War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 1880
ตอนที่ 1,880 : ไล่ล่าไปถึงภูมิภาคเบื้องบน!

“ตอนแรกนางหนีไปยังคฤหาสน์คลื่นขจีสกุลหานของหานเฉวี่ยไน่ สุดท้ายก็เป็นคนของบิดาข้าที่ไปรับตัวนางกลับตำหนักเมฆาคราม…”

ได้ยินคำถามของหนานกงยี่ ต้วนหลิงเทียนก็กล่าวตอบออกไปตามตรง

อย่างไรก็ตามพอกล่าวจบสีหน้าแย้มยิ้มของเขากลับกลายเป็นเย็นชา สองหมัดยังกำแน่นจนข้อขาว แววตาเผยประกายเย็นเยียบวูบวาบ

คนของบิดาเขาที่ไปรับตัวลี่เฟยมาก็คือกู่มี่…

พอนึกถึงกู่มี่ขึ้นมา…ภาพจำที่อีกฝ่ายตายตกเมื่อไม่กี่วันก่อนยังสดใหม่ในใจคล้ายพึ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน…

ถึงแม้ว่าการตายของชายชราจะไม่ได้เป็นเพราะเขาโดยตรง หากแต่ถ้ากล่าวถึงโดยอ้อมแล้ว มันเป็นเพราะเขาล้วนๆ…

สุดท้ายเป็นเพราะเขาครอบครอง ‘ตราผนึกมาร’ จึงชักนำยอดฝีมือจากภูมิภาคเบื้องบนให้บุกมาแย่งชิงด้วยความโลภ แถมคนที่มายังเป็นถึงอาวุโสระดับสูงของลัทธิอารามทมิฬ…เซี่ยจง!

หากไม่ใช่เพราะเขา ไหนเลยเซี่ยจงจะลงมายังภูมิภาคเบื้องล่าง? ไหนเลยมันจะบุกมาตำหนักเมฆาคราม? แล้วไหนเลยผู้อาวุโสกู่ยังต้องมาตกตายแบบนี้ได้?

อีกทั้งไหนเลยหน่วยองครักษ์เกราะทมิฬทั้ง 10 ต้องตายตก!

ด้วยเหตุนี้ใจต้วนหลิงเทียนถึงได้รู้สึกผิดนัก อดโทษตัวเองไม่ได้เรื่องการตายของทุกคน เช่นนั้นเขาจึงลอบปฏิญาณในใจ

วันหน้า ไม่ว่าจะเป็นการล้างแค้นเซี่ยจงเรื่องที่มันทำกับองครักษ์เกราะทมิฬทั้ง 10 ก็ดี ล้างแค้นมันที่ฆ่าอาวุโสกู่มี่คนของตำหนักเมฆาครามก็ดี หรือกระทั่งล้างความอัปยศที่มันยัดเยียดมาให้ก็ดี…มันต้องชดใช้!

ต่อให้เซี่ยจงจะเป็นอาวุโสระดับสูงของลัทธิอารามทมิฬ กระทั่งมีลัทธิอารามทมิฬหนุนหลัง

คนที่เขาอยากฆ่า มันต้องตาย!

ในแง่ของความภาคภูมิใจในตัวเองแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็มีไม่ด้อยไปกว่าจูลู่ฉี อดีตจ้าววังนภาของตำหนักฟ้าลี้ลับเลย

หากแต่แม้เขาจะมีความภาคภูมิใจในตัวเองอย่างจูลู่ฉี เขาก็ไม่มีวันสิ้นคิดถึงขั้นหันไปเดินบนเส้นทางมาร บ่มเพาะพลังด้วยอวิชชาชั่วร้ายพรรค์นั้นเพื่อล้างแค้น

แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะทนมองศัตรูใช้ชีวิตอยู่อย่างสบายใจ!

เขาจะหาหนทางล้างแค้นมันด้วยตัวเอง!

เมื่อเปรียบเทียบกับจูลู่ฉีแล้ว ข้อดีที่เหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัดก็คือ เขายังถือเป็นรุ่นเยาว์คนหนึ่ง ยังมีพื้นที่ว่างให้เติบโตก้าวหน้าอีกมากมาย…ตราบใดที่มีเวลาให้มากพอ พลังฝึกปรือของเขาต้องก้าวข้ามเซี่ยจงได้แน่!

วันนั้นมาถึงเมื่อไหร่ ก็คือวันตายของเซี่ยจง!

“ต้วนหลิงเทียน…เจ้าเป็นอะไรไป ข้ากล่าวอะไรผิดหรือ?”

หนานกงยี่รีบถามออกมาด้วยความกระวนกระวายใจ พอเห็นว่าหลังตอบคำถามสีหน้าท่าทีต้วนหลิงเทียนก็เปลี่ยนไปทันที

“เจ้าคิดมากไปแล้ว ไม่เกี่ยวกับเจ้าหรอก”

ได้ยินคำถามด้วยเสียงกังวลของหนานกงยี่ต้วนหลิงเทียนพลันดึงสติกลับมาทันที กล่าวตอบไปด้วยน้ำเสียงไม่เป็นอะไร

หลังจากนั้นเขาก็ว่ายตามองทุกคนรอบหนึ่งด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่จะไปหยุดยังร่างป๋ายลี่หงพร้อมกล่าวแนะนำลี่เฟยออกไปทันที “ศิษย์พี่นี่คือคู่หมั้นของข้าที่เคยเล่าให้ท่านฟัง ลี่เฟย”

“ยินดีที่ได้รู้จักน้องสะใภ้!”

ป๋ายลี่หงแย้มยิ้มอย่างยินดี กล่าวทักทายลี่เฟยอย่างมากอัธยาศัย ในใจยังลอบคิดไป ‘สายตาศิษย์น้องช่างประเสริฐนัก’

“ศิษย์พี่ป๋ายลี่”

ลี่เฟยรีบตอบทันที นางเองก็รู้ดีว่าฐานะของป่ายลี่หงในใจบุรุษของนางไม่ธรรมดาเลย เช่นนั้นนางจึงไม่คิดละเลยอีกฝ่าย

หลังจากกล่าวแนะนำตัวกันแล้ว สายตาของป๋ายลี่หงก็มาหยุดจ้องที่เด็กชายตัวน้อยให้อ้อมแขนลี่เฟยทันที “เด็กน้อยนี่บุตรชายเจ้าหรือ เรียกว่าอะไรเล่า?”

“เนี่ยนเทียน ต้วนเนี่ยนเทียน”

ลี่เฟยกล่าวตอบด้วยรอยยิ้ม

“ฮัยยา ต้วนหลิงเทียน! ยิ่งมาเจ้ายิ่งทำให้ข้าอิจฉาแทบตายแล้ว!”

หนานกงยี่มองไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาระราน กล่าวออกด้วยน้ำเสียงประชด “ไม่เพียงพรสวรรค์เจ้าจะฝืนฟ้าท้าทายสวรรค์ แต่เจ้ายังมีภูมิหลังอันยิ่งใหญ่น่ากลัวไปอีก…ซำร้ายเจ้ายังมีฮูหยินงดงามเช่นนี้! นับว่าประสบความสำเร็จในชีวิตยิ่งนัก! พวกเราก็มิใช่ผู้คนเหมือนกันหรือไร ไฉนสวรรค์ลำเอียงดูแลแต่เจ้าดีขนาดนี้เล่า ไม่คิดให้ผู้อื่นมีที่ยืนบ้างหรือไรกัน…”

ในน้ำเสียงของหนานกงยี่นั้นนอกจากประชดด้วยอิจฉาแล้วยังมีความน้อยใจแฝงอยู่

แต่แน่นอนว่ามันเพียงกล่าวหยอกล้อเท่านั้น

แถมสีหน้าท่าทางยามกล่าวยังแลดูตลกนัก ย่อมเรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนได้ไม่ยาก ทำให้บรรยากาศโดยรอบผ่อนคลายลงทันที

“ศิษย์พี่ ลุงเฟิ่ง…พวกท่านคงได้ยินข่าวของข้าบ้างแล้ว ตอนนี้ที่ข้ากลับมาก็ไม่มีอะไรมาก ข้าคิดพาทุกคนไปยังตำหนักเมฆาคราม…เทียบกับตระกูลซือถูแล้ว ว่ากันตรงๆที่ตำหนักเมฆาครามนับว่ามีสภาพแวดล้อมดีกว่ามาก แถมยังปลอดภัยกว่ามากอีกด้วย”

ต้วนหลิงเทียนกล่าวจุดประสงค์การมาครั้งนี้ออกมาตรงๆ

“ไปที่ตำหนักเมฆาครามหรือ?”

ได้ยินคำของต้วนหลิงเทียน ไม่ว่าจะเป็นคู่แฝดหนานกง หรือเฉินเฉ่าช่วยก็ทำตาลุกวาวขึ้นมาทันที

มีคำกล่าวที่ว่า ‘น้ำไหลลงต่ำคนขวนขวายขึ้นที่สูง’ หากมีสิ่งที่ดียิ่งกว่าไหนเลยพวกมันจะไม่ต้องการ?

การไปยังตำหนักเมฆาครามนั่น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นการยกระดับพัฒนาไปสู่สิ่งที่ดีกว่าสำหรับพวกมัน!

“ศิษย์พี่ ลุงเฟิ่ง แล้วพวกท่านว่าอย่างไรบ้าง?”

ต้วนหลิงเทียนรู้ได้ทันทีว่าทุกคนยินดีไม่น้อยเรื่องไปยังตำหนักเมฆาคราม สหายของเขาทั้งหลายยังถึงกับยินดีออกนอกหน้าออกตา จึงหันไปมองถามความเห็นกับเฟิ่งหวู่เต้าและป๋ายลี่หงทันที

“ข้าเห็นด้วย”

ป๋ายลี่หงยิ้มกล่าว

สำหรับมันแล้วในแดนดินนี้ที่ใดก็คงดีไม่เท่าตำหนักเมฆาครามแน่นอน…

“ข้าไม่ขัดข้องอะไร…แต่หากเทียนหวู่ย้อนกลับมา…”

เฟิ่งหวู่เต้าเผยความลังเล

“ลุงเฟิ่ง ตอนนี้เกรงว่าเรื่องราวของข้าคงแพร่กระจายไปทั่วภูมิภาคเบื้องล่างแล้ว…หากท่านเป็นเทียนหวู่ ท่านจะทำอย่างไรหลังได้ยินเรื่องของข้า?”

ต้วนหลิงเทียนกล่าวถาม

“แน่นอนว่าต้องไปตำหนักเมฆาครามเพื่อตามหาเจ้า…ตกลง! ข้าจะไปตำหนักเมฆาครามกับเจ้า!”

เฟิ่งหวู่เต้าที่ยังลังเลสองจิตสองใจ พอได้ยินคำถามนี้ของต้วนหลิงเทียนชี้แนะ มันก็ตาสว่างทันที!

สำหรับฉงเฉวียนกับโฉดคลุมทองนั้นต้วนหลิงเทียนไม่จำเป็นต้องถาม เพราะเขารู้ดีว่าเขาอยู่ไหนทั้งคู่ล้วนอยากอยู่ที่นั่นทั้งสิ้น ส่วนครูอย่างซื่อหม่าฉางฟง ก็ยินดีติดตามเขาไปอยู่แล้ว

“เอาล่ะ ในเมื่อทุกคนเห็นด้วย งั้นไปร่ำลาผู้นำตระกูลซือถูให้เป็นเรื่องราวกับข้าเลยดีหรือไม่?”

ต้วนหลิงเทียนถามออกมาอีกครั้ง คิดพาป๋ายลี่หงและคนอื่นๆไปลาผู้นำตระกูลซือถู

“ได้!”

เมื่อได้ยินคำตอบของป๋ายลี่หงและคนอื่นๆว่าไม่ขัดข้องอะไร เขาก็พาทั้งหมดไปยังเรือนที่พักของผู้นำตระกูลซือถูทันที

ไม่นานก็ได้พบคน พ่อลูกตระกูลซือถูหน้าตายังแลดูไม่เปลี่ยน

ต้วนหลิงเทียนกล่าวขอบคุณผู้นำซือถูจากใจ เพราะเขาได้พึ่งพาอาศัยตระกูลซือถูไม่น้อย

อย่างไรก็ตามการพบกับผู้นำซือถูครั้งนี้ความสบายๆเหมือนครั้งในอดีตก็ไม่มีอยู่อีกต่อไป อีกฝ่ายยังคล้ายจะกลายเป็นคนแปลกหน้าสำหรับเขาไปแล้ว

ในกาลก่อนแม้ผู้นำตระกูลซือถูจะเคารพเขา แต่มันก็ไม่ได้มากมายขนาดจนถึงขั้นหวาดกลัวไม่กล้าแม้แต่จะสบตาแบบนี้

ทว่าเรื่องที่ผู้นำตระกูลซือถูเปลี่ยนแปลงไปเขาเองก็เข้าใจดี ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่า ฐานะ ในปัจจุบันของเขา

แต่ก่อนนั้นอีกฝ่ายเคารพนับถือเขาเพราะพลังสามารถส่วนตัว แต่ยังไม่ถึงขั้นกริ่งเกรงหวาดกลัวอะไรเพราะเขาไร้ภูมิหลัง

ทว่าตอนนี้เขาไม่เพียงแต่จะเป็นถึงยอดฝีมือขอบเขตเซียนมนุษย์ แต่ยังเป็นถึงนายน้อยตำหนักเมฆาคราม!

ตำหนักเมฆาครามคือขุมพลังกึ่งชั้น 3!

ในฐานะประมุขตระกูลซือถู มันเป็นแค่ผู้นำขุมพลังชั้น 7 เท่านั้น ไหนเลยจะกล้าตีตัวเสมอต้วนหลิงเทียนนายน้อยตำหนักเมฆาครามอีกต่อไป

“ศิษย์น้องเจ้าคิดเดินทางออกจากภูมิภาคเบื้องล่างแล้วงั้นหรือ?”

ระหว่างเดินทางออกจากประเทศฝูเฟิงเพื่อไปยังตำหนักเมฆาคราม ต้วนหลิงเทียนก็ได้เล่าแผนการเดินทางของเขาให้ทุกคนรับทราบ

“ใช่”

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ ก่อนที่จะทอดตามองไปยังขอบฟ้าไกลอย่างเลื่อนลอย “มีคนที่กำลังเฝ้ารอข้าอยู่ที่นั่น…”

ขณะเดียวกันในใจต้วนหลิงเทียนก็ปรากฏร่างงามขึ้นมาอย่างไม่ทันรู้ตัว

ไม่ใช่ใครที่ไหน คู่หมั้นอีกคนหนึ่งของเขา เค่อเอ๋อ

ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมาแบบนี้ ป๋ายลี่หงกับคนอื่นๆเองก็พอเดาได้ว่าคนที่เฝ้ารอต้วนหลิงเทียนอยู่เป็นใคร

จังหวะนี้กระทั่งป๋ายลี่หงเองก็เงียบไป ไม่ได้ถามไถ่เรื่องการเดินทางไปยังภูมิภาคเบื้องบนของต้วนหลิงเทียนอีก

ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังนำพวกป๋ายลี่หงและคนอื่นๆเดินทางไปยังตำหนักเมฆาครามนั้น

หลังจากที่เดินทางไล่ลาคนในภูมิภาคเบื้องล่างจนมาถึงภูมิภาคเบื้องบน เซี่ยจงบัดนี้หาได้หลงเหลือความยินดีอันใดบนสีหน้าอีกต่อไป นั่นเพราะมันได้คลาดกับเฒ่าพยากรณ์โดยสมบูรณ์แล้ว…

“บัดซบเอ๊ย!”

ร่องรอยของเฒ่าพยากรณ์ขาดหายไปต่อหน้าต่อตาแบบนี้ เซี่ยจงย่อมมีโมโหนัก!

เพราะนั่นหมายความว่าเฒ่าพยากรณ์ได้รอดพ้นจากเงื้อมมือมันไปได้สำเร็จ! มันไม่อาจไล่ตามได้อีกต่อไป!!

‘ไม่คิดเลยว่าความเร็วของไอแก่นั่นจะมิได้ด้อยไปกว่าข้า…บัดซบ! มิใช่มันเป็นแค่ผู้สืบทอดทวาราเที่ยงแท้ลำดับ 2 ความลับสวรรค์หรือไร มันสมควรเป็นผู้ที่มีพลังฝีมืออ่อนด้อยที่สุดมิใช่หรือ! หากเป็นผู้สืบทอดหมอกพิรุณ ทวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 1 ผู้ใดจะไปสู้ได้กัน!?’

คิดถึงจุดนี้สีหน้าของเซี่ยจงก็เผยความตึงเครียดออกมาให้เห็น

ถึงแม้ว่าทั้ง 3 ลัทธิอันรวมไปถึงลัทธิอารามทมิฬของมันจะไม่อยากพูดถึงประวัติศาสตร์และเรื่องราวในกาลก่อนสักเท่าไร แต่พวกมันก็มิอาจปฏิเสธความจริงได้!

ตอนนั้นขนาดพวกมัน 3 ลัทธิร่วมมือกัน ยังทำได้แค่หนีตายจากการลงมือของ 7 ทวาราเที่ยงแท้!

และสาเหตุที่ในยุคนั้น 7 ทวาราเที่ยงแท้ครองอำนาจดั่งมหาทรราช ล้วนเป็นเพราะพลังฝีมือส่วนตัวของ ทายาททวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 1 หมอกพิรุณคนเดียว!

พลังฝีมือของทายาทหมอกพิรุณคนนั้นร้ายกาจถึงขั้นพลิกฟ้าคว่ำปฐพีได้!

และทายาทผู้นั้นถูกขนานนามว่าเซียนกระบี่ ฟงชิงหยาง!

ในยุคนั้นต่อให้สุดยอดฝีมือที่ร้ายกาจที่สุดของทั้ง 3 ลัทธิผนึกกำลังกันกลุ้มรุม ก็ไม่อาจต้านทานฟงชิงหยางกับหนึ่งกระบี่ได้…

‘โชคดีนักที่คุณสมบัติของผู้สืบทอดหมอกพิรุณรุ่นต่อจากฟงชิงหยางสูงส่งนัก! ตั้งแต่วันนั้นจวบจนวันนี้ก็มิมีผู้ใดเคยได้ยินข่าวคราวว่ามีผู้สืบทอดหมอกพิรุณปรากฏตัวขึ้นมาอีกเลย…’

เซี่ยจงอดไม่ได้ที่จะโล่งใจขึ้นมา เมื่อคิดถึงเรื่องนี้

อนิจจาเซี่ยจงคงไม่เคยคิดกระทั่งหลับยังไม่เคยฝัน ว่าผู้ที่มันพึ่งยัดเยียดความอัปยศและเพาะสร้างความแค้นถึงขั้นยากจะอยู่ร่วมฟ้าเดียวกันได้ในภูมิภาคเบื้องล่าง กลับเป็นผู้สืบทอดหมอกพิรุณที่มันหวาดกลัว…

“ในทวาราเที่ยงแท้นอกจาก หมอกพิรุณ ผู้เป็นลำดับที่ 1 แล้ว ยังมีอีก 3 คนที่มีพลังต่อสู้ร้ายกาจ จ้าวเผด็จการ หงส์ฟ้าจรัสแสง และคนคู่! ไม่สิยังมีทวาราเที่ยงแท้ที่ชำนาญการลอบสังหารเป็นที่สุด แม้จักมิได้ร้ายกาจอันใดหากต่อสู้ตรงๆ ทว่าหากเป็นการลอบโจมตีแล้ว นับว่ามันเป็นราชันที่แท้จริง…”

เซี่ยจงบ่นพึมพำ

ฟังจากคำพูดของมัน ชัดเจนแล้วว่ามันเข้าใจ 7 ทวาราเที่ยงแท้ไม่น้อย

7 ทวาราเที่ยงแท้นั้น มีทั้งสิ้น 7 ลำดับอันได้แก่…

ลำดับที่ 1 หมอกพิรุณ

ลำดับที่ 2 ความลับสวรรค์

ลำดับที่ 3 จ้าวเผด็จการ

ลำดับที่ 4 เงาอนธการ

ลำดับที่ 5 หงส์ฟ้าจรัสแสง

ลำดับที่ 6 คนคู่

ลำดับที่ 7 ธุลีแดง

ลำดับที่ 1 หมอกพิรุณนั้นเปรียบได้กับจิตวิญญาณของ 7 ทวาราเที่ยงแท้และเป็นผู้นำที่แข็งแกร่งที่สุด! ส่วนลำดับที่ 2 ความลับสวรรค์นั้นเป็นดั่งผู้หยั่งรู้ชะตา มีความสามารถในการทำนานทายทักที่แข็งแกร่งที่สุดใน 7 ทวาราเที่ยงแท้

ธุลีแดงนั้นเชี่ยวชาญในเรื่องข่าวสารและการรวบรวมข้อมูล เป็นดั่งรากฐานของ 7 ทวาราเที่ยงแท้ และยังเป็นตัวเชื่อมประสานของ 7 ทวาราเที่ยงแท้อีกด้วย

ส่วนลำดับที่ 3 จ้าวเผด็จการ ลำดับที่ 5 หงส์ฟ้าจรัสแสง และลำดับที่ 6 คนคู่ ล้วนเป็นยอดฝีมือที่เชี่ยวชาญการต่อสู้ใน 7 ทวาราเที่ยงแท้นอกเหนือจากลำดับที่ 1 หมอกพิรุณ

สำหรับทวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 4 เงาอนธการนั้น เป็นดั่งนามของมัน คือผู้ที่หลอมกลืนไปกับความมืด ดั่งมัจจุราชผู้เก็บเกี่ยวความตายในความมืดมิด ราชันแห่งการลอบสังหาร!

จนถึงทุกวันนี้ หากมีร่องรอยของ 7 ทวาราเที่ยงแท้ปรากฏขึ้นมาแม้จะเล็กน้อยเพียงใด ก็ทำให้มหาอำนาจทั้งหลายตื่นตัวกันครั้งใหญ่ กระทั่งยังส่งกำลังกันออกไปล่าตัวอย่างคุ้มคลั่ง

“ในเมื่อข้ากลับมาถึงภูมิภาคเบื้องบนแล้ว เช่นนั้นก็ย้อนกลับไปที่ลัทธิอารามทมิฬเลยแล้วกัน จักได้หลอมจิตประทับตราผนึกมารเพื่ออ้างสิทธิ์ถือครองมัน…คราวนี้ก็จักเหลือผู้ฝึกมารมิถึง 100 คนที่สามารถต่อต้านข้าได้ในแดนดิน!”

พึมพำกับตัวอย่างวาดหวังจบ ร่างเซี่ยจงก็อันตรธานหายไปทันที มันมุ่งหน้าย้อนกลับลัทธิอารามทมิฬด้วยความเร็วสูงสุด!

สำหรับตำหนักเมฆาครามและต้วนหลิงเทียนอะไรนั่น มันล้วนทิ้งไว้เบื้องหลังหมดสิ้นแล้ว…

เรียกว่าขณะที่ไล่ตามผู้เฒ่าพยากรณ์มา มันก็เลิกสนใจตำหนักเมฆาครามโดยสมบูรณ์

……