บทที่ 410 แม่ลูกพานพบ
บริเวณที่มีเสียงร้องตกใจของสตรีลอยมานั้น มีรังสีของยอดฝีมือแผ่นซ่านออกมาอย่างชัดเจน กู้เจียวปิดปากของรุ่ยอ๋องเฟย สื่อสารกับนางด้วยแววตา
รุ่ยอ๋องเฟยตาโตพลางพยักหน้าหงึกหงัก
บริเวณที่พวกนางอยู่กันเป็นถนนสายเล็กๆ ระหว่างตำหนักเหรินโซ่วกับตำหนักคุนหนิง ทิวทัศน์รอบด้านงดงาม มีสิ่งบดบังมากมาย เอื้อต่อการหลบซ่อนอำพรางตัว ด้วยเหตุนี้จึงทำให้อีกฝ่ายเลือกที่นี่
กู้เจียวยังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร นางรู้แค่ว่าหากยามนี้ต้องพารุ่ยอ๋องเฟยเดินหนี แต่ไม่ว่าจะไปตรงไหนก็ถูกคนหลังภูเขาจำลองมองเห็นหมด
กู้เจียวจึงดึงรุ่ยอ๋องเฟยเดินอ้อมหลังต้นไม้ใหญ่ด้านหลังช้าๆ
รุ่ยอ๋องเฟยจับมือกู้เจียวไว้ นางใช้ปลายนิ้วเขียนที่ฝ่ามือกู้เจียวว่า ‘พวกเราไม่ไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นรึ’
กู้เจียวส่ายหน้า นางเขียนฝ่ามือคืนว่า ‘มียอดฝีมือ’ แล้วหยุดเว้น ก่อนเอ่ยขึ้นต่อ “เขาไม่มีรังสีสังหาร”
อีกนัยหนึ่งคือ เขาไม่ได้จะฆ่าสตรีนางนั้น
รุ่ยอ๋องเฟยพยักหน้าเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่
ภูเขาจำลองอยู่ตรงกันข้ามกับต้นไม้ใหญ่พอดี ห่างกันไม่น่าจะเกินยี่สิบก้าว ทั้งคู่กลั้นหายใจเอาไว้
จากความอดทนของกู้เจียวสามารถกลั้นลมหายใจของตัวเองได้ดีมาก รุ่ยอ๋องเฟยยังทำไม่ได้ นางจึงต้องพยายามหายใจให้ช้าที่สุด ทว่าลมหายใจของสตรีนางนั้นกระชั้นยิ่งนัก จึงกลบเสียงหายใจของรุ่ยอ๋องเฟยไปได้ ไม่ได้ทำให้ยอดฝีมือรู้ตัว
เสียงสนทนาด้านหลังภูเขาจำลองลอยมารางๆ
“เจ้าเองรึ จะ…เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร เจ้าทำอะไรชุนอิ๋ง”
รุ่ยอ๋องเฟยได้ยินชื่อนี้จู่ๆ ขมับก็เต้นตุบๆ ขึ้นมา
กู้เจียวมองนางอย่างไม่เข้าใจ
นางจับมือกู้เจียวขึ้นมา ก่อนเขียนลงฝ่ามือว่า ‘ชุนอิ๋งเป็นสาวใช้ข้างกายไท่จื่อเฟย’
กู้เจียวเลิกคิ้ว ดังนั้นสตรีที่กำลังพูดอยู่ก็คือ…
สตรีนางนั้นกับยอดฝีมือลดเสียงเบาลง ฟังดูแล้วแตกต่างจากเสียงสนทนายามปกติ ดังนั้นดูจากน้ำเสียงอย่างเดียวแล้วยากที่จะฟังออกว่าอีกฝ่ายคนนั้นจะเป็นคนที่นางเดาไว้ในใจหรือไม่
ทว่านางไม่ได้รีบร้อน อย่างไรเสียอีกเดี๋ยวพวกเขาสองคนก็ต้องออกมาจากหลังภูเขาจำลองอยู่แล้ว
เสียงสนทนายังคงดำเนินต่อไป
“แค่สกัดจุดหลับของนางเท่านั้น ครึ่งชั่วยามให้หลังก็คลายเองได้”
กู้เจียว อ๋อ นางก็อยากเรียนเช่นกัน
สกัดจุดหลับของสามี จากนั้นก็ทำอย่างนั้นอย่างนี้
ยอดฝีมือเป็นเสียงบุรุษ
สตรีนางนั้น “ข้าว่าเจ้าคงเสียสติไปแล้วกระมัง นี่มันวังหลวงนะ! กลางวันแสกๆ…เจ้าไม่กลัวคนจะเห็นเข้ารึ!”
เสียงนี้ฟังดูแล้วค่อนข้างเดือดดาลทีเดียว
ยอดฝีมือหัวเราะเสียงเย็น “ใครให้เจ้าเอาแต่หลบข้ากันล่ะ ข้าจึงต้องใช้วิธีนี้น่ะสิ”
“เจ้าอย่าเข้ามานะ!”
สตรีนางนั้นตวาดลั่น
เสียงฝีเท้าเร่งร้อนดังลอยมาจากหลังภูเขาจำลอง คงจะเป็นสตรีนางนั้นที่หลบหลีกยอดฝีมือแล้วถอยหลังด้วยฝีเท้าซวนเซ
น่าเสียดายที่ถอยไปได้ไม่ไกลกู้เจียวก็เห็นว่าแผ่นหลังนางชนภูเขาจำลองแล้ว
ยอดฝีมือคล้ายประนีประนอมให้ “เอาละ ข้าไม่เดินไปใกล้ แต่เจ้าอย่าทำร้ายตัวเอง”
สตรีนางนั้นเอ่ยเสียงเย็น “เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่”
ยอดฝีมือหัวเราะอย่างนึกสนุก “ข้าอยากทำอะไรเจ้าไม่รู้รึ”
“เจ้า…”
“ดูเจ้าตกใจเข้าสิ วางใจเถิด วันนี้ข้าไม่ได้คิดจะทำอะไร ข้าแค่มาเพื่อบอกเจ้าว่า…”
ประโยคส่วนท้ายกู้เจียวกับรุ่ยอ๋องเฟยได้ยินไม่ชัด ยอดฝีมือคล้ายขยับชิดริมหูของสตรีนางนั้น
จากนั้นก็เกิดเสียงดังกังวานลอยมาจากหลังภูเขาจำลอง
รุ่ยอ๋องเฟยปากอ้าตาค้างกะพริบตาปริบๆ นี่กำลังตบหน้ารึ
กู้เจียวพยักหน้า ฟังเสียงแล้วเหมือนจะใช่นะ
หลังจากเสียงตบหน้านั้นแล้ว หลังภูเขาจำลองก็ไร้เสียงสนทนาใดลอยมาอีก ยอดฝีมือคงจะจากไปแล้ว เสียงหอบหายใจของสตรีนางนั้นยังคงอยู่
กู้เจียวกับรุ่ยอ๋องเฟยไม่มีใครจากไปสักคน ทั้งคู่อยากจะดูว่าสตรีหลังภูเขาจำลองเป็นใคร
ทั้งคู่ตั้งตารอคอย ไม่รู้เหมือนกันว่ารออยู่นานเท่าใด ในที่สุดสตรีด้านหลังภูเขาจำลองก็เดินออกมา
รุ่ยอ๋องเฟยพอเห็นชัดๆ ก็รีบปิดปากตัวเองไว้ทันที!
เหตุใดจึงเป็นนางไปได้
กู้เจียวเดาไว้แต่แรกแล้ว นางจึงไม่ได้ตกใจมากมายอะไร
ในขณะนั้นเอง สาวใช้ที่ถูกรุ่ยอ๋องเฟยทิ้งไว้ที่สวนหลวงเนิ่นนานไม่เห็นรุ่ยอ๋องเฟยกลับไปเสียที จึงทนไม่ไหวเดินมาหาทางนี้
“อ๋องเฟย! อ๋องเฟยอยู่ที่นี่นี่เองเพคะ!”
รุ่ยอ๋องเฟยยามนี้อยากหลบก็หลบไม่ทันแล้ว นางจึงกัดฟันเดินออกมาจากหลังต้นไม้ใหญ่
กู้เจียวก็สาวเท้าออกมาเช่นกัน
“อ๋องเฟย” สาวใช้คำนับให้รุ่ยอ๋องเฟย นางไม่เคยเจอกู้เจียวมาก่อนเลย จึงไม่ได้คำนับให้กู้เจียว ทว่าพอนางเห็นสตรีที่เดินออกมาจากหลังภูเขาจำลองจึงรีบค้อมกายให้ “ไท่จื่อเฟย!”
รุ่ยอ๋องเฟยมุมปากกระตุก นี่มันน่ากระอักกระอ่วนยิ่งนัก…
รุ่ยอ๋องเฟยย่อมไม่ยอมรับว่าตัวเองแอบฟังไท่จื่อเฟยอยู่แล้ว นางกระแอมในลำคอ ปากยิ้มตาไม่ยิ้มเอ่ยกับเวินหลินหลัง “ไท่จื่อเฟยก็จะไปถวายพระพรเสด็จแม่เช่นกันหรือ ข้าเพิ่งออกมาจากตำหนักเสด็จแม่ ระหว่างทางเจอหมอกู้เข้า กำลังคิดว่าจะเชิญหมอกู้ไปนั่งเล่นที่สวนหลวงอยู่พอดี ถือโอกาสช่วยข้าจับชีพจรดูว่าเด็กในท้องข้าเป็นชายหรือหญิง”
ประโยคนี้ทิ่มแทงดวงใจไท่จื่อเฟยเข้าอย่างจัง
ไท่จื่อเฟยกับไท่จื่ออภิเษกกันมาเกือบสองปีแล้ว ไท่จื่อโปรดปรานนางเพียงคนเดียว น่าเสียดายที่ในท้องนางแม้แต่จะพองก็ยังไม่พองขึ้นมา เซียวฮองเฮาร้อนใจจะแย่อยู่แล้ว
ไท่จื่อเฟยมองรุ่ยอ๋องเฟยกับกู้เจียวอย่างลุ่มลึก ไม่รู้ว่าถูกคำพูดของรุ่ยอ๋องเฟยแทงใจดำหรือไม่ นางไม่ได้ถามอย่างอื่น เพียงเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าก็กำลังจะไปถวายพระพรเสด็จแม่อยู่พอดีเลย ในเมื่อรุ่ยอ๋องเฟยไปมาแล้ว เช่นนั้นข้าก็คงไม่ชวนแล้วกัน”
นางเอ่ยพลางมองไปยังกู้เจียว “หมอกู้กลับเหมือนคนในวังเสียยิ่งกว่ารุ่ยอ๋องเฟยแล้ว”
รุ่ยอ๋องเฟยเป็นสะใภ้แห่งราชวงศ์ จนใจที่รุ่ยอ๋องแต่งงานแล้วแยกตัวไปอยู่จวนตัวเอง แน่นอนว่ารุ่ยอ๋องเฟยย่อมไม่อาจพักอยู่ในวังได้อีก
แต่กู้เจียวกลับเข้าออกได้อิสระ อยากจะพักก็พัก
กู้เจียวเอ่ยอย่างพึมพำ “ช่วยไม่ได้ มีคนโปรดปรานนี่”
ไท่จื่อเฟย “…”
กู้เจียวกับรุ่ยอ๋องเฟย ‘ทักทาย’ นานเกินไปแล้ว ทั้งคู่จึงเดินไปทางสวนหลวง
รุ่ยอ๋องเฟยหันกลับมามองสาวใช้ด้านหลังที่ตามมาไกลๆ ก่อนกระซิบเบาๆ “เจ้าว่า…บุรุษคนนั้นเป็นใคร”
กู้เจียวมองนางอย่างแปลกใจ “ประโยคนี้ข้าควรเป็นคนถามท่านมากกว่ากระมัง”
พวกเราสองคนใครกันแน่เป็นสะใภ้ของราชวงศ์ คิดว่าตนมาวังหลวงบ่อยๆ แล้วจะรู้จักคนในวังมากกว่านางรึ
รุ่ยอ๋องเฟยครุ่นคิดพลางเอ่ย “ยามนี้องค์ชายที่ยังประทับอยู่ในวังมีแค่องค์ชายสี่ของมู่เจาอี๋กับองค์ชายห้าของซูเฟย เจ้าหกเจ้าเจ็ดยังเล็กอยู่คงไม่ใช่พวกเขาสองคนหรอก”
กู้เจียวถาม “เหตุใดจึงคิดว่าเป็นองค์ชายแน่ๆ”
“หรือว่าจะเป็นฝ่าบาท!!!” รุ่ยอ๋องเฟยตกใจยกใหญ่
กู้เจียว “…”
เจ้าคิดไปไหนแล้วนั่น…
ไม่มีทางเป็นฝ่าบาทหรอก ฝ่าบาทไม่มีวรยุทธ์ อีกอย่างความสัมพันธ์ของไท่จื่อเฟยกับบุรุษคนนั้นก็เหมือนจะคลุมเครือด้วย
ทั้งสองลากันตรงสวนหลวง รุ่ยอ๋องเฟยกลับไปที่จวนรุ่ยอ๋อง กู้เจียวไปตำหนักเหรินโซ่ว มอบผลไม้เชื่อมที่ท่านปู่หมักเองให้แก่ท่านย่า อีกทั้งยังป่าวประกาศอย่างยิ่งใหญ่ว่าท่านย่าสามารถกินเพิ่มได้วันละเม็ด
ทว่าอีกด้านหนึ่ง เซียวลิ่วหลังบรรยายเสริมให้พวกขุนนางเสร็จสิ้นแล้ว วันนี้บรรยายเกี่ยวกับกฎหมายเป็นหลัก
ในฐานะที่เป็นขุนนางในสังกัดหกกรม นึกไม่ถึงว่าแม้แต่กฎหมายและฎีกาของแคว้นเจายังท่องไม่ครบ คิดๆ ดูแล้วช่างเป็นเรื่องน่าเศร้านัก
ทั้งเป็นความเศร้าของขุนนาง และเศร้าของราชสำนัก
รถม้าของสำนักจัดสอบมาส่งเซียวลิ่วหลังกลับสำนักฮั่นหลิน
เมื่อผ่านร้านขนมเปี๊ยะร้านนั้น เซียวลิ่วหลังก็นึกถึงขนมเปี๊ยะบ๊วยแห้งที่นิ่มจนเสียรสชาติเมื่อคืนนี้ แล้วก็นึกไปถึงสีหน้าผิดหวังเล็กๆ บนหน้ากู้เจียว ความคิดเขาพลันแล่น ให้รถม้าจอดอยู่ที่นี่
เซียวลิ่วหลังเอ่ย “เจ้ากลับสำนักจัดสอบเลย สำนักฮั่นหลินอยู่ตรงหน้านี่เอง”
“ขอรับ”
คนขับรถม้าเคลื่อนรถจากไป
แผงลอยร้านขนมเปี๊ยะตั้งอยู่หน้าประตู
เซียวลิ่วหลังเดินไปหา เอ่ยกับเถ้าแก่เนี้ยะที่ยุ่งอยู่หน้าร้านคนเดียว “ข้าเอาขนมเปี๊ยะไส้บ๊วยสิบชิ้น”
เถ้าแก่เนี้ยะบอก “เหลือชิ้นเดียวแล้ว”
“เช่นนั้นก็…”
“ข้าเอาขนมเปี๊ยะไส้บ๊วยหนึ่งชิ้น”
อีกเสียงหนึ่งดังขึ้นแทบจะพร้อมกันกับเซียวลิ่วหลังเลย
นั่นเป็นลูกค้าสตรีที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวข้างเซียวลิ่วหลัง เถ้าแก่เนี้ยะมองเซียวลิ่วหลังแล้วก็หันไปมองลูกค้าคนนั้น ก่อนจะเอ่ยถาม “พวกเจ้าสองคนใครจะซื้อชิ้นสุดท้ายกันแน่”
“ข้า” เซียวลิ่วหลังบอกอย่างหนักแน่น
เขาไม่ได้หันมองลูกค้าสตรี แต่ลูกค้าสตรีกลับมองเขาอย่างแปลกใจ
พอไม่มองก็ไม่อะไรหรอก พอได้มองแล้วถุงเงินในมือนางพลันร่วงลงพื้นทันที!
ในที่สุดเซียวลิ่วหลังจึงมองนางแวบหนึ่ง และแวบนี้เอง แขนเซียวลิ่วหลังที่ยื่นจ่ายเงินให้เถ้าแก่เนี้ยะก็แข็งทื่อทันที
“เจ้าคือ…” อวี้จิ่นคว้าแขนของเซียวลิ่วหลังไว้!
“ไม่ใช่ เจ้าจำผิดแล้ว” เซียวลิ่วหลังเบนสายตาหนี วางเหรียญไว้บนโต๊ะ แล้วหยิบขนมเปี๊ยะเดินหนีไป
อวี้จิ่นสีหน้าพลันเปลี่ยน “ช้าก่อน!”
“นี่! ใต้เท้า! ให้ข้ามาเกินน่ะ!” เถ้าแก่เนี้ยะชูเหรียญขึ้นสองเหรียญพลางตะโกนไปทางเซียวลิ่วหลัง
เซียวลิ่วหลังจับไม้เท้าเร่งฝีเท้าเข้าไปในตรอกด้านข้างอย่างรวดเร็ว
เมื่ออวี้จิ่นตามไปเขาก็หลบเข้าไปในร้านร้านหนึ่งแล้ว
อวี้จิ่นหาแถวๆ นั้นอยู่นานก็ไม่พบแม้แต่เงาของเซียวลิ่วหลัง สุดท้ายจึงจากไปด้วยความผิดหวังและหดหู่
เซียวลิ่วหลังพรูลมหายใจยาวเหยียดอย่างโล่งอก
ยังดีที่ไม่โดนจับได้
เขาเดินออกมาจากห้องที่กั้นขึ้นของร้านเสื้อผ้าเย็บสำเร็จ ไม่รู้ว่าเมื่อครู่ตอนหลบอวี้จิ่นเดินเร็วไปหรือไม่ เท้าซ้ายที่ปกติดีจึงพลิก เขาจึงล้มคะมำไปข้างหน้า
บังเอิญมีลูกค้าคนหนึ่งเลือกเสื้อผ้าเสร็จหันหลังเดินมาทางนี้พอดี
เซียวลิ่วหลังจึงชนเข้ากับไหล่นางเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ แล้วล้มลงกับพื้นอย่างอนาถ ไม้เท้าในมือก็ร่วงออกไป
สาวใช้ตกใจ “องค์หญิง! ท่านเป็นอะไรหรือไม่เพคะ”
องค์หญิงซิ่นหยางโบกมือนิ่งๆ “ไม่เป็นไร”
นางมองไปยังคนที่ดูเหมือนจะเป็นขุนนางฮั่นหลินซึ่งถูกตนสกัดขาล้ม สายตาตกลงบนท้ายทอยเขา ก่อนเอ่ยถาม “ใต้เท้าท่านนี้ เป็นอะไรหรือไม่”