ตอนที่ 560 ฆ่า

ณ เมืองหลวงแคว้นเยี่ยน ภายในห้องเงียบสงบห้องหนึ่ง มีโต๊ะยาวตัวอยู่สามตัว เบาะกลมอีกสามใบ

โต๊ะยาวตัวหนึ่งตั้งแนวขวางอยู่บนแท่น ถงโม่นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะ

ด้านล่างฝั่งซ้ายขวามีโต๊ะตั้งฝั่งละตัว คนสองคนที่นั่งอยู่คือจินอู๋กวงเจ้าสำนักจิตกระจ่างและเฉาอวี้เอ๋อร์เจ้าสำนักหอบุปผาล่องที่เดิมทีเคยครอบครองเขตมณฑลหนานโจว

หลังจากพูดคุยกันอยู่นาน สองเจ้าสำนักก็ยังคงมีข้อกังขาอยู่พอสมควร เฉาอวี้เอ๋อร์ลองถามหยั่งเชิงว่า “ท่านเจ้ากรม เรื่องนี้ได้รับความเห็นชอบจากสามสำนักหลักแล้วหรือ?”

ถงโม่เอ่ยเสียงเรียบ “โอกาสมิใช่สิ่งที่ต้องรอความเห็นชอบจากคนอื่น หลายครั้งก็มาจากการเข้าไปแย่งชิงมาเอง หากเจ้าไม่ทำก็ไม่มีโอกาสอีกตลอดกาล หรือว่าพวกเจ้าทั้งสองไม่อยากยึดหนานโวคืนเพื่อชดใช้คำอธิบายแก่เหล่าศิษย์ในสำนักเล่า? ”

จินอู๋กวงกล่าวว่า “คำพูดของท่านเจ้ากรมมีเหตุผล แต่หากสามสำนักหลักคัดค้านจะจัดการอย่างไร? ”

ถงโม่ปรายตามองเล็กน้อย บ่นอยู่ในใจ ‘หากสามสำนักหลักให้การสนับสนุน ข้าจะเรียกหาพวกเจ้าไปไย?’ เขาลูบเครากล่าวไปว่า “คัดค้านอันใดเล่า? ราชสำนักยังไม่กลัวแล้วพวกเจ้าจะกลัวอะไรกัน? ราชสำนักจะไปเจรจากับสามสำนักหลักเอง หากพวกเจ้ากลัวกันจริงๆ ข้าก็ไม่บังคับพวกเจ้า ย่อมมีคนที่เต็มใจจะให้ความร่วมมือกับทะพราชสำนักอยู่แน่”

จินอู๋กวงรีบเอ่ยว่า “ข้ามิได้มีเจตนาเช่นนี้ไม่ เพียงเอ่ยเตือนด้วยเจตนาดีเท่านั้น” พูดจบก็สบตากับเฉาอวี้เอ๋อร์ ทั้งสองยืนขึ้นพร้อมกัน ประสานมือกล่าวว่า “สำนักจิตกระจ่างและสำนักหอบุปผาล่อง พร้อมจะให้ความร่วมมือกับทัพราชสำนักทุกเมื่อ!”

รอจนทั้งสองจากไปแล้ว ถงโม่ลุกขึ้นเดินไปด้านข้าง ดันประตูบานเลื่อนให้เลื่อนออกไปด้านข้าง มีคนผู้หนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ด้านใน

ก่าเหมี่ยวสุ่ยนั่งละเลียดชาอยู่ด้านใน เอ่ยเนิบๆ ว่า “ด้วยกำลังของพวกเขาสองสำนักแล้วเกรงว่าจะไม่น่าวางใจมากพอ”

ถงโม่กล่าวว่า “ยุคสมัยนี้ สำนักที่ดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดมีมากมาย อีกเดี๋ยวค่อยไปหามาเพิ่มอีกสองสามสำนักก็ได้ เหตุผลที่เรียกพวกเขาสองสำนักเพราะรู้ว่าพวกเขามีความคับข้องไม่พอใจที่ต้องกลายเป็นสุนัขเร่ร่อนมานานปานนี้ พอได้ลงสู่สนามต้องสู้ตายเป็นแน่ เรื่องนี้ท่านไม่จำเป็นต้องกังวลเลย แล้วทางหนานโจวกับจินโจวเป็นอย่างไรบ้าง?”

ก่าเหมี่ยวสุ่ยเอ่ยเสียงเรียบ “ทางหนานโจวข้าจะเร่งติดต่อกับสำนักเขามหายานโดยเร็ว พวกเขาจะยอมตกลงหรือไม่ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ส่วนทางฝั่งจินโจว ไห่อู๋จี๋รับประกันกับฝ่าบาทแล้วว่าจะไม่ปล่อยให้จินโวเข้ามายุ่งได้”

ถงโม่พยักหน้า “เช่นนั้นก็ดี!”

….

แสงอรุณส่องฟ้าพร้อมเมฆขาวพาดริ้ว

ทางตะวันตกของมณฑลจินโจว บนเส้นทางหลวงที่เชื่อมจากมณฑลผิงโจวสู้มณฑลจินโจว มีจุดพักม้าแห่งหนึ่งที่ดูผิดแผกไปจากปกติ มีทหารเฝ้าอยู่มากมาย เฝ้าระวังอย่างเข้มงวด ผู้สัญจรผ่านเส้นทางที่ต้องการเข้าไปพักในจุดพักม้าล้วนถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าพัก

อินทรีหยกทมิฬตัวหนึ่งโบยบินรับแสงอรุณร่อนลงในลานจุดพักม้า มีขันทีสามคนกระโดดลงมา

พอขันทีคนหนึ่งที่ยืนค้ำกระบี่เฝ้าอยู่บนขั้นบันไดหน้าประตูจุดพักม้าเห็นเหตุการณ์ก็ยกกระบี่เดินลงบันไดมา เดินเข้ามาประสานมือเอ่ยกับคนร่างท้อมที่เป็นผู้นำกลุ่มว่า “หวงกงกง ท่านมาได้อย่างไรขอรับ?”

หวงกงกงผู้นั้นยิ้มละไมเอ่ยไปว่า “มีเรื่องมาแจ้งต่อท่านเจ้ากรม ไปเรียนให้ทีเถิด”

ขันทีที่ถือกระบี่อยู่หันมองไปทางหน้าต่างของห้องพักห้องหนึ่ง คาดว่าผู้เป็นนายยังไม่ตื่นนอนไม่ค่อยกล้ารบกวนง่ายๆ จึงยิ้มแล้วเอ่ยถาม “หวงกงกง มีเรื่องใดแจ้งผ่านปีกทองมาก็ใช้ได้แล้ว เป็นเรื่องใดกันที่รบกวนให้ท่านมาด้วยตัวเองได้?”

รอยยิ้มของหวงกงกงเลือนหายไปทันที เอ่ยเสียงเข้ม “ไร้สาระ หากไม่มีธุระสำคัญข้าจะเดินทางไกลมาจากเมืองหลวงทำไม รีบไปรายงานเสีย!”

ขันทีที่กุ่มกระบี่ค้อมกายให้เล็กน้อย “ท่านโปรดคอยสักครู่”

พูดตบก็หันหลังวิ่งเข้าเรือนพักไปอย่างรวดเร็ว ขึ้นไปชั้นสองผ่านด่านทหารคุ้มกันหลายต่อหลายชั้น เข้าไปเคาะประตูห้องพักห้องหนึ่ง

มีเสียงแหลมเล็กที่เจือความเย็นชาแว่วออกมาจากในห้อง “เข้ามา!”

ขันทีกุมกระบี่ถึงได้เปิดประตูเข้าไป ด้วยแสงจากผีเสื้อจันทราภายในห้องทำให้มองเห็นชายคนหนึ่งที่สวมชุดตัวในสีขาวนั่งขัดสมาธิทำสมาธิอยู่บนเตียง ปล่อยผมสยายปรกไหล่

คนผู้นี้คือจ้าวเซินขันทีผู้รับใช้ใกล้ชิดของจักรพรรดิไห่อู๋จี๋แห่งแคว้นจ้าว ดำรงตำแหน่งเจ้ากรมราชยาน

ขันทีกุมกระบี่เดินเข้าไปหาแล้วเอ่ยรายงานเสียงเบา “เจ้ากรม ขันทีหวงเซี่ยมาขอรับ บอกว่ามีธุระต้องการพบท่าน”

ภายใต้เรือนผมที่ห้อยปรกบดบังไปครึ่งหนึ่ง จ้าวเซินลืมตาขึ้นมาในทันใด ค่อยๆ ช้อนตาขึ้นมา เปล่งเสียง “อืม” ขึ้นมาช้าๆ

ขันทีกุมกระบี่ถอยออกไปอย่างรวดเร็ว

ผ่านไปสักพักประตูเปิดออกอีกครั้ง หวงเซี่ยเดินเข้ามา พอเข้ามาถึงข้างเตียงก็ประสานมือคำนับ “ท่านเจ้ากรม”

จ้าวเซินหันไปมองเขาเล็กน้อย เอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “เจ้าถ่อมาไกลขนาดนี้ เกิดเรื่องใดขึ้นทางเมืองหลวงหรือ?”

หวงเซี่ยยังไม่ตอบ แต่หันกลับไปโบกมือไล่ขันทีกุมกระบี่ สื่อว่าให้ถอยออกไปพร้อมออกคำสั่งว่า “ให้คนที่อยู่นอกประตูถอยออกไป หากไม่ได้รับอนุญาตห้ามใครหน้าไหนเข้าใกล้ทั้งสิ้น”

ขันทีกุมกระบี่มองจ้าวเซินเล็กน้อย พอเห็นว่าเขาไม่ได้คัดค้านใดๆ ถึงได้ตอบรับ “ขอรับ” ยามที่ถอยออกไปก็ปิดประตูให้ด้วย จากนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดินห่างออกไปแว่วดังขึ้นพักหนึ่ง

หวงเซี่ยถึงได้เข้าไปหาจ้าวดซิน หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ คลี่กางให้จ้าวเซินอ่าน

เห็นพียงคราบหมึกแดงสดบนกระดาษสีอมเหลือง มีคำว่า ‘ฆ่า’ ตัวเดียวโดดเด่นสะดุดตาอยู่บนกระดาษ

จ้าวเซินหรี่ตาลงเล็กน้อย ดึงกระดาษจากมืออีกฝ่ายเข้ามา มองอย่างละเอียด เขาคุ้นเคยกับลายมือนี้ดี

หลังดูเสร็จก็ค่อยๆ พับกระดาษในมือ เอ่ยถามไป “ผู้ใด?”

หวงเซี่ยกระซิบบอก “องค์หญิงใหญ่และตัวนอกคอกที่เพิ่งถือกำเนิด”

จ้าวเซินพลันตกตะลึง ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดอีกฝ่ายถึงให้คนอื่นถอยออกไป ไหนเลยจะปล่อยให้เรื่องที่ฝ่าบาทต้องการสังหารพระกนิษฐาร่วมอุทรของตนรั่วไหลออกไปได้ง่ายๆ

เขาลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ลงจากเตียงด้วยสองเท้าเปลือยเปล่า พุ่งตัวออกไปเปิดประตูแล้วมองออกไปด้านนอก จากนั้นก็พุ่งไปเปิดหน้าต่างสอดส่องด้านนอกอย่างรวดเร็วต่อ

เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีผู้ใดดักฟังอยู่ เขาถึงได้หันกลับมาเอ่ยถามเสียงเบา “ไทเฮาทรงทราบเรื่องนี้หรือไม่?”

หวงเซี่ยส่ายหน้า “จะปล่อยให้ไทเฮาทรงทราบเรื่องนี้ได้อย่างไร หากไทเฮาทราบเข้าคิดว่าไทเฮาจะขวางหรือไม่ขวางเล่า?”

จ้าวเซินถาม “มีความผิดใด?”

หากไม่ทราบรายละเอียดแน่ชัดเขาก็ไม่กล้าลงมือส่งเดช ถึงอย่างไรนั่นก็คือองค์หญิงใหญ่ที่ประสูติจากไทเฮา หากสังหารพระธิดาของไทเฮาแล้ววันหน้าไทเฮาที่ถูกปิดข่าวไม่ทราบความมาสังหารเขาเพื่อล้างแค้นให้พระธิดาจะทำอย่างไรเล่า?

หวงเซี่ยกล่าวว่า “ตอนนี้ยังไม่มีความผิด แต่ท่านเจ้ากรมน่าจะทราบดี สังหารเป็นเรื่องรอง ต้องการลงดาบกับจินโจวต่างหากที่เป็นเป้าหมายหลัก ข้าคงไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องหลักเหตุผลให้มากความีอก หากทำไม่สำเร็จก็ไม่มีความผิด หากทำสำเร็จย่อมตั้งข้อหาตามหลังมา ลงมือก่อนแล้วค่อยคิดบัญชีทีหลังก็ไม่สาย!”

จ้าวเซินที่ปล่อยผมสยายมีสีหน้าเคร่งเครียด เดินวนกลับไปกลับมาอยู่ภายในห้อง

เดิมทีครั้งนี้เขาออกเดินทางตรวจการณ์แผ่นดิน มาจนถึงมณฑลผิงโจวแล้ว อาจเป็นเพราะเขาอยู่ใกล้ประกอบกับตำแหน่งฐานะของเขาก็มีความสำคัญมากพอ จึงได้รับพระราชเสาวนีย์จากไทเฮาซางโยวหลานอย่างกะทันหัน แจ้งมาว่าได้รับความเห็นชอบจากองค์จักรพรรดิแล้ว ต้องให้เขาเป็นตัวแทนของไทเฮาและฝ่าบาทมุ่งหน้าไปยังจินโจวเพื่อไปเยี่ยมเยือนและรวมแสดงความยินดีกับองค์หญิงใหญ่ไห่หรูเยวี่ยที่เพิ่งให้กำเนิดทายาท

หากว่ากันในอีกมุมหนึ่ง เดิมทีนี่คือเรื่องมงคลน่ายินดี ผู้ใดจะทราบว่าจู่ๆ ก็ได้รับภารกิจเช่นนี้เข้า จากเรื่องมงคลกลายเป็นเรื่องร้ายไปเสียแล้ว

เรื่องนี้นับเป็นเผือกร้อนลวกมืออย่างแน่นอน ก็อย่างที่เคยกล่าวไป ถึงอย่างไรก็เป็นพระธิดาของไมเฮา สังหารพระธิดาของไทเฮาแล้ว วันหน้าไทเฮาจะยังมองหน้าเขาติดอีกหรือ?

หวงเซี่ยถาม “ไยต้องลังเลเล่า? หรือว่าท่านเจ้ากรมคิดจะขัดราชโองการ”

จ้าวเซินพลันหันขวับมาเรือนผมยาวที่สยายอยู่สะบัดออกไป จ้องมองด้วยแววตาเย็นชา ตอนนี้เขาชักสงสัยแล้วว่ามีผู้ใดเล่นเล่ห์อยู่เบื้องหลังหรือไม่ จงใจโยนเรื่องนี้มาให้เขาจัดการ

หวงเซี่ยสะดุ้ง สีหน้าอ่อน้อมลง

จ้าวเซินเอ่ยด้วยเสียงเยียบเย็น “มิใช่ว่าลังเล แต่กำลังใคร่ครวญว่าจะลงมืออย่างไร จวนผู้ว่าการมณฑลคุ้มกันหนาแน่น จะพบตัวคนก็ยากแล้ว ไหนเลยจะลงมือได้ง่ายดายปานนั้น หากลงมือได้ง่ายขนาดนั้นจริงคงไม่ต้องรอจนถึงวันนี้”

หวงเซี่ยเอ่ยว่า “ก็เพราะปกติแล้วหาทางลงมือไม่ได้ เพิ่งจะมีโอกาสเอาตอนนี้ บุตรสาวให้กำเนิดทายาท ผู้เป็นมารดาส่งคนมาเยี่ยมเยือนก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผล ประกอบกับท่านเจ้ากรมมีศักดิ์ฐานะสูง นางจะไม่ยอมพบได้หรือ เบื้องบนต้องการให้ท่านเจ้ากรมาศัยจังหวะนี้ลงมือ! ใช่แล้ว ข้ามาครานี้ได้นำของดีที่เก็บสงวนเอาไว้มาให้ท่านเจ้ากรมด้วย”

จ้าวเซินหันไปมองเขา

หวงเซี่ยล้วงมือเข้าไปในแขนเสื้อหยิบห่อผ้าสีเหลือขนาดเล็กห่อหนึ่ง ถือไว้ตรงหน้าเขาพลางเปิดห่อผ้าออก เผยให้เห็นสิ่งผอมแห้งก้านหนึ่งที่ดูคล้ายโสมคน ของเป็นสีแดงเข้มออกไปทางดำ

จ้าวเซินพินิจเล็กน้อยแล้วเอ่ยถาม “เป็นสิ่งใด?”

หวงเซี่ยกระซิบบอก “สิ่งนี้เรียกว่า ‘กุมารแดง’ หายากอย่างยิ่ง ถือกำเนิดในแห่งหนองบึงมีพิษ เมื่อสัมผัสเลือดจะเกิดปฏิกิริยาขึ้น เกิดพิษร้ายในกระแสเลือด หากปนเปื้อนผิวกายของคนปกติทั่วไปจะบั่นทอนเลือดลมเช่นกัน หากสตรีสัมผัสสิ่งนี้เขาในช่วงมีระดู เลือดลดจะค่อยๆ พร่องถดถอย ขาดเลือดจนถึงแก่ความตาย โอสถวิญญาณชั้นยอดก็ยากจะช่วยได้ สำหรับสตรีที่เพิ่งคลอดคาวโลหิตยังไม่จางหายไปอีกทั้งเสียเลือดไปมากอยู่แล้ว ผลลัพธ์ยิ่งจะรุนแรงขึ้น ขอเพียงท่านเจ้ากรมบดสิ่งนี้ให้เป็นผล คิดหาวิธีให้นางสัมผัสโดนเข้าก็นั่งรอรับข่าวดีได้เลย”

พูดจบก็ผูกห่อผ้าให้เรียบร้อยอีกครั้ง แล้ววางลงบนเตียงเบาๆ

จ้าวเซินเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ใช้สิ่งกำจัดมารดาได้ แต่จำจัดการบุตรได้อย่างไร?”

หวงเซี่ยกระซิบว่า “เพิ่งตัดสายสะดือได้ไม่นาน มีคราบโลหิตเปื้อนกายเช่นกัน บุตรต้องดื่มนมจากมารดา ในเมื่อแม่ปนเปื้อนไปแล้ว ลูกจะรอดไปได้งั้นหรือ?”

จ้าวเซินใคร่ครวญเงียบๆ

หวงเซี่ยจ้องมองเขา

ผ่านไปนานพักใหญ่ จ้าวเซินเอ่ยเนิบๆ ว่า “เมื่อใคร่ครวญถึงผลประโยชน์ของเบื้องนแล้ว จัดการเรื่องนี้ในยามนี้จะเหมาะสมหรือ?”

หวงเซี่ยเอ่ยว่า “ท่านเจ้ากรมออกตรวจการณ์แผ่นดิน อาจจะพลาดเรื่องบางอย่างไป สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว ได้โอกาสเหมาะจะจัดการจินโจวแล้ว”

“เกิดความเปลี่ยนแปลงใดกัน?”

“แคว้นเยี่ยนจะลงมือกับหนานโจว!”

จ้าวเซินหันไปมองเขา รอให้เขาเอ่ยต่อ

“ทางฝั่งแคว้นเยี่ยน ซางเฉาจงได้กลายเป็นหนามยอกอกของซางเจี้ยนสยงไปแล้ว ซางเจี้ยนสยงหมดความอดทนกับซางเฉาจงแล้ว ซานเจี้ยนสยงส่งทูตมาพบฝ่าบาทอย่างลับๆ ประสงค์ให้ฝ่าบาททรงควบคุมจินโจวไว้ในระหว่างที่ลงมือกับหนานโจว อีกทั้งตอนนี้เซ่าผิงปอบุตรชายของเซ่าเติงอวิ๋นไปพึ่งพิงแคว้นจิ้น ก่อให้แคว้นฉีและแคว้นเว่ยเกิดความกริ่งเกรง ต่างเพิ่มกำลังเฝ้าระวังทางเขตชายแดนแคว้นจิ้น เมื่อเกิดเหตุเปลี่ยนแปลงขึ้นในแคว้นจ้าว แคว้นฉีและแคว้นเว่ยก็ไร้กำลังจะเข้าแทรกแซงแล้ว กลับต้องคอยป้องกันแคว้นจิ้นจะฉวยโอกาสก่อศึก แคว้นหานและแคว้นเยี่ยนแย่งชิงเป่ยโวกันอยู่ อีกทั้งแคว้นเยี่ยนจะลงมือกับหนานโจว ในเวลานี้แคว้นจ้าวจะไร้ซึ่งภัยคุกคามจากภายนอก หากพวกองค์หญิงใหญ่แม่ลูกสิ้นใจไป จินโจวย่อมกลายเป็นมังกรที่ไร้หัว ในระหว่างการคัดเลือกผู้นำใหม่ต้องเกิดเหตุโกลาหลขึ้นภายในจินโจวแน่ ทัพใหญ่จะฉวยโอกาสเข้าโจมตี เป็นโอกาสดีที่จะได้สยบจินโจวที่แข็งข้อไปในคราวเดียว เป็นโอกาสที่หากพลาดไปแล้วจะไม่มีมาอีก ไหนเลยจะยอมพลาดไปได้?”

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” จ้าวเซินพยักหน้ารับช้าๆ ขยี้กระดาษในมือแหลกเป็นผง อดถอนหายใจเบาๆ ไม่ได้ “นับว่าถอนผมเส้นเดียวสะเทือนทั่วสรรพางค์!”

“เป็นเช่นนี้จริงๆ” หวงเลี่ยพยักหน้าเอ่ยคล่อยตาม

ผ่านไปครู่หนึ่ง หวงเลี่ยไปจากจุดพักม้าโดยสารวิหคพาหนะโผสู่นภาอีกครั้ง เมื่อถายทอดราชโองการลับสำเร็จก็กลับไปรายงานผลที่เมืองหลวงอย่างรวดเร็ว ให้ทางเมืองหลวงเตรียมการไว้แต่เนิ่นๆ

จ้าวเซินล้างหน้าผลัดอาภรณ์อย่างรวดเร็ว เขารู้ดีว่าเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เขาไม่ทำก็คงไม่ได้

พอถึงยามฟ้าสว่าง ทั้งขบวนเคลื่อนออกจากจุดพักม้า เร่งม้าวิ่งห้อมุ่งสู่มณฑลจินโจวอย่างเร่งด่วน…

ในหมู่บ้านชนบทแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากเมืองจินโจวไปสิบกว่าลี้ ภายในบ้านสวนหลังหนึ่ง

หลังจากมีเสียงไก่ขันปลุกมีเสียงสุนัขเห่าดังขึ้นนอกบ้านเป็นระยะๆ มีควันไฟลอยอบอวลขึ้นมาจากครัวเรือนในหมู่บ้าน ฟ้าสว่างแล้ว

ภายในเรือน หนิวโหย่วเต้าเปิดประตูเดินออกไป ฟางเจ๋อที่ตอนนี้ประจำการอยู่ในมณฑลจินโจวเพื่อประสานงานระหว่างมณฑลจินโจวและหนานโจวก็เดินตามออกมาด้วย

หนิวโหย่วเค้าพูดคุยกับเขาทั้งคืน สอบถามสถานการณ์โดยละเอียดของทางมณฑลจินโจว

หากไม่ทราบสถานการณ์ของมณฑลจินโจวอย่างแน่ชัด ยังไม่อาจตัดสินใจได้ หนิวโหย่วเต้าก็ไม่มีทางโผล่เข้าเมืองไปอย่ากะทันหัน

“เอาละ เจ้ากลับไปก่อนเถอะ” หนิวโหย่วเต้าโบกมือ

ฟางเจ๋อประสานมือคำนับลา รอจนเขาจากไปแล้ว ก่วนฟางอี๋ถึงเดินเข้ามาหา เอ่ยว่า “มีข่าวมาจากทางบ้านแล้ว ลงมือสำเร็จคุมตัวคนไปขังในสถานที่ลับแล้ว”

………………………………………………………………..