเจ้าจริงๆ เพราะฉะนั้น เจ้าไม่ต้องลำบากใจขนาดนั้น”
เสี่ยวจิ่วไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ตัวเองได้ยินเลย
“พอแล้วๆ นอนลงไปก่อน หลีกเลี่ยงสัมผัสโดนบาดแผล”
โจวกุ้ยหลานประคองนางลงนอนช้าๆอย่างระมัดระวัง จากนั้นห่มผ้าห่มให้นางด้วย
นึกถึงรอยแผลเป็นบาดแผลที่ตนเองให้อยู่บนเรือนร่างของนางเมื่อคืนนี้ โจวกุ้ยหลานก็มีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจแม่นางผู้นี้ขึ้นมา
เสี่ยวจิ่วนอนลง สีแดงยังมีความแดงระเรื่อเล็กน้อย เวลานี้ภายใต้ใบหน้าซีดเผือดด้วย คิดไม่ถึงว่าจะน่ารักอย่างนี้
โจวกุ้ยหลานรู้สึกเบื่อ เลยถามนางขึ้น
ที่สามารถตอบได้ เสี่ยวจิ่วก็ตอบ มีบางอย่างที่ไม่สามารถตอบได้ นางก็เงียบไม่เปิดปากพูด
รอฟ้าสาง โจวกุ้ยหลานก็เข้าใจอะไรขึ้นมาไม่น้อยเลย
สิ่งที่นางคาดเดานั้นไม่ผิดเลยจริงๆ เสี่ยวจิ่วไม่เคยหนีห่างกายนางเลย หลังจากที่สวีฉางหลินหายไปพ้นจากสายตานางแล้ว นางก็จะกลับมาแทน อยู่ใกล้ตัวนางตลอด สามารถปกป้องนางได้ตลอดเวลา
หลังจากนั้นตามมาที่เมืองหลวง หนทางลำบากยากแค้น
“อย่างนั้นเหตุใดเจ้าถึงจะไปล่ะ พูดกับข้ามาตรงๆ ใช้ชีวิตอยู่กับพวกเราไม่ใช่ว่ามันจะสบายขึ้นมาหน่อยหรือ?”
โจวกุ้ยหลานอดถามนางไม่ได้
เสี่ยวจิ่วตอบอย่างแน่วแน่ว่า“ข้าคือองค์รักษ์ลับ”
องค์รักษ์ลับ คือปกป้องอย่างลับๆ กำหนดมาแล้วว่าไม่สามารเปิดเผยได้
โจวกุ้ยหลานหน้าหงาย คิดไม่ถึงว่าจะตอบโต้ไม่ได้
เมื่อถามไปได้อีกสักพักหนึ่ง เสี่ยวจิ่วก็ง่วงแล้วหลับไป
โจวกุ้ยหลานผิงไฟที่อยู่ในเตา หัวสมองคิดอย่างละเอียดกับข้อมูลที่เสี่ยวจิ่วให้นาง
ช่วงใกล้เที่ยง ประตูถูกเคาะ
โจวกุ้ยหลานเปิดประตู ด้านนอกมีพ่อบ้านสวียืนอยู่โผล่ออกมาอย่างกะทันหัน
หลังจากเห็นนาง พ่อบ้านสวีโค้งคำนับ ทำความเคารพโจวกุ้ยหลานแล้วพูดว่า“ฮูหยินน้อย หาครอบครัวของท่านเจอแล้ว อยู่ โรงเตี๊ยมเค่ออวิ่นหลายไม่ทราบว่าท่านจะจัดการอย่างไรต่อขอรับ?”
“เร็วขนาดนั้นเชียว?”โจวกุ้ยหลานทอดถอนใจออกมา
เมืองหลวงใหญ่มาก นี่ยังไม่ได้ใช้เวลาหาทั้งเช้าเลย คิดไม่ถึงว่าเขาจะหาคนเจอแล้ว?
“เป็นสิ่งที่ข้าสมควรทำขอรับ”พ่อบ้านสวียังคงพูดคำสุภาพเช่นนี้ดังเดิม
มีเคารพมาก และก็มีระยะห่างมากด้วย
โจวกุ้ยหลานคิดอยู่สักพักหนึ่ง แล้วสั่งให้พ่อบ้านสวีรอ นางหมุนตัวเดินเข้าไปด้านใน ตะโกนเบาๆขึ้นว่า“พวกเจ้ายังมีคนดูแลอยู่ที่นี่หรือไม่?”
พอจะกล่าวจบ มุมหนึ่งของห้องก็มีเสียงดังมา
นางมองไปตามเสียง เห็นเพียงคานห้องมีศีรษะยื่นมา ผ้าสีดำปิดหน้าอยู่
ส่วนร่างกาย นางมองไม่เห็นเลยสักนิดหนึ่ง
และไม่รู้ว่าเขาอยู่นานแค่ไหนแล้ว สิ่งที่นางกับเสี่ยวจิ่วคุยกันเขาก็ได้ยินหมด
โจวกุ้ยหลาน“ข้ามีภารกิจ จะต้องออกไปจากตรงนี้ เจ้าช่วยข้าดูแลเสี่ยวจิ่วก่อนได้หรือไม่?”
คนคลุมหน้าผู้นั้นพยักหน้า
โจวกุ้ยหลานสบายใจ เดินออกมาเปิดประตูอีกครั้ง พ่อบ้านสวีเห็นนางเดินออกมา เลยก้มหัวคำนับนางอีกครั้ง
“พ่อบ้านสวี ข้าอยากจะไปหาพวกเขา ท่านสะดวกไปส่งข้าหรือไม่?”
“รถม้าเตรียมไว้อยู่ด้านนอกจวนแล้ว ขอเชิญฮูหยินน้อยขอรับ”
ก้นบึ้งหัวใจของโจวกุ้ยหลินชมเชยเขาอย่างมาก นี่เป็นพ่อบ้านอย่างแท้จริง อะไรก็สามารถจัดการได้อย่างละเอียดถี่ถ้วน
นางเดินออกมาแล้วปิดประตู จากนั้นเดิมอ้อมไปมากับพ่อบ้าน เดินออกมานอกจวนจนถึงประตู ก็เห็นด้านนอกมีรถม้าจอดอยู่หนึ่งคัน ด้านหน้ามีคนคุมรถนั่งอยู่ ด้านข้างมีสาวใช้คนหนึ่งยืนอยู่
สองคนนั้นเห็นนางเดินมา รีบหันมาทำความเคารพทันที
โจวกุ้ยหลานรู้สึกว่าจวนหู้กั๋วกงกฎเกณฑ์เยอะ นางปวดหัวเล็กน้อยกล่าวว่า”พ่อบ้านสวี สาวใช้คนนี้ไม่ต้องแล้ว”
“ฮูหยิน นางคือองครักษ์ เสี่ยวฉานอยู่ตรงหน้าเป็นเพียงแค่สาวใช้ขอรับ”
ครั้งนี้พ่อบ้านสวีไม่ได้ตอบคล้อยตาม เขาได้กล่าวอธิบายฟังด้วย
พอพูดเช่นนี้ โจวกุ้ยหลานก็เข้าใจแล้ว เพื่อป้องกันเผื่อเกิดอะไรไม่คาดคิดกับนาง คิดรอบคอบมากจริงๆ พ่อบ้านผู้นี้จัดการเรื่องราวมีทางหนีทีไล่ตลอด….
โจวกุ้ยหลานไม่ได้ปฏิเสธ สาวใช้คนนั้นประคองช่วยนางขึ้นรถ จากนั้นสาวใช้คนนั้นก็เข้าไปนั่งด้านในรถม้าด้วย
ผู้คุมรถม้าฟาดแส้ลงให้ม้าวิ่ง
โจวกุ้ยหลานมองสาวใช้ที่อยู่ตรงข้าม เห็นหูของนางเคลื่อนไหวอยู่เป็นนิจ เลยรู้ว่านางตั้งใจตรวจสอบบริเวณโดยรอบ ก็เลยไม่รบกวนนาง ทำได้เพียงนั่งเบื่ออยู่คนเดียว
รถม้าขับเคลื่อนผ่านสถานที่ครึกครื้นหลายที่ พอมาถึงโรงเตี๊ยมเค่ออวิ่นหลาย ได้ถามหาห้องของพวกเขา พอได้ความแล้วโจวกุ้ยหลานเลยพาคนที่มาด้วยเดินไป
เมื่อเคาะประตู ประตูเปิดออก ก็เห็นเป็นเหล่าไท่ไท่