บทที่ 508 เทพมารฟ้าบุพกาลปรากฏ มหาเคราะห์เผยเค้าลาง

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 508 เทพมารฟ้าบุพกาลปรากฏ มหาเคราะห์เผยเค้าลาง

เมื่อเผชิญหน้ากับเทพมารขุนพลสวรรค์ที่ทรงฤทธิ์น่าพรั่นพรึง แม้ว่าบรรพจารย์ซานชิงจะเรียกใช้พลังวิเศษแล้ว ก็ยังต้านไว้ไม่อยู่

ตูม!

เกิดเสียงดังกึกก้องฟ้าดิน บรรทัดทองในมือบรรพจารย์ซานชิงถูกทำลายจนป่นปี้ ร่างจำลองเก้าบงกชด้านหลังก็ย่อยยับตามไปด้วย

สีหน้าบรรพจารย์ซานชิงเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เขาล่าถอยไปอีกครั้ง

เทพมารขุนพลสวรรค์ไม่ได้ตามโจมตีต่อ เพียงมองเขาอย่างเยียบเย็น ก่อนร่างสลายไปดุจกลุ่มควัน

หมู่เมฆสลายตัว สายลมกวาดม้วนเมฆา ขุนเขาลำธารย่อยยับ ฝุ่นดินปลิวว่อน ในฉากที่ราวกับวันโลกาวินาศเช่นนี้ บรรพจารย์ซานชิงยืนอยู่บนโลกด้วยสีหน้าซีดเผือด

มือขวาของเขาสั่นระริก บรรทัดทองที่ป่นปี้ไปก่อตัวขึ้นใหม่อีกครั้ง แต่เขากลับไม่โจมตีเขตเซียนร้อยคีรีต่อแล้ว

พลังของเทพมารขุนพลสวรรค์แข็งแกร่งเกินไปจริงๆ!

แกร่งจนทำให้เขาไม่กล้าบุ่มบ่ามเคลื่อนไหว

‘เขาเป็นใครกันแน่’

บรรพจารย์ซานชิงคิดอย่างกระวนกระวายใจ แดนเซียนมียอดคนเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร

อีกด้านหนึ่ง

หานเจวี๋ยก็รู้สึกฉงนเช่นกัน

เหตุใดคนผู้นี้ราวกับอริยะมรรคาสวรรค์เลยเล่า สังหารไม่ตายจริงๆ

ในเมื่อสังหารไม่ตาย หานเจวี๋ยจึงจงใจขับให้ล่าถอยไป สร้างภาพลักษณ์ข่มขวัญ

และได้ผลจริงๆ สิ่งมีชีวิตนับล้านในเขตเซียนร้อยคีรีล้วนตื่นเต้นขึ้นมา

บรรพจารย์ซานชิงแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ยังถูกโจมตีจนล่าถอยไปในสองหมัด เทพมารขุนพลสวรรค์ช่างแข็งแกร่งเหลือเกิน

“คนเมื่อครู่คือผู้ใด”

“ไม่รู้ หรือจะเป็นเจ้าสำนัก”

“ไม่ใช่ หน้าตาของเจ้าสำนักมิใช่เช่นนี้ น่าจะเป็นผู้ทรงพลังแห่งสำนักซ่อนเร้น”

“ศิษย์ผู้สืบทอดเหล่านั้นล้วนแข็งแกร่งมากจริงๆ”

“ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้ผู้พิทักษ์หลักก็เคยตะเพิดศัตรูทั้งหมดในละแวกเขตเซียนร้อยคีรีไปเช่นกัน”

“แม้แต่อริยะก็ไม่อาจบุกเข้ามาในเขตเซียนร้อยคีรีได้หรือ สำนักซ่อนเร้นของพวกเราแข็งแกร่งเกินไปแล้วจริงๆ!”

….

บนเนินเขา สามเซียนยอดลำนำรับชมอย่างมีความสุขยิ่ง

เซียนเทียมฟ้ากล่าวด้วยความตื่นเต้น “พี่ใหญ่ สายตาท่านยอดเยี่ยมจริงๆ สำนักซ่อนเร้นของพวกเราคือกลุ่มอิทธิพลที่แข็งแกร่งที่สุดในแดนเซียนอย่างแน่นอน!”

เซียนหน้าเหยี่ยวก็รู้สึกตื่นเต้นมากเช่นกัน แต่ยังนับว่าควบคุมได้ แค่นเสียงเอ่ย “พี่ใหญ่เคยมองพลาดเสียที่ไหน พวกเราต้องรับใช้สำนักซ่อนเร้นให้ดี ในอนาคตอาจจะบรรลุตบะระดับเดียวกับศิษย์ผู้สืบทอดคนเมื่อครู่ก็เป็นได้!”

ศิษย์ในนามแทบทั้งหมดล้วนคิดว่าเทพมารขุนพลสวรรค์คือศิษย์ผู้สืบทอดของหานเจวี๋ย

แต่เหล่าศิษย์ผู้สืบทอดล้วนทราบดีว่านั่นเป็นเพียงร่างจำลองแขนงหนึ่งของท่านเจวี๋ย

ทว่าท้ายที่สุดแล้วหานเจวี๋ยมีร่างจำลองอยู่กี่แขนงนั้น ไม่มีผู้ใดทราบเลย

หลี่เต้าคงเคยเผชิญหน้ากับร่างจำลองทั้งเก้าตนของหานเจวี๋ยในแบบจำลองการทดสอบ ทั้งเก้านั้นมีพลังวิเศษต่างกันออกไป สร้างความประทับใจล้ำลึกแก่เขา

สุดท้าย บรรพจารย์ซานชิงก็จากไป

สำนักซ่อนเร้นรอดพ้นวิกฤตที่ไม่นับว่าเป็นวิกฤตไปได้อีกครั้ง

หานเจวี๋ยกลับไปที่อารามเต๋า นั่งสมาธิบนบัวดำล้างโลกสามสิบหกวัฏจักร เขาถามในใจว่า ‘ต้องทำอย่างไรถึงจะสังหารบรรพจารย์ซานชิงได้’

[จำเป็นต้องหักอายุขัยสามพันล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

ดำเนินการต่อ!

[ต่อสู้นอกขอบเขตมรรคาสวรรค์ หรือไม่ก็ตัดสะบั้นดวงชะตามรรคาสวรรค์]

หานเจวี๋ยตกอยู่ในห้วงความคิด ถึงแม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ถาม แต่เขาคิดอยู่เสมอว่าจะเกิดความเปลี่ยนแปลง ถึงอย่างไรก็ผ่านมานานขนาดนี้แล้ว ซ้ำช่วงนี้ดวงชะตามรรคาสวรรค์ยังเกิดความเปลี่ยนแปลงด้วย

จับบรรพจารย์ซานชิงมัดแล้วพาออกไปเลยดีหรือไม่นะ

แต่ถ้าออกไปก็ต้องเผชิญหน้ากับบทลงทัณฑ์จากเหล่าอริยะ

ส่วนเรื่องตัดสะบั้นดวงชะตามรรคาสวรรค์ ตอนนี้หานเจวี๋ยยังไม่เป็นศาสตร์วิชาแขนงนี้

ช่างเถอะ

ปล่อยเขาไปก่อน

พิสูจน์มรรคให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน!

หานเจวี๋ยไม่คิดมากอีก ฝึกบำเพ็ญต่อ

หลังผ่านการโจมตีจากบรรพจารย์ซานชิง คาดว่าเหล่าอริยะคงไม่มาหาเรื่องเขาอีกภายในระยะเวลาอันสั้นนี้

….

ณ ชั้นฟ้าที่สามสิบสาม อาณาเขตเต๋าอริยะ

หลี่มู่อี เทพสูงสุดหนานจี๋ เจ้านิกายเทียนเจวี๋ยและอริยะจินอันล้วนตกอยู่ในความเงียบ ท่าทางแตกต่างกันออกไป

ผ่านไปพักใหญ่

อริยะจินอันทนไม่ไหวถามขึ้นมาก่อน “นั่นคือร่างจำลองของอริยะหรือ”

ความแข็งแกร่งของเทพมารขุนพลสวรรค์แม้แต่อริยะก็ยังตกตะลึง!

หลี่มู่อีแววตาวูบไหว เอ่ยว่า “มิใช่ร่างจำลองของอริยะ แต่ดูคล้าย…”

อริยะทั้งสามมองไปที่เขา รอให้เขากล่าวประโยคต่อไป

หลี่มู่อีสูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง กล่าวว่า “ข้าเคยฟังมาจากอาจารย์ ยุคก่อนเบิกฟ้าเคยมีเทพมารฟ้าบุพกาล เทพมารฟ้าบุพกาลที่เหลือรอดมาได้บ้างเบิกฟ้าแยกปฐพี บ้างก็กลายเป็นดวงจิตมหามรรค ผู้ที่คุ้มครองสำนักซ่อนเร้นอยู่อาจเป็นเทพมารฟ้าบุพกาลตนหนึ่ง”

เทพมารฟ้าบุพกาล?

เทพสูงสุดหนานจี๋ถามด้วยความแปลกใจ “เทพมารฟ้าบุพกาลจะหลบซ่อนในแดนเซียน โดยที่ผู้อาวุโสอย่างบรรพชนเต๋าไม่รับรู้ได้อย่างไร หรือมีดวงจิตมหามรรคต้องการเข้าสู่แดนเซียน”

เจ้านิกายเทียนเจวี๋ยและอริยะจินอันเปลือกตากระตุกไม่หยุด

ยิ่งยืนอยู่สูงเท่าไร ก็ยิ่งรู้มากเท่านั้น

ภายใต้มรรคาสวรรค์พวกเขาคือตัวตนไร้พ่าย แต่ในฟากฟ้าบุพกาลอันกว้างไกลไพศาลมิได้มีเพียงมรรคาสวรรค์ ยังมีดวงจิตมหามรรคที่เก่าแก่ลึกลับส่วนหนึ่งอยู่ หลังจากอริยะรุ่นก่อนข้ามผ่านไปอีกขั้นก็มุ่งหน้าไปยังแดนต้องห้ามอันธการอันไม่เป็นที่รู้จัก ไปแล้วไม่หวนคืน บ้างก็ไปที่แดนเทพหวนปัจฉิม บ้างก็ไปยังอาณาเขตฟ้าบุพกาล

หากว่าผู้ที่ปกป้องสำนักซ่อนเร้นคือเทพมารฟ้าบุพกาลจริง เช่นนั้นก็วุ่นวายไปกันใหญ่แล้ว

“ช้าก่อน! จะใช่มหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่ที่บรรพชนเต๋าเคยกล่าวไว้หรือไม่…” จู่ๆ อริยะจินอันคล้ายจะนึกอะไรได้ เอ่ยขึ้นมาด้วยความตกใจ

เมื่อกล่าวประโยคนี้ออกมา อริยะอีกสามรายล้วนแสดงออกให้เห็นถึงความตกใจ รวมไปถึงหลี่มู่อีด้วย

หลี่มู่อีลุกขึ้นทันที กล่าวว่า “เรื่องนี้จำเป็นต้องไปถามปรมาจารย์”

อริยะที่เหลือก็ลุกขึ้นเช่นกัน

ในเวลานี้เอง

ฉิวซีไหลและมหาจักรพรรดิเซียวพลันปรากฏกายขึ้นภายในตำหนัก

สีหน้ามหาจักรพรรดิเซียวไม่น่ามองอย่างยิ่ง เอ่ยขึ้นเป็นคนแรก “พวกเจ้ามีผู้ใดถูกสาปแช่งหรือไม่”

อริยะจินอันตอบ “ข้าเอง อะไรกัน พวกเจ้าก็ถูกสาปแช่งหรือ”

เจ้านิกายเทียนเจวี๋ยพยักหน้าด้วย “ข้าก็เช่นกัน”

เทพสูงสุดหนานจี๋แค่นเสียง มองมหาจักรพรรดิเซียวและฉิวซีไหลที่ยืนอยู่ด้วยกัน รู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง

หลี่มู่อีขมวดคิ้ว มองอริยะจินอันและเจ้านิกายเทียนเจวี๋ย ไม่ทราบว่าคิดอะไรอยู่

ฉิวซีไหลแค่นเสียงกล่าว “ระยะนี้เจ้าแดนต้องห้ามอันธการสาปแช่งพวกเราอีกแล้ว เรื่องนี้ต้องสืบสาวให้กระจ่าง มิเช่นนั้นปัญหาจะตามมาไม่รู้จบ!”

มหาจักรพรรดิเซียวกวาดตามองสี่อริยะแห่งสำนักเต๋า เอ่ยขึ้นว่า “ทุกท่านกำลังวางแผนใดอยู่ที่นี่กันหรือ พวกเจ้าประเดี๋ยวก็จะดึงตัวแปรเข้าพวก ประเดี๋ยวก็พุ่งเป้าไปที่ตัวแปร พวกเจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่”

มหาจักรพรรดิเซียวก็รู้สึกว่าสี่อริยะแห่งสำนักเต๋านั้นน่าสงสัยมาก!

ฉิวซีไหลหรี่ตามอง เห็นได้ชัดว่าอยากถามเช่นกัน

หลี่มู่อีเห็นผู้มาเยือนไม่มีเจตนาดี จึงเอ่ยว่า “พักเรื่องเจ้าแดนต้องห้ามอันธการไว้ชั่วคราว มหาเคราะห์มรรคายิ่งใหญ่เผยเค้าลางแล้ว พวกเราต้องไปพบปรมาจารย์ลัญจกรสรวงก่อน”

“เฮอะ อย่ามาเปลี่ยนเรื่อง! จะบีบให้พวกเราสำแดงพลังวิเศษทำลายมรรคาจริงๆ ใช่หรือไม่”

ฉิวซีไหลเอ่ยด้วยความโกรธ ในมหาเคราะห์ครั้งก่อน สำนักพุทธเสียหายอย่างหนัก เขาข่มกลั้นโทสะเอาไว้เสมอมา

หลี่มู่อีก็มิใช่คนที่จะหาเรื่องได้ง่ายๆ เช่นกัน เอ่ยเสียงเย็น “ฉิวซีไหล เจ้ากำลังสงสัยว่าเจ้าแดนต้องห้ามอันธการซุกซ่อนอยู่ในหมู่พวกเราเช่นนั้นหรือ ช่างน่าขันเสียจริง พวกเราเป็นสำนักฝ่ายธรรมะ ไหนเลยจะใช้วิธีการต่ำช้าเช่นนี้”

ทันใดนั้น บรรยากาศภายในตำหนักใหญ่พลันตึงเครียดขึ้นเป็นอย่างมาก

….

นับตั้งแต่บรรพจารย์ซานชิงมาโจมตี เวลาก็ผ่านไปอีกสามร้อยปี

หานเจวี๋ยยังคงฝึกบำเพ็ญต่อ มุ่งสู่การพิสูจน์มรรค

ทันใดนั้นเขารับรู้ถึงบางสิ่งได้ ส่งพลังจิตเข้าไปในโลกดาราที่อยู่ในส่วนลึกของวิญญาณ สีหน้าเขาพลันแปรเปลี่ยน

ปราณม่วงมหามรรคที่ใส่ไว้ในโลกดาราก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าเคลื่อนตัวเข้าหาปราณเทพมารฟ้าบุพกาลทั้งสี่สิบเก้าตนตั้งแต่ตอนไหน ปราณม่วงมหามรรคแตกออกแบ่งตัวเป็นหลายเส้นหลายสายเชื่อมต่อกับปราณแห่งเทพมาร

มีปราณม่วงอนธการคอยช่วยเหลือ ความเร็วในการทำให้ปราณแห่งเทพมารเสถียรคล้ายกำลังเพิ่มพูนขึ้น

ช้าก่อน!

หรือว่าปราณม่วงอนธการสามารถช่วยเขาก่อกำเนิดเทพมารฟ้าบุพกาลได้

หานเจวี๋ยใจเต้นแรง รู้สึกตื่นเต้นอยู่บ้าง

เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน เขาประทับตราประทับหกวิถีเข้าไปในปราณแห่งเทพมาร ป้องกันเอาไว้ก่อน

ตราประทับหกวิถีเป็นสิ่งที่จักรพรรดิเซียนกลับชาติมาเกิดสร้างขึ้น พลังวิเศษนี้ละเอียดอ่อนยิ่ง ประกอบกับผู้ใช้คือหานเจวี๋ย ขอเพียงตบะไม่สูงไปกว่าหานเจวี๋ย ย่อมไม่มีทางหลุดพ้นจากการควบคุมของเขาได้

………………………………………………………………