ภาค 3 บทที่ 156 มีเด็กสาวคนหนึ่งอยู่บนเขา

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก – ภาค 3 บทที่ 156 มีเด็กสาวคนหนึ่งอยู่บนเขา

เด็กผู้หญิงคนนั้นที่วาดอยู่ในจดหมายของอาจารย์ อายุตั้งแต่หกเจ็ดขวบจนถึงจนถึงสิบสองสิบสามปี เมื่อครู่นางดูเด็กน้อยพวกนี้แล้วไม่มีคนในภาพวาด

อาจารย์จากโลกนี้ไปสี่ปีกว่าแล้ว หากอาจารย์วาดภาพคนตามอายุแล้วล่ะก็ เด็กผู้หญิงคนนั้นตอนนี้ก็น่าจะอายุสิบห้าสิบหกปี

นางต้องการพบเด็กผู้หญิงอายุเท่านี้ที่นี่

ได้ยินคำพูดของนาง คนที่อยู่ที่นั่นก็ดีใจทันทีไปเรียกคนที่อายุเท่านี้มาอีก มีเด็กผู้ชายอีกสามคนเด็กผู้หญิงอีกสองคนมาปลูกฝีล้วนอายุสิบห้าสิบหกปี

คุณหนูจวินมองดวงหน้าของเด็กผู้หญิงสองคนนี้อย่างละเอียด ยังไม่ใช่ นางซ่อนอารมณ์หลุบตาปลูกฝีให้คนเหล่านี้

บางทีนั่นอาจเป็นเพียงคนที่อาจารย์คิดถึง บางทีอาจไม่อยู่แล้ว

“….เหล่าเซี่ย นิวหนิ่วปีนี้ก็อายุสิบห้าแล้ว…”

เสียงภรรยาของเซี่ยหย่งพลันลอยมาเข้าหู

หูคุณหนูจวินขยับ การเคลื่อนไหวที่มือไม่หยุด แต่คนทั้งร่างเกร็งเขม็ง

นิวหนิ่ว?

คำพูดของภรรยาเซี่ยหย่งยังไม่ทันเอ่ยจบก็ถูกเสียงกระแอมทีหนึ่งของเซี่ยหย่งขัด

ปลายหางตาของคุณหนูจวินมองเห็นพวกเขาเดินไปด้านหนึ่ง โต้เถียงอะไรกันเสียงเบา

หลังครู่หนึ่ง สามีภรรยาสกุลเซี่ยก็หยุดพูด เซี่ยหย่งเดินไปด้านหนึ่ง ส่วนภรรยาของเซี่ยหย่งเดินออกไป

คุณหนูจวินอดไม่ได้กำตะไบในมือแน่น ปลายหางตาถูกฝูงชนขวางไว้ มองไม่เห็นว่าภรรยาของเซี่ยหย่งเดินไปที่ใด

บางที อาจเป็นไปได้ หวังว่านะ

“เสร็จแล้ว” คุณหนูจวินวางแขนเสื้อลง ยิ้มเอ่ยกับเด็กสาวคนนั้น

เด็กสาวเขินอายอยู่บ้างลนลานคำนับแล้วรีบร้อนวิ่งไปอยู่ข้างกายคนในครอบครัวตน

“ยังมีอีกไหม?” คุณหนูจวินเอ่ยถาม

“ไม่มีแล้ว” เซี่ยหย่งเอ่ย โบกมือให้ผู้คน “ทุกคนแยกย้ายเถอะ ให้คุณหนูจวินพักผ่อน”

ทุกคนจึงรีบพาเด็กของตนจากไป ในเรือนเหลือเพียงเซี่ยหย่ง

“คุณหนูจวินเชิญนั่ง” เขาเอ่ย ตนเองนั่งลงบนม้านั่งเตี้ยในเรือนก่อน

คุณหนูจวินก็นั่งลงบ้าง มองสองมือของเซี่ยหย่งที่ประสานไว้หน้าตัว นิ้วหัวแม่มือสองข้างของเขากำลังหมุนวนโดยไม่รู้สึกตัว

“คุณหนูจวิน การปลูกฝีนี่เป็นบรรพบุรุษของท่านสืบทอดมาหรือ?” เซี่ยหย่งพลันเอ่ยถาม

ในที่สุดก็ถามแล้ว คุณหนูจวินก็ประสานมือทั้งสองข้างไว้เหมือนกัน

“ทำไมหรือ?” นางเอ่ยถามคล้ายไม่เข้าใจอยู่บ้าง “มีปัญหาอะไรหรือ?”

คนมักจะถูกคำถามดึงดูดได้ง่าย อย่างที่คิด ถูกย้อนถามเช่นนี้ เซี่ยหย่งรีบโบกมือ

“ไม่มีปัญหา ไม่มีปัญหา ข้าไม่ได้ตั้งคำถามสิ่งที่บรรพบุรุษของคุณหนูจวินสืบทอดมา” เขาเอ่ย คล้ายได้คำตอบแล้ว แต่ความจริงคุณหนูจวินไม่ได้ตอบ

คุณหนูจวินมองเขา รอคอยคำตอบของเขา

“ความหมายของข้าก็คือ มีคนมาถามตระกูลของท่านเรื่องการปลูกฝีหรือไม่?” เซี่ยหย่งถูมือเอ่ย

คนผู้นี้ที่เขาว่า คืออาจารย์หรือ?

คุณหนูจวินวางมือไว้บนหัวเข่า

“คนที่ถามถึงการปลูกฝีมากมายนัก” นางว่า

“ไม่ได้มาหาหมอ แล้วก็ไม่ใช่หมอ” เซี่ยหย่งรีบร้อนเอ่ยอีกครั้ง เหมือนไม่รู้จะอธิบายอย่างไรอยู่บ้าง “คือแปลกอย่างยิ่ง แต่ก็เข้าใจการปลูกฝีเหมือนกัน…”

คำอธิบายเช่นนี้พูดไม่กระจ่างสักนิด…

ในใจเซี่ยหย่งร้อนรนอยู่บ้าง แล้วก็ตำหนิตนเองอยู่บ้าง ตำหนิตนเองวาจางุ่มง่าม

“ไม่รู้ว่าท่านจะเข้าใจหรือไม่ ก็คือคนผู้นั้น…”

เขายิ่งไม่รู้จะพูดว่าอย่างไร เงยหน้ามองคุณหนูจวิน กลับเห็นคุณหนูจวินพยักหน้า

“ข้าเข้าใจ” นางเอ่ย

อ๋า? เข้าใจ? เซี่ยหย่งอึ้งไปนิดหนึ่ง ตัวเขาเองยังไม่ค่อยเข้าใจเลย

“ข้าเข้าใจความหมายที่ท่านพูด” คุณหนูจวินพูดเสียงอ่อนโยน “การปลูกฝีเรื่องนี้ย่อมไม่ได้โผล่ออกมาจากอากาศแน่ เป็นสิ่งที่สืบทอดมาแต่โบราณ คนมากมายล้วนเคยคาดคิดถึง เพียงแต่เพราะเหตุผลต่างๆ นานาจึงไม่ได้ทำขึ้นมา ตัวอย่างเช่นทำไม่ง่าย ไม่สะดวกทำ ทำไม่ได้”

นางมองเซี่ยหย่งพลางเอ่ยประโยคนี้ออกมา พลันเห็นดวงตาของเซี่ยหย่งสว่างวาบ ปรบมือดังป้าบทีหนึ่ง

“ถูกต้อง ถูกต้อง เขาก็พูดเช่นนี้” เขาว่า เพราะตื่นเต้นคนพลันลุกขึ้นยืน “คุณหนูจวิน ท่านเคยพบเขาหรือ?”

จมูกของคุณหนูจวินแสบนิดๆ

“เขาคือใคร?” นางเอ่ยถามไม่เข้าใจอยู่บ้าง “ความหมายของข้าคือมีคนเช่นนี้ แต่ท่านเจาะจงพูดถึงใคร?”

“เขา…” เซี่ยหย่งตื่นเต้นอ้าปาก

เขา คือใคร? เขา ชื่ออะไร? ชื่อที่แท้จริงของเขาคืออะไร?

มือของคุณหนูจวินที่วางอยู่บนหัวเข่ากำแน่น จ้องมองเซี่ยหย่ง

เซี่ยหย่งกลับปิดปากอีกครั้ง สีหน้าก็เปลี่ยนกลายเป็นหดหู่

“ข้าไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร” เขาเอ่ย

อะไรนะ? คุณหนูจวินอึ้ง

“ความหมายของข้าคือข้าไม่รู้ว่าอยู่ด้านนอกเขาใช้ชื่อว่าอะไร” เซี่ยหย่งเอ่ย ยิ้มเยาะตัวเอง “บางทีชื่อของเขาที่ข้ารู้ก็อาจเป็นชื่อปลอม”

ที่แท้ไม่ใช่แค่ตนที่เป็นเช่นนี้หรอกหรือ อาจารย์ คนผู้นี้ช่าง… นางติดตามเขานานปีปานนี้ ตอนนี้รู้สึกเหมือนคนแปลกหน้าคนหนึ่ง คนที่ไม่รู้จักสักนิด

คุณหนูจวินมองเซี่ยหย่ง ไม่รู้ว่าพวกเขารู้จักกับอาจารย์กี่ปีแล้ว?

แต่ไม่ว่าชื่อที่อาจารย์บอกกับพวกเราเป็นของจริงหรือของปลอม อาจารย์ต้องคิดถึงพวกเขาแน่ ไม่เช่นนั้นคงไม่ใช่ชื่อจางชิงซานเดินทางท่องโลก

จางชิงซาน เขาจางชิงซาน

“ท่านลองพูดมาฟังสิ ไม่แน่ข้าอาจเคยได้ยินนะ” คุณหนูจวินเอ่ย

เซี่ยหย่งลังเลครู่หนึ่ง กำลังจะเอ่ยปาก ภรรยาของเซี่ยหย่งก็รีบร้อนเดินเข้ามาจากด้านนอก

“สามี พี่สะใภ้ตกลงแล้ว” นางเอ่ยอย่างดีใจ

ได้ยินคำพูดนี้เซี่ยหย่งพลันยินดีทันที

“คุณหนูจวิน” เขาเอ่ย “ยังมีอีกคนหนึ่งรบกวนให้ท่านปลูกฝี”

ในที่สุด จะปรากฏตัวแล้วหรือ?

นาทีนั้นที่ภรรยาของเซี่ยหย่งวิ่งเข้ามา หัวใจคุณหนูจวินก็เต้นเร็วขึ้นแล้ว รอจนได้ยินประโยคนี้ยิ่งควบคุมไม่อยู่พรูลมหายใจ

“เอาสิ” นางเอ่ย

“เด็กคนนี้ต้องรบกวนคุณหนูจวินไปที่บ้านนาง” ภรรยาของเซี่ยหย่งมองคุณหนูจวินที่ยังนั่งอยู่ เอ่ยขึ้นเชิงขอโทษอยู่นิดๆ

“แน่นอนได้สิ” คุณหนูจวินเอ่ย มือยันมุมโต๊ะด้านข้างลุกขึ้นยืน

สามีภรรยาสกุลเซี่ยนำทาง คุณหนูจวินกอด**บยาไว้ในอ้อมกอดแน่นติดตามไป

“คุณหนูจวิน” ภรรยาของเซี่ยหย่งเห็นเข้า คิดนิดหนึ่งยื่นมืออกมา “**บนี้หนักมากสินะ ข้าช่วยท่านถือเอง”

เหมือนตั้งแต่เข้าหมู่บ้านมา คุณหนูจวินคนนี้มักจะกอด**บยาไว้ตลอด ปกติไม่ใช่หิ้วไว้หรือสะพายหลังไว้หรือ? เพราะหนักเกินไปแล้ว แม่นางน้อยหิ้วไว้เหนื่อยเกินไปหรือ?

คุณหนูจวินรีบยิ้มส่ายศีรษะ

“ไม่ต้อง ไม่หนัก” นางเอ่ย

นางเพียงอยากกอด**บยาไว้เช่นนี้ เพราะด้านในเก็บจดหมายของอาจารย์ไว้ ว่าตามธรรมเนียมแล้วก็ประหนึ่งป้ายวิญญาณกลับมาบ้านเกิดไปพบครอบครัวของตนเอง

เซี่ยหย่งส่ายศีรษะให้ภรรยา

แม่นางน้อยต้องยังระแวงอยู่แน่ ในสภาพแวดล้อมตึงเครียดไม่คุ้น คนกอดสิ่งที่ตนเองคุ้นเคยย่อมปลอบประโลมใจได้

ภรรยาของเซี่ยหย่งก็ไม่ฝืนต่อ

“ไกลอยู่บ้าง” นางยิ้มเบี่ยงประเด็น

คุณหนูจวินยิ้มไม่เอ่ยวาจาเดินหน้าตามพวกเขาไป ไม่นานก็มาถึงตีนเขา ดูจากไกลๆ เขาจางชิงซานนี่ไม่นับว่าใหญ่ เข้ามาใกล้เห็นป่าทึบปูทั่ว หินภูเขาซ้อนเป็นชั้นๆ ก็น่าเกรงขามเหมือนกัน

ต้องขึ้นเขาหรือ? เด็กผู้หญิงคนนั้นอยู่บนเขาหรือ? คุณหนูจวินมองสามีภรรยาสกุลเซี่ยที่เดินขึ้นไปตามเส้นทางภูเขา

“คุณหนูจวิน อยู่บนเขาน่ะ” ภรรยาของเซี่ยหย่งหันกลับมาบอก แล้วยื่นมือมาอีกครั้ง “ข้าประคองท่านนะ”

คุณหนูจวินก้าวเท้าขึ้นเขาทั้งยังเร่งความเร็วแซงนาง แล้วหันกลับมายิ้มให้นาง

ภรรยาของเซี่ยหย่งหลุดยิ้ม

เด็กน้อยนี่…

ยิ้มพลางก็ไม่สบายใจอยู่บ้างอีกครั้ง เด้กน้อยคนนี้ที่จริงไม่นับว่าคุ้นเคยกับพวกนาง ทำไมรู้สึกคุ้ยเคยปานนี้?

คุณหนูจวินไปข้างหน้าต่อแล้ว

เส้นทางภูเขานี่เห็นชัดมากว่าคนปรับปรุงมาแล้ว เดินสะดวกยิ่ง

นี่ปรับเพื่อเด็กผู้หญิงคนนั้นหรือ? เด็กผู้หญิงคนนั้นทำไมอยู่บนเขา? คุณหนูจวินเดินไปพลางคิดไปพลาง พลันถูกคนร้องเรียกทีหนึ่ง

“หยุด”

ก้าวเท้าของคุณหนูจวินหยุดทันที

ทำไมหรือ? คุณหนูจวินมองไปไม่ทันรู้ตัว ตรงหน้าต้นไม้พาดสลับกัน หญ้าต้นฤดูใบไม้ร่วงยังคงเต็มเปี่ยมด้วยชีวิตงอกบ้าคลั่งปูทั่วพื้น

หญ้าพวกนี้…ไม่ถูกต้องอยู่นิดๆ คุณหนูจวินหรี่ตาเล็กน้อย แม้หญ้าเอนซ้ายเบี่ยงขวาสับสนตามใจ แต่มองทะลุหญ้าที่ปูวุ่นวายอยู่บ้างนี่ก็ยังมองเห็นร่องรอยคนทำจำนวนหนึ่งอยู่ แสงตะวันทอดลอดป่าเขาเป็นลายพร้อย สายตาของคุณหนูจวินก็เห็นเส้นด้ายเส้นแล้วเส้นเล่าที่พาดตัดสลับกันท่ามกลางพงหญ้านี้ลางๆ

ด้านในพงหญ้านี่วางค่ายกลลับไว้ เหมือนกับค่ายกลลับที่นางวางไว้รอบด้านข้างกายเวลานอน

บนทางภูเขาวางค่ายกลลับไว้ เห็นได้ว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นต้องสำคัญมากแน่ ทั้งยังถูกปกป้องไว้

คุณหนูจวินมองสามีภรรยาสกุลเซี่ย พวกเขาสีหน้าเคร่งเครียดอยู่บ้าง กลั้นลมหายใจ

มีอันตรายเข้ามาใกล้หรือ?

การหยุดครั้งนี้ ครุ่นคิดครั้งนี้เพียงแค่เวลาหนึ่งพริบตา ข้างหูคุณหนูจวินก็ได้ยินเสียงวิ้งดังขึ้นทีหนึ่ง

ค่ายกลลับถูกกระตุ้นให้ทำงานแล้ว!

คุณหนูจวินกอด**บยาไว้แน่น เห็นเส้นด้ายละเอียดเส้นแล้วเส้นเล่าดีดตัวขึ้นมาจากในพงหญ้าใต้แสงตะวัน เสียงร้องประหลาดเสียงหนึ่งดังขึ้นในป่า พร้อมกันนั้นไก่ป่าสีสันละลานตาตัวหนึ่งก็บินเข้ามาในสายตาของคุณหนูจวิน

ไก่…ป่า?

คุณหนูจวินอึ้งไปแล้ว ข้างหูได้ยินเสียงหัวเราะและเสียงปรบมือของภรรยาของเซี่ยหย่ง

“คราวนี้จับได้ตัวใหญ่เชียว!”