เล่ม 1 ตอนที่ 145-2 ครองรัก ชิงสมบัติคืน (กลาง)

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 145-2 ครองรัก ชิงสมบัติคืน (กลาง)

ภายในห้องที่มีกลิ่นบุปผารวยริน เฉียวเวยพิงหัวเตียง อ่านตำราที่เริ่มเหลืองเล่มหนึ่งทีละหน้า

เจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองขยับเข้ามา จิ่งอวิ๋นถามอย่างสงสัยใคร่รู้ “ท่านแม่กำลังอ่านสิ่งใดอยู่หรือขอรับ”

เฉียวเวยตอบว่า “บันทึกของท่านตาของพวกเจ้า หลายปีที่ผ่านมาท่านตาเดินทางรอนแรมไปมามากมายหลายที่ รักษาโรคมามากมาย โรคร้ายรักษายากที่ตึงมือล้วนจดบันทึกเอาไว้ แม่อยากดูซิว่ามีกรณีที่เหมือนท่านตาหรือไม่”

“แล้วท่านแม่หาพบหรือไม่ขอรับ” จิ่งอวิ๋นถาม

เฉียวเวยชะงัก “ไม่พบ”

ศีรษะน้อยๆ ของจิ่งอวิ๋นถูไถหัวไหล่ของมารดา

เฉียวเวยหัวใจอ่อนยวบ ลูบศีรษะน้อยของเขา “แม่จะรักษาท่านตาให้หายดีแน่”

จิ่งอวิ๋นตอบว่า “อืม ข้าเชื่อท่านแม่”

“ข้าก็เชื่อท่านแม่!” วั่งซูเอ่ยเสียงใส

เฉียวเวยพยักหน้า “ดึกแล้ว นอนเถิด วันพรุ่งนี้ยังต้องไปเรียน”

ทั้งสองคนกลับไปนอนบนเตียง หนึ่งคนหนึ่งเตียง ห่มผ้าห่มนอนหลับปุ๋ย

เฉียวอี้ซียกอ่างน้ำดินเข้ามาพร้อมกับใบหน้าไม่พอใจ กำลังจะวางอ่างน้ำลงบนพื้นดังๆ ก็ได้ยินเฉียวเวยกล่าวขึ้นว่า “หากเจ้ากล้าทำน้ำกระเด็นเปียกพื้น ข้าจะลงโทษให้วันพรุ่งเจ้าไม่ได้กินข้าวทั้งวัน”

เฉียวอวี้ซีกัดริมฝีปาก จากที่จะกระแทกลงไปหนักๆ ก็เปลี่ยนมาเป็นวางเบาๆ จากนั้นจึงบิดผ้าในอ่างน้ำ แล้วเริ่มเช็ดโต๊ะกับเก้าอี้

“ขอบหน้าต่างด้วย” เฉียวเวยพลิกตำรา

เฉียวอวี้ซีถูขอบหน้าต่างแรงๆ ด้วยความโมโห

เฉียวเวยไม่มองนางเลยสักนิด พลิกสมุดพลางพูดเสียงเรียบเฉย “อีกประเดี๋ยวข้าจะตรวจดู หากมีฝุ่นแม้แต่นิดเดียว เจ้าต้องเช็ดซ้ำอีกสิบรอบ”

เฉียวอวี้ซีโมโหมากขึ้นทุกที นางมองขอบหน้าต่างนั่นเป็นใบหน้าของเฉียวเวยแล้ว ขัดๆๆ ถูๆๆ ใช้แรงมาก นางร้อนจนเหงื่อออก

ลำบากนักกว่าจะเช็ดขอบหน้าต่างเสร็จ คิดว่าในที่สุดก็จะได้ออกไปแล้ว แต่เฉียวเวยกลับเรียกเอาไว้อีก “ยังมีพื้นอีก ต้องเช็ดให้เงาเหมือนใหม่ ไม่มีฝุนสักเม็ด”

เฉียวอวี้ซีกัดริมฝีปาก “เจ้าจงใจใช่หรือไม่ ห้องใหญ่เช่นนี้ ข้าจะเช็ดคนเดียวได้เช่นไร”

เฉียวเวยตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน “ปกติข้าก็เช็ดคนเดียว”

เฉียวอวี้ซีไม่กล้าพูดว่าเจ้าเป็นคนต้อยต่ำ ข้าเป็นคนสูงศักดิ์อะไรทำนองนั้นแล้ว นางเติบโตมาในอารามเต๋า ฟังดูเหมือนโตมาอย่างสมถะยิ่งนัก แต่ความจริงแล้วของที่นางกิน ของที่นางใช้ล้วนมีแต่ของดีที่สุด บางครั้งปัดกวาดใบไม้ที่ร่วง เช็ดถูกรูปสลักในอารามล้วนทำพอเป็นพิธีเพื่อให้มีชื่อเสียงดีงาม ให้ผู้คนชื่นชมเท่านั้น ไม่กี่วันที่นางมาที่นี่ นางก็แทบจะทำงานเท่ากับที่นางทำมาทั้งชีวิต แต่คนต่ำช้าคนนี้ ไม่รู้ว่ากรอกยาเสน่ห์อะไรให้ซุนมัวมัวกับฟางมัวมัว ทั้งสองคนจึงแสร้งทำเหมือนไม่เห็นสิ่งที่นางเผชิญ

“ฝ่าบาทให้ข้ามาเรียนวิชาการเกษตรกับเจ้า ไม่ได้ให้เจ้ามาใช้งานข้าเป็นบ่าวรับใช้”

เฉียวเวยตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ “คำนี้เจ้าพูดผิดแล้ว งานบ้านเหล่านี้หากก่อนหน้านี้ข้ามอบให้บ่าวรับใช้ทำ ตอนนี้มอบให้เจ้าทำจึงจะพูดได้ว่าข้าใช้งานเจ้าเป็นบ่าวรับใช้ แต่ประเด็นก็คือในบ้านข้าไม่มีบ่าวรับใช้ งานทุกอย่างข้าเป็นคนทำเองทั้งหมด ข้าเห็นตนเองเป็นบ่าวรับใช้หรือไร”

“เจ้า…”

เฉียวเวยพลิกหน้ากระดาษ “เจ้าคิดว่าวิชาการเกษตรเรียนจากกระดาษได้หรือ ไม่ลงมือทำงานเอง ขยับปากง่ายๆ แผ่นดินที่รกร้างจะมีธัญพืชงอกงามออกมาหรือไร เจ้าไม่รู้ภาษา ยามไปถึงเผ่าซยงหนีว์ หากเจ้าไม่สาธิตด้วยตนเอง อาศัยพูดเพียงอย่างเดียว ผู้ใดจะเข้าใจว่าเจ้าพูดอันใด”

“ข้าก็พาคนที่รู้ภาษาซยงหนีว์ไปด้วยสิ!” เฉียวอวี้ซีเอ่ยอย่างดื้อรั้น

แววตาของเฉียวเวยไม่สั่นไหวแม้แต่น้อย “คำศัพท์เฉพาะบางอย่างแปลยากมาก ถึงตอนนั้นความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยก็ทำให้ครอบครัวหนึ่งไม่มีผลผลิตได้ตลอดทั้งปี ความรับผิดชอบเช่นนี้ คุณหนูใหญ่เฉียว เจ้าแบกไหวหรือ”

เฉียวเวี้ซีถูกสวนจนมิอาจโต้ตอบกลับ

เฉียวเวยไม่เปลี่ยนสีหน้า “ข้าให้เจ้าทำงานก็เพราะคิดถึงความแข็งแรงของร่างกาย เจ้าบอบบางจนมิอาจต้องลม แม้แต่จอบยังยกไม่ขึ้น น่ากลัวว่ายังไม่ทันถึงเผ่าซยงหนีว์ก็คงตายกลางทาง ข้าคิดว่านั่นคงไม่ใช่สิ่งที่ฮ่องเต้ปรารถนาจะเห็น เอาล่ะ ไม่ต้องพูดไร้สาระแล้ว รีบเช็ด เช็ดอย่างไรข้าสอนเจ้าแล้ว เจ้าทำตามก็พอ ก่อนข้าอ่านสมุดเล่มนี้จบ เจ้าต้องเช็ดพื้นให้เสร็จ”

เฉียวอวี้ซีเหลือบมองสมุดในมือของนาง เหลือเนื้อหาอีกเพียงครึ่งน้อยแล้ว นางหน้าถอดสีทันใด จากนั้นก็คุกเข่าลงเริ่มเช็ดพื้น

สวีซื่อฝัน นางฝันเห็นบุตรสาวถูกคุณหนูใหญ่เฉียวทารุณอยู่บนเขาจนอยู่ไม่สู้ตาย นางสะดุ้งตื่นจากฝัน อยากจะบอกเรื่องนี้กับสามี แต่เมื่อคลำบนฟูกกลับพบว่าเย็นเฉียบ จึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเฉียวเย่ว์ซานไปนอนที่ห้องของอนุภรรยาเหมย

สวีซื่อเหงื่อเย็นหลั่งทั่วร่าง

ปึงๆ!

มีคนเคาะประตูห้อง สวีซื่อตกใจสะดุ้งโหยง “ผู้ใด”

“บ่าวเองเจ้าค่ะ” เสียงของตานจวี๋ดังขึ้นที่ประตู “คุณชายใหญ่ตื่นแล้ว ให้บ่าวมาดูว่าฮูหยินหลับหรือยัง หากฮูหยินยังไม่หลับ คุณชายใหญ่อยากจะเชิญฮูหยินไปที่ห้องของเขาสักหน่อย”

“เข้าใจแล้ว” สวีซื่อขานรับโดยที่ยังตกใจไม่หาย นางใช้ผ้าเช็ดเหงื่อ แล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าแห้งสบาย ปรับสีหน้าจนเรียบร้อยแล้วจึงไปที่ห้องของเฉียวจ้งชิง

เฉียวจ้งชิงนอนอยู่บนเตียงอย่างอ่อนแรง สีหน้าซีดขาว ริมฝีปากเป็นสีม่วงน้อยๆ

สวีซื่อนั่งลงตรงขอบเตียง เก็บปลายผ้าห่มให้เขา “ดึกป่านนี้แล้วยังไม่นอน มีเรื่องใดค่อยคุยพรุ่งนี้ไม่ได้หรือ”

เฉียวจ้งชิงกล่าวขึ้นว่า “ข้าตัดใจให้น้องสาวไปทุกข์ทรมานที่เผ่าซยงหนีว์ไม่ลง“

สวีซื่อสะอื้น “ข้าไหนเลยจะตัดใจลง แต่ตัดใจไม่ลงแล้วอย่างไร ราชโองการของฮ่องเต้ประกาศออกมาแล้ว ตัวนางตอนนี้ก็อยู่ในกำมือของนางคนต่ำช้าผู้นั้น…”

เรื่องระหว่างเฉียวอวี้ซีกับเรือนใหญ่ สวีซื่อปิดบังสามีไว้แต่ไม่ได้ปิดบังบุตรชาย สามีมีสตรีคนอื่นได้ แต่บุตรชายมีนางเป็นมารดาเพียงคนดียว บุตรชายไม่มีวันทรยศนาง ไม่ว่าสิ่งใด นางล้วนบอกให้บุตรชายฟังได้อย่างสบายใจ

เฉียวจ้งชิงหลุบสายตาลงแล้วกล่าวว่า “ท่านแม่ จะช่วยน้องไม่ใช่ว่าจะไม่มีหนทาง”

สวีซื่อฟังจบก็นิ่งอึ้ง “เจ้ามีหนทางหรือ”

เฉียวจ้งชิงตอบเหมือนขบคิดบางสิ่ง “ฝ่าบาทให้น้องสาวไปร่ำเรียนวิชาการเกษตรที่ชนบทไม่ใช่หรือไร ภายในเวลาสั้นๆ น้องสาวไม่มีทางได้เดินทางออกจากต้าเหลียง ต่อให้น้องสาวมีพรสวรรค์ล้ำเลิศ ร่ำเรียนสำเร็จในเวลาไม่นาน แต่กรมพิธีการฝั่งนั้นจะเตรียมสินเดิมก็ต้องใช้เวลายี่สิบกว่าวัน เมื่อเป็นเช่นนี้ย่อมนานพอให้พวกเราวางแผนการแล้ว”

สวีซื่อเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ลูกชาย เจ้าอย่าทำเรื่องโง่ๆ น้องสาวของเจ้าถูกลากลงไปเคราะห์ร้ายแล้ว ข้าไม่อยากให้เจ้าเกิดเรื่องอีกคน!”

เฉียวจ้งชิงหัวเราะหยัน “ข้าเกิดเรื่องไปแล้ว ไม่ใช่หรือ”

สวีซื่อบื้อใบ้

คนผู้นั้นส่งคำเตือนให้เฉียวจ้งชิง เขาไม่กล้าทำอะไรกับเรือนใหญ่แล้ว แต่ไม่แตะเรือนใหญ่ไม่เท่ากับว่าไม่แตะผู้อื่น “นี่เป็นโอกาสหนสุดท้ายของพวกเราแล้ว หากชนะ ไม่เพียงน้องสาวจะไม่ต้องแต่งงานไปไกลบ้าน แม้แต่ทุกสิ่งที่เสียไปก็ล้วนทวงกลับคืนมาได้ทั้งหมด”

สวีซื่อมึนงง “สิ่งที่เสียไปทั้งหมด ลูกชายเจ้าหมายถึงอะไร แม่ยิ่งฟังก็ยิ่งงง”

เฉียวจ้งชิงไม่ตอบ แต่ถามขึ้นว่า “สินเดิมของท่านป้าใหญ่ ท่านแม่เป็นผู้ดูแลทั้งหมดเลยหรือไม่”

“ใช่แล้ว” ตอนที่ข่าวเสิ่นซื่อกับเฉียวเจิงพบเคราะห์ร้ายส่งมาถึง ในตระกูลก็ให้นางรับช่วงต่อทรัพย์สินของเสิ่นซื่อ “เจ้าถามเรื่องนี้ทำไมหรือ”

ดวงตาของเฉียวจ้งชิงทอประกายลุ่มลึก “ป้าสะใภ้ใหญ่เป็นบุตรีของราชาโอสถ สิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในสินเดิมของนางไม่ใช่เงินหนึ่งแสนตำลึงนั่น แต่เป็นสูตรยาและสมุนไพรที่นางนำมาจากหุบเขาสมุนไพร”

สวีซื่อกล่าวว่า “สูตรยา บิดาของเจ้าเอาไปแล้ว สมุนไพรก็ใช้หมดไปพอสมควรแล้วเช่นกัน”

เฉียวเย่ว์ซานอาศัยสูตรยากับสมุนไพรของเสิ่นซื่อจึงสร้างความสำเร็จเหนือกว่าหมอนับพัน เบียดเข้าไปอยู่ในสำนักหมอหลวงสำเร็จ จากนั้นอาศัยความพยายามสิบกว่าปี จึงได้นั่งบนตำแหน่งรองหัวหน้าสำนักหมอหลวง หนนี้เขายังรักษาองค์ชายเผ่าซยงหนีว์จนหายดี หากไม่เกิดเรื่องไม่คาดฝัน ไม่กี่เดือนหลังจากนี้เขาก็จะกลายเป็นหัวหน้าสำนักรุ่นถัดไป

เฉียวจ้งชิงเอ่ยอย่างมีเลศนัย “มีของสิ่งหนึ่ง ท่านพ่อจะต้องยังไม่เคยใช้มันแน่”

“สิ่งใด”

“กู่พรากรัก”

กู่พรากรัก หรืออีกนามหนึ่งคือกู่ครองรัก เป็นแมลงกู่ชนิดหนึ่งที่เติบโตอยู่ในเตียนตู มันมีสรรพคุณมอมเมาสติปัญญาของผู้คน มักจะอยู่กันเป็นคู่ กู่ตัวเมียกับกู่ตัวผู้ ใช้กับสตรีและบุรุษ ผู้ที่ได้รับกู่จะถูกบังคับให้ลุ่มหลงอีกฝ่ายอย่างยากจะหักห้ามโดยที่ควบคุมตนเองไม่ได้

เรื่องนี้ฟังดูแล้วบ้าบออย่างยิ่งจนทำให้คนแทบจะไม่อยากเชื่อ

เฉียวจ้งชิงแต่เดิมก็ไม่เชื่อ แต่ผ่านไปหลายปีเช่นนี้ ท่านพ่อใช้ยาทั้งหมดในห้องเก็บของไปแล้ว มีเพียงขวดน้อยใบนั้นที่ไม่ได้แตะ เขาจึงเชื่ออยู่บ้างว่าของสิ่งนั้นแตะต้องไม่ได้จริงๆ

สวีซื่อหยิบขวดใบน้อยที่มีฝุ่นเกาะเต็มไปหมดสองใบออกมาจากห้องเก็บของตามคำบอกของบุตรชาย “ใช่พวกมันหรือไม่ แม่คิดมาตลอดว่าเป็นขวดเปล่าสองใบ แต่คิดว่าทำมาจากหยก ดีเลวก็มีค่าอยู่บ้างจึงยังไม่ได้ทิ้งไป แต่จ้งชิง เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าในห้องเก็บของมีของสิ่งนี้อยู่”

ตอนอายุห้าขวบ เฉียวจ้งชิงเล่นซ่อนแอบแล้วเข้าไปซ่อนในห้องเก็บของ เขาบังเอิญได้ยินเสิ่นซื่อคุยกับเฉียวเจิงโดยไม่ได้ตั้งใจ เสิ่นซื่อเหมือนกำลังจะออกเดินทางไกล จึงกำชับเฉียวเจิงว่ายาในห้องแห่งนี้ใช้ได้ทั้งสิ้น มีแต่กู่พรากรักนี่เท่านั้นที่ห้ามแตะเด็ดขาด

ต่อมาเสิ่นซื่อไม่ได้ออกเดินทางไกลไปคนเดียว เฉียวเจิงก็ไปกับนางด้วย เพียงแต่ว่าหลังจากออกไปแล้วก็ไม่กลับมาอีก นั่นเป็นหนสุดท้ายที่เฉียวจ้งชิงได้ยินเสียงของเสิ่นซื่อ ดังนั้นเขาจึงจำได้แม่นยำยิ่งนัก

เฉียวจ้งชิงเอ่ยต่อว่า “ข้าได้ยินป้าสะใภ้ใหญ่กับท่านลุงใหญ่คุยกันโดยบังเอิญ ในขวดใบใหญ่คือกู่ตัวเมีย ในขวดใบเล็กคือกู่ตัวผู้ ท่านแม่จำได้แล้วหรือไม่”

สวีซื่อพยักหน้า “ข้าจำได้แล้ว”

วันต่อมา อากาศแจ่มใส จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูขนม้านั่งตัวน้อยมานั่งเคี้ยวข้าวฟ่างอยู่หน้าประตู ข้าวฟ่างมีรสหวาน กลิ่นหอมแล้วยังนุ่ม อร่อยยิ่งกว่าอ้อย ทั้งสองคนกินท่อนแล้วท่อนเล่า ไม่รู้กินไปถึงกี่ท่อน ผิวของข้าวฟ่างก็บาดมือของจิ่งอวิ๋น

“ท่านแม่ ข้าเลือดออก” จิ่งอวิ๋นวิ่งไปที่ห้องครัว

กินข้าวฟ่างก็ไม่ดีที่ตรงนี้ ผิวบางเกินไปจนบาดมือเป็นแผลได้ง่าย เฉียวเวยทำความสะอาดแผลให้บุตรชายแล้วทายาจินชวง เห็นบุตรชายไม่เป็นอะไรมากก็ให้เขาไปเล่นต่อ

เด็กน้อยทั้งสองคนร่างกายแข็งแรง บาดเจ็บเล็กน้อยเท่านี้ล้วนไม่ร้องไห้

วั่งซูเป่าฟู่ๆ ให้พี่ชายสองที ฝั่งโน้นจงเกอร์ก็เดินออกมา ทั้งสามคนจึงจูงมือกันไปเรียนหนังสือ

เฉียวเวยพาเฉียวอวี้ซีกับมัวมัวทั้งสองคนไปเก็บแตงโมที่ไร่แตงโม พอเก็บเสร็จ แต่ละคนก็สะพายแตงโมหนึ่งตะกร้ากลับขึ้นเขา

เฉียวเวยก้าวเร็วราวกับบิน มัวมัวทั้งสองคนก็ทำงานจนคุ้นชินแล้วจึงไม่นับว่ากินแรงเท่าใด แต่เฉียวอวี้ซีไม่โชคดีเช่นนั้น นางแบกไม่ขึ้นสักนิด “ข้าแบกไม่ไหว! ข้าแบกไม่ไหวจริงๆ!”

เฉียวเวยไม่รักหยกถนอมบุปผาแม้แต่น้อย “แบกไม่ไหวก็ต้องแบกให้ไหว”

เฉียวอวี้ซีชี้หน้านาง “เจ้าฆ่าข้าเสียเลยเถอะ!”

เฉียวเวยยิ้มละไม “ขัดขืนราชโองการไม่เคารพเบื้องสูงมีโทษตายจริงๆ ก็ได้ หากเจ้าอยากจะตาย ข้าก็จะพยายามสุดความสามารถทำให้เจ้าสมปรารถนา”

“เจ้าทำเกินไปแล้ว!” เฉียวอวี้ซีคว้าโคลนก้อนหนึ่งมาจะปาใส่นาง

เฉียวเวยตวัดสายตามอง เฉียวอวี้ซีก็หัวหด

เฉียวเวยยิ้มหยัน “ตอนข้าเพิ่งมาถึงที่นี่ ร่างกายอ่อนแอเสียยิ่งกว่าเจ้า ข้าอุ้มลูกสองคนเดินจากหมู่บ้านไปถึงตัวเมือง แล้วจากตัวเมืองนั่งรถม้าไปจนถึงเมืองหลวง ทนท้องหิวต่อแถวอยู่ตลอดทั้งเช้า ผลสุดท้ายหอหลิงจือของพวกเจ้ากลับไม่ยอมรักษาคน ผู้ใดกันแน่ที่ทำเกินไปแล้ว”

เฉียวอวี้ซีสะอึก หน้าแดงก่ำเหมือนตับหมู แต่ก็เถียงอย่างไม่ยอมแพ้ “พวกเขาหนักเท่าแตงโมหนึ่งตะกร้านี้ที่ไหน”

เฉียวเวยหิ้วตะกร้าของนาง “ยี่สิบแปดชั่งสามเหลี่ยงครึ่ง ยังจะมีหน้าร้องว่าหนักอีกหรือ”

“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าหนักเท่านั้น” เฉียวอวี้ซีไม่เชื่อ

เฉียวเวยหันกลับไปหยิบตาชั่งอันหนึ่งออกมาจากตะกร้า แล้วชั่งทีละลูก เมื่อชั่งเสร็จรวมกันก็ยี่สิบแปดชั่งสามเหลี่ยงครึ่งพอดี ไม่ขาดไม่เกิน

เฉียวอวี้ซีตาค้าง

เมื่อเฉียวอวี้ซีแบกแตงโมตะกร้าหนึ่งมาถึงคฤหาสน์อย่างยากลำบาก นางก็เหน็ดเหนื่อยจนแขนขาไร้เรี่ยวแรง ไม่ทันแบกแตงโมเข้าไปในบ้านก็ทรุดนั่งลงกับพื้น แต่เพราะกลัวแตงโมลูกไหนจะหล่นแตก นางจึงไม่ลืมใช้แขนปกป้องตะกร้าเอาไว้ด้วย

เฉียวเวยรับตะกร้าไปอย่างง่ายดาย

เฉียวอวี้ซีเห็นนางหน้าไม่แดงไม่หอบสักนิดก็หลุดปากว่า “เจ้า…เจ้ายังเป็นคนอยู่หรือไม่…”

แบกหนักกว่านางอีก แต่ไม่หอบสักหนเดียว…

เฉียวเวยขนแตงโมเข้าไปในบ้าน เฉียวอวี้ซีเกาะรั้วลุกขึ้นมา

“ซีเอ๋อร์! ซีเอ๋อร์!” สวีซื่อเดินเข้ามาพร้อมกับน้ำตา นางหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดเหงื่อข้างขมับให้บุตรสาว แล้วเอ่ยอย่างปวดใจ “ลูกสาวผู้อาภัพของข้า เจ้าเจอคนใจไม้ไส้ระกำคนใดเข้า จึงทรมานเจ้าถึงเพียงนี้”

“ยังไม่ตาย เสียงดังอีกหน่อยสิ”

น้ำเสียงหยอกล้อของเฉียวเวยดังมาจากด้านในคฤหาสน์

สวีซื่อกัดฟัน ตะโกนไปทางคฤหาสน์ “ข้ามาเยี่ยมลูกสาวข้า! ฝ่าบาทไม่ได้บอกเสียหน่อยว่าห้ามคนมาเยี่ยม!”

เฉียวเวยเดินออกมาจากประตูใหญ่แล้วยิ้มน้อยๆ “ตามใจ”

สวีซื่อประคองลูกสาวไปยังที่พักของลูกสาว เมื่อเห็นห้องอันอัตคัดแห่งนั้น หัวใจก็ราวกับถูกมีดปั่น เฉียวอวี้ซีปูเตียงเองไม่เป็น ฟูกปูเตียงจึงยุ่งเหยิง ผ้าห่มไม่ใส่ปลอมหุ้ม กองขยุกขยุยอยู่ที่มุมหนึ่ง สวีซื่อรีบให้หลินมามาปูเตียงให้บุตรสาว เสื้อผ้าสกปรกก็นำไปใส่กะละมังซัก เมื่อหันไปมองมือเรียวงามของลูกสาวก็เห็นตุ่มพองแตกอยู่หลายแห่ง “นางคนโหดเหี้ยม! เหตุใดจึงทำกับเจ้าเช่นนี้”

เฉียวอวี้ซีฟ้องอย่างคับแค้น “ท่านแม่ ท่านรีบพาข้าไปที! ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่แล้วจริงๆ! ทุกวันนางต้องเล่นงานข้า ไม่ให้ข้ากินอิ่ม แล้วยังให้ข้าทำงาน…”

เห็นลูกสาวขอบตาแดงระเรื่อก็มีอยู่พริบตาหนึ่งที่สวีซื่ออยากจะคืนทรัพย์สมบัติให้เฉียวเวยไปเสียแลกให้ลูกสาวได้กลับบ้าน แต่สวีซื่ออดกลั้นไว้ ไม่ใช่นางตัดใจจากทรัพย์สมบัติไม่ได้ แต่นางต้องการมากกว่านั้น ไม่เพียงแต่จะพาลูกสาวกลับบ้าน แต่ยังจะให้ลูกสาวได้สิ่งที่เคยเป็นของตนเองกลับคืนมา “เจ้าวางใจเถิด แม่คิดหาทางได้แล้ว ไม่นานก็ช่วยเจ้าออกมาได้แล้ว”

เฉียวอวี้ซีโอดครวญอย่างไม่พอใจ “ยังต้องรออีกนานเท่าใด”

“ไม่นาน ไม่นานจริงๆ แม่รับประกันกับเจ้า” สวีซื่อหันไปมองด้านนอก แล้วลุกขึ้นไปปิดประตู จากนั้นหยิบกล่องที่ทำขึ้นเป็นพิเศษใบหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อกว้าง “ซีเอ๋อร์ นี่ยันต์แคล้วคลาดที่แม่ขอมาให้เจ้า เจ้าจำเอาไว้ต้องพกติดตัว”

เฉียวอวี้ซีปฏิเสธอย่างอารมณ์เสีย “ข้าไม่ต้องการ ข้าอยากจะกลับบ้าน”

สวีซื่อยิ้ม “แม่จะมารับเจ้ากลับบ้านแน่”

“สวมเจ้านี่แล้วทำงานไม่สะดวก” เฉียวอวี้ซียังคงไม่รับ

ทำงานทั้งเหนื่อยทั้งร้อน แม้แต่สร้อยหยกบนคอ นางยังถอดออก ยันต์แคล้วคลาดนี่นางคร้านจะสวม

สวีซื่อปลอบเสียงอ่อนโยน “เจ้าสวมไว้เถอะ ต้าซือบอกไว้ว่าสิ่งนี้ช่วยคุ้มครองให้สิ่งที่เจ้าคิดสมประสงค์ สวมไว้จะมอบโชคดีมาให้!”

“จริงหรือ” เฉียวอวี้ซีเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

สวีซื่อสวมบนลำคอของบุตรสาว “แม่เคยหลอกเจ้าเมื่อใด มา แม่สวมให้เจ้า”

สวีซื่อสวมให้เฉียวอวี้ซี

อ๊ะ! ทันใดนั้นเฉียวอวี้ซีก็ร้องออกมาคำหนึ่งแล้วยกมือกุมลำคอ

“เป็นอะไร” สวีซื่อทำหน้า ‘ประหลาดใจ’ ถามขึ้นมา

“เหมือนถูกตัวอะไรกัด ท่านแม่ นี่ยันต์กิ๊กก๊อกอะไรกัน ข้าไม่เอาแล้ว!” เฉียวอวี้ซีกระชากยันต์แคล้วคลาดออกมา แล้วโยนไปที่มือของสวีซื่อ

เป้าหมายบรรลุ กู่ตัวเมียเข้าไปในร่างของลูกสาวแล้ว ยันต์แคล้วคลาดนี่จะรับไว้หรือไม่ก็ไม่สำคัญอีกต่อไป “ได้ๆ ไม่เอาก็ไม่เอา แม่เก็บไว้ให้เจ้าก่อน เมื่อใดเจ้าอยากได้ แม่จะมอบให้เจ้าใหม่”

สวีซื่อคุยกับลูกสาวอยู่พักหนึ่งก็วางของกินมากมายเอาไว้ให้ จากนั้นจึงจากไปอย่างอาลัยอาวรณ์พร้อมกับหลินมามา

ก่อนกลับ สวีซื่อเดินเข้าไปในคฤหาสน์

“มีธุระอันใดหรือ โหวฮูหยิน ขบคิดเสร็จแล้วหรือ” เฉียวเวยกำลังคิดบัญชีเงียบๆ อยู่ในห้อง

สวีซื่อเดินเข้ามาในห้อง “ข้ามาเพราะอยากจะบอกเจ้าว่า เงื่อนไขที่เจ้าเรียกร้องมันมากเกินไป สมบัติของมารดาเจ้า ข้าไม่ได้เก็บเอาไว้คนเดียว ต่อให้ข้าอยากจะเอาออกมา เวลาสั้นๆ ย่อมเอาออกมาไม่ได้ เจ้าต้องให้เวลาข้าสักสองสามวัน”

เฉียวเวยเอ่ยเรียบๆ “อย่าคิดจะใช้แผนชะลอทัพ”

สวีซื่อฉวยจังหวะที่เฉียวเวยไม่สังเกต แปะยันค์แคล้วคลาดอีกแผ่นหนึ่งไว้ใต้โต๊ะ

ลูกชายบอกว่ากู่ตัวผู้ไม่กัดผู้หญิง กัดแต่ผู้ชายเท่านั้น ขอเพียงมีบุรุษเข้าใกล้มัน มันก็จะออกมาจากยันต์

บุรุษที่เข้ามาในห้องนี้ได้ คิดว่าคงมีแต่คนผู้นั้นจากจวนอัครมหาเสนาบดีกระมัง

“เหตุใดเจ้าจึงพูดไม่รู้เรื่องเช่นนี้ ข้ามองเจ้าผิดไปแล้ว!” สวีซื่อแสร้งทำเป็นโมโห เดินออกจากห้องไปโดยไม่หันกลับมามอง

พอนางเดินจากไป เฉียวเวยก็หยิบของที่นางแปะไว้ใต้โต๊ะของนางออกมา เหอะ คิดจะลอบเล่นงานนางหรือ