ตอนที่ 163-2 บุปผางาม จันทรากระจ่าง
เฉียวเวยดึงตัวบุตรชายมากอด กอดรัดฟัดเหวี่ยงเขาให้หนำใจสักหน่อย อาศัยช่วยที่เขายังเด็ก รีบแต๊ะอั๋งให้มาก ไว้หากโตขึ้นกลายเป็นสามีของแม่นางน้อยคนใด นางคงไม่ได้กอดอีกแล้ว
มารดากับบุตรกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่พักหนึ่ง วั่งซูก็ตื่นตาม
จิ่งอวิ๋นกระโดดลงจากเตียงไปล้างหน้าล้างตาเอง เขาจะไม่มีวันแย่งมารดากับน้องสาว วั่งซูถลาเข้าไปหาอ้อมแขนของเฉียวเวยทันที ลืมตาพลางยิ้มแปล้ เอ่ยด้วยสีหน้าตื่นเต้นยินดีว่า “ท่านแม่!”
เฉียวเวยยิ้มพลางหอมแก้มน้อยๆ ของนาง “มีเรื่องอะไรถึงอารมณ์ดีเพียงนี้”
วั่งซูเอ่ยอย่างอารมณ์ดีว่า “วันนี้วันหยุด!”
เด็กเกเรมักชอบวันที่ไม่ต้องไปเรียนหนังสือ
เฉียวเวยตีพุงเนื้อเด้งของบุตรสาวด้วยความขบขัน “เช้านี้อยากกินอะไร”
วั่งซูพลิกตัวไปหัวเตียง “ซาลาเปาไข่ปู!” กินที่บ้านสี่ประสานจนติดใจแล้ว
ที่บ้านมีปูที่ฮูหยินสี่ส่งมาให้พอดี แต่ละตัวเนื้อแน่นทั้งนั้น เฉียวเวยล้างหน้าล้างตาให้วั่งซูเสร็จก็ไปที่ห้องครัว ทำซาลาเปาไข่ปูหนึ่งเข่ง ซาลาเปาไข่เค็มไส้ไหลหนึ่งเข่ง แล้วยังต้มข้าวต้มอีกหนึ่งหม้อ นึ่งเนื้อเค็มอีกหนึ่งถาด
คนทั้งบ้านได้กินกันจนอิ่มหนำ
จากนั้นซาลาเปาทั้งสองก็วิ่งไปเล่นกับจงเกอร์ เฉียวเวยจำเรื่องที่ผู้ดูแลฉิวบอกได้ จึงเรียกชีเหนียงมา “เรื่องของเจ้า ผู้ดูแลฉิวเล่าให้ข้าฟังแล้ว เรื่องนี้อากุ้ยรู้หรือไม่”
“เขาไม่รู้” ชีเหนียงเอ่ยด้วยความเศร้าใจ
เฉียวเวยคิดถึงอากุ้ยที่เป็นชายหัวโบราณแล้วส่ายหน้า “เช่นนั้นก็อย่าให้เขารู้เลยแล้วกัน”
ชีเหนียงพยักหน้า “ข้าก็คิดเช่นนั้น”
เฉียวเวยนิ่งไปพักหนึ่ง “คืนนั้นเจ้ากลับมาอย่างไร”
ชีเหนียงเม้มปาก “ผู้ดูแลฉิวมาส่ง”
เฉียวเวยค่อนข้างเปิดกว้างในเรื่องนี้ ไมได้คิดว่าการที่ชายหญิงอยู่กันสองต่อสองในรถคันเดียวกันหมายความว่าจะต้องเกิดอะไรขึ้น เพียงแต่โลกก็เป็นเช่นนี้ ฐานะของสตรีอย่างไรก็กระอักกระอ่วนกว่าบุรุษ “เขาคิดเช่นไรกับเจ้า เจ้าคงดูออกกระมัง”
ชีเหนียงพยักหน้า ตอนแรกนางไม่รู้จริงๆ ตอนหลังพอได้มีปฏิสัมพันธ์กันครั้งสองครั้ง จึงค่อยๆ รับรู้ได้ เพียงแค่ไม่มีใครไปเจาะกระดาษตรงหน้าต่างให้ทะลุเท่านั้น นางเองก็ทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไร ถึงอย่างไรในใจนางก็มีเพียงอากุ้ย ไม่มีทางไปอะไรกับผู้ดูแลฉิวอยู่แล้ว
ครานี้หากไม่ใช่เพราะฮูหยินอยู่ในสถานการณ์อันตรายจริงๆ นางคงไม่ไปหาเขาถึงบ้านเลยตลอดชีวิตนี้
เฉียวเวยรู้ดีกว่าชีเหนียงเป็นคนเช่นไร นางไม่มีทางเหยียบเรือสองแคมกับผู้ชายสองคนแน่นอน กว่าครึ่งคงเป็นเพราะตนถึงได้เสี่ยงอันตรายไปหาผู้ดูแลฉิว เฉียวเวยเอ่ยอย่างเป็นกังวลว่า “ของคุณเจ้ามากที่คิดถึงข้า แต่ข้าเองก็เป็นห่วงเจ้ามากเช่นกัน ต่อไปเจ้าอย่าออกไปเสี่ยงอันตรายคนเดียวอีกเลย เจ้ายังดีที่ไม่ได้เจอขโมยขโจร แต่หากไปเจอเข้าเล่า ข้าคงได้รู้สึกผิดไปชั่วชีวิต”
ชีเหนียงหลุบตาลง “ตอนนั้นข้าไม่ทันได้คิดอะไร”
เฉียวเวยเอ่ยว่า “ต่อไปต้องคิดนะ”
ชีเหนียงมองสายตาเป็นห่วงเป็นใยของนายสาวแล้วเอ่ยว่า “ข้าจะระวัง”
ชีเหนียงออกจากบ้านมาก็ไปที่โรงงาน
อากุ้ยถามว่า “เมื่อกี้ฮูหยินเรียกเจ้าไปมีเรื่องอะไร”
ตาชีเหนียงพลันมีประกายวาบผ่าน “ไม่มีอะไร แค่ถามว่าช่วงที่นางไม่อยู่หลายวันนี้ โรงงานมีความคืบหน้าอย่างไรบ้าง สินค้าของหัวหน้าชุยจะส่งช้าไม่ได้”
อากุ้ยอุ้มโหลที่ดองไข่เยี่ยวม้าเสร็จแล้วขึ้นมา “ทำอยู่ทีเดียว ไม่ช้าแน่!”
ชีเหนียงลอบถอนหายใจ
เฉียวเวยไปที่ห้องเฉียวเจิงเพื่อตรวจอาการ ชีพจรของเฉียวเจิงมีแนวโน้มที่จะเป็นปกติแล้ว สีหน้าก็ไม่ดำคล้ำราวกับคนตายอีก เปลี่ยนเป็นขาวปนแดงระเรื่อ นี่เป็นสัญญาณที่ดีมาก เพียงแค่ไม่รู้ว่าจะฟื้นขึ้นมาได้เมื่อไร
เฉียวเวยถอนหายใจ
จู่ๆ ด้านนอกก็มีเสียงเถ้าแก่หรงดังขึ้น “เสี่ยวเฉียว! เจ้าอยู่รึไม่”
เฉียวเวยเหน็บปลายผ้าห่มให้เฉียวเจิงเสร็จก็ลุกขึ้นไปที่ห้องโถง “ตายจริง ลมอะไรหอบเถ้าแก่หรงมาได้นี่”
เถ้าแก่หรงกรอกตาบนใส่อย่างต่อว่าต่อขาน “ข้ามาตั้งสองครั้งแล้ว! เจ้าไม่อยู่สักครั้งเลย! บอกให้เจ้าไปหา เจ้าก็ไม่ไป! ยังคิดว่าตัวเองเป็นเถ้าแก่ที่หรงจี้อยู่หรือไม่กันนี่”
เฉียวเวยยิ้ม “ก็ข้าไม่ได้มีธุระส่วนตัวนิดหน่อยหรอกหรือ”
เถ้าแก่หรงส่งเสียงเหอะ “คราก่อนเจ้าบอกอยู่ชัดๆ ว่าจัดการเรื่องส่วนตัวเสร็จแล้ว!”
คราก่อนเป็นเรื่องบ้านตระกูลเฉียว ครานี้เป็นเรื่องซู่ซินจง ข้าไม่ได้อยู่ว่างๆ จริงๆ นะ
เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ “พี่หรงมาหาข้า เพราะมีเรื่องอะไรหรือ”
คำว่าพี่หรงนี้ฟังแล้วค่อยสบายใจหน่อย สีหน้าเถ้าแก่หรงดีขึ้นเล็กน้อย ยกตะกร้าที่เอามาด้วยขึ้นมาวางบนโต๊ะ
เฉียวเวยเพ่งมอง “ปู?”
เถ้าแก่หรงเอ่ยว่า “นี่ไม่ใช่ที่ขายกันตามตลาดนะ เป็นปูที่ข้าตั้งใจขอให้คนส่งมาจากที่อื่น ให้คนละแปดตัว เจ้าเป็นเจ้าบ้าน ให้เจ้ายี่สิบตัว”
ปูพวกนี้ตัวใหญ่กว่าที่ฮูหยินสี่ส่งมาให้เล็กน้อย เฉียวเวยจินตนการถึงรสชาติอันโอชะหลังจากนึ่งพวกมันจนสุกได้เลยทีเดียว จึงรับไว้พร้อมรอยยิ้ม “ขอบคุณเถ้าแก่หรงมาก”
เรียกพี่หรง!
เถ้าแก่หรงพึมพำเอ่ยว่า “ไม่ได้ให้เจ้าเปล่าๆ นะ”
“ข้ารู้” เฉียวเวยยิ้มพลางเดินไปที่ห้องครัว หยิบเอาโหลที่ปิดสนิทออกมา
เถ้าแก่หรงแง้มออกดูทีหนึ่ง ในโหลเต็มไปด้วยไข่เยี่ยวม้านกกะทา อารมณ์ดียิ่งนัก!
พอคิดอะไรได้ เถ้าแก่หรงก็ตีหน้าเคร่ง “ใช่สิ ที่มาหาเจ้าเพราะข้ามีธุระ”
“เรื่องบ้าน?” เฉียวเวยถาม
เถ้าแก่หรงขมวดคิ้ว “เหตุใดเจ้าถึงรู้ไปหมดทุกเรื่องเนี่ย”
เฉียวเวยยิ้ม “ช่วงนี้เรื่องที่พวกเรายุ่งกันอยู่ก็ไม่ใช่เรื่องนี้หรอกหรือ”
เถ้าแก่หรงส่งเสียงหึหึ “จะเป็นว่าข้าตั้งใจเอาปูมาให้เจ้าไม่ได้หรือ”
เฉียวเวยเลิกคิ้ว “หรือว่าใช่”
“ไม่ใช่” เถ้าแก่หรงทำคอหดด้วยความขุ่นเคือง กระแอมเบาๆ แล้วกลับมาพูดเป็นการเป็นงานว่า “ก็บ้านของท่านอาคนนั้นนั่นแหละ ข้าส่งคนออกไปกระจายข่าวลือไม่น้อย บอกว่าที่นั่นฮวงจุ้ยไม่ดี ใครไปอยู่มีแต่จะโชคร้าย เลยไม่มีใครไปถามเรื่องบ้านกับนางอีก แต่นางก็ดูไม่มีทีท่าจะลดราคา เจ้าว่าจะตกลงซื้อที่ราคาหนึ่งพันห้าร้อยตำลึงไปเลยดีหรือไม่”
เฉียวเวยเอ่ยอย่างน่าขันว่า “ท่านยังให้คนไปปล่อยข่าวลือด้วยหรือ เจ้าเล่ห์ไม่หยอก”
“แค่กๆ ไม่เจ้าเล่ห์ก็ทำการค้าไม่ได้นี่!” เถ้าแก่หรงดีกับเฉียวเวยพอสมควร แต่กับคนอื่น ก็เป็นพ่อค้าเจ้าเล่ห์ที่ตัดหัวตัดหางผู้อื่น ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่เอาไข่เยี่ยวม้าที่มีต้นทุนแค่ไม่กี่อีแปะไปขายที่ราคาสองร้อยอีแปะตั้งแต่ต้น นี่เรียกว่าโก่งราคากันชัดๆ
ปลายนิ้วของเฉียวเวยเคาะลงเบาๆ ที่โต๊ะ นี่เป็นท่างทางของจีหมิงซิวยามใช้ความคิด “ยังไม่ซื้อก่อน ปล่อยนางรอไป”
เถ้าแก่หรงคิดแล้วบอกว่า “หนึ่งพันห้าร้อยตำลึงก็ไม่แพงนะ”
เฉียวเวยบอกว่า “ไม่แพงอะไรกัน สถานที่ผุๆ พังๆ เช่นนั้น มีค่ามากเพียงนี้เชียวหรือ”
“นั่นไม่ได้มีแค่พื้นที่เปล่าๆ นี่…” พูดถึงตรงนี้ เถ้าแก่หรงก็คิดอะไรขึ้นมาได้ “ข้ารู้แล้ว เจ้าคิดจะ… อื้อๆ”
เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ “ทำตระกูลข้าเสียล้มไม่เป็นท่าเช่นนั้น อย่างไรข้าก็ต้องตักตวงผลประโยชน์สักหน่อย จริงหรือไม่”
เทศกาลไหว้พระจันทร์ใกล้เข้ามาแล้ว เมื่อไม่มีเงินฉลองเทศกาล นางจะคอยดูว่าสวีซื่อจะทนไปได้สักกี่น้ำ!
…
ประตูหลังจวนเอินปั๋ว สวีซื่ออยู่ในชุดที่ซักจนขาวซีด กำลังก้มหน้าเดินไปเดินมาอยู่ ยามที่มีสาวใช้หรือหญิงรับใช้สูงอายุเดินผ่าน นางก็ใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดหน้าตนเอาไว้
“ปูวันนี้ดียิ่งนัก”
“ฮูหยินสี่เอามาเป็นรางวัลให้ทุกคน ของบ้านข้ากินกันหมดไปแล้ว ของเจ้ายังเหลืออยู่หรือไม่”
“พ่อแม่ข้าไม่กินปู ตู้มามามากินสิ”
สวีซื่อได้ยินอย่างนั้นก็หัวร้อนทันที นางแม้แต่ปลาหรือกุ้งตัวเล็กๆ ยังไม่มีจะกิน คนพวกนี้ถึงขั้นได้กินปูเชียวหรือ!
“เอ๊ะ นั่นใครกัน ไม่ใช่ฮูหยินรองหรอกหรือ” สาวใช้หยุดเดิน
หญิงรับใช้สูงอายุหันไปมองสวีซื่อ “จริงด้วย ฮูหยินรอง! ฮูหยินรอง!”
“เจ้าจำคนผิดแล้ว!” สวีซื่อรีบร้อนจะหนีไป!
ฮูหยินสามเดินเอื่อยๆ พลางโบกผ้าเช็ดหน้าเดินออกมา ทั้งสองหันไปทำความเคารพฮูหยินสาม “ฮูหยินสาม”
ฮูหยินสามมองไปรอบๆ “พวกเจ้าเห็นพี่สะใภ้รองของข้ารึไม่”
หญิงรับใช้สูงอาวุยกมือขึ้นชี้ “เห็นคนหนึ่งเจ้าค่ะ หน้าตาคล้ายฮูหยินรองมาก เดินไปทางนั้นแล้ว”
ฮูหยินสามเดินเข้าไปใกล้ซอย หันมองแผ่นหลังที่น่าเวทนาอย่างแทบไม่กล้าเชื่อสายตาตนเอง “พี่สะใภ้รอง”
สวีซื่อหันกลับมา เมื่อเห็นฮูหยินสามที่แก้วแหวนเงินทองเต็มตัว ในใจก็เกิดความอับอาย
ฮูหยินสามยิ้มพลางมองประเมินนางทีหนึ่ง “พี่สะใภ้รอง จะหลบหูตาผู้คนก็ไม่จำเป็นต้องแต่งกายถึงขั้นนี้กระมัง”
สวีซื่อพยายามตั้งสติ “ไม่ใช่เพราะข้ากลัวจะทำให้เจ้าลำบากหรอกหรือ หากให้สาวใช้พวกนั้นรู้ว่าเจ้ายังไปมาหาสู่กับข้า เกรงว่าจะทำให้พวกเจ้าเดือดร้อนไปด้วย”
ฮูหยินสามแสร้งทำเป็นเชื่อในสิ่งที่อีกฝ่ายบอก “พี่สะใภ้รองมาหาข้ามีธุระอะไรหรือ”
สวี่ซื่อสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วบอกว่า “ช่วงนี้ข้าขัดสนเรื่องเงินเล็กน้อย เจ้าให้ข้าหยิบยืมหน่อยสิ ไว้ข้าได้เงินที่ขายของมาแล้ว จะมาคืนให้เจ้า”
สายตาฮูหยินสามพลันเปลี่ยน “ไข่เยี่ยวม้าของพี่สะใภ้รองไม่ได้ดองจนเน่าไปแล้วหรือ ยังจะได้เงินอีกหรือ”
สวีซื่อสะอึกไป “เจ้าไปฟังใครพูดมา”
ฮูหยินสามเอ่ยประชดว่า “คนทั้งบ้านตระกูลเฉียวรู้กันหมดแล้ว พี่สะใภ้รอง ท่านจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อ ‘ขโมย’ สูตรจากคุณหนูใหญ่ แต่กลายเป็นว่าสูตรนั้นเป็นของปลอม ไข่ของท่านเหม็นเน่าไปหมด ท่านต้องชดใช้เงินจนหมดตัว จะมีเงินมาคืนข้าหรือ”
สวีซื่อถูกพูดแทงใจดำ พอพูดขึ้นมา ฮูหยินสามก็มีไฟสุมแน่นท้องทันที อุตส่าห์เก็บหอมรอมริบมาเป็นสิบปีกว่าจะมีเงินส่วนตัวกับเขาบ้าง แต่เพราะเรือนรองไปทำให้คุณหนูใหญ่ไม่พอใจเข้า ทำให้ทุกครอบครัวพลอยเดือดร้อนกันไปด้วยหมด นางต้องคายเงินเก็บออกมาจนไม่เหลือหลอ ซ้ำยังต้องไปหยิบยืมจากบ้านเดิมมาอีกไม่น้อยถึงจะเติมที่หายไปให้เต็มได้
เวลานี้พี่สะใภ้รองผู้นี้กลับมีหน้ามาทวงผลประโยชน์ที่เคยให้นางไว้อีกหรือ ไม่เล่นงานนางถึงตายก็ถือว่าบุญโขแล้ว!
ฮูหยินสามยิ้มพลางเอ่ยแดกดัน “ผลประโยชน์ที่พี่สะใภ้รองเคยให้ข้า ข้าได้คืนทั้งหมดให้กับคุณหนูใหญ่ไม่มีขาดตกบกพร่องแล้ว พี่สะใภ้อยากจะหยิบยืมเงินน่ะหรือ ไปหาคุณหนูใหญ่เอาเถอะ!”
พูดจบนางก็ไม่เสียเวลาคุยกับสวีซื่ออีก หมุนตัวเดินไปทันที
“เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้นะ!” สวีซื่ออ้อมไปดักหน้านางไว้
ฮูหยินสามเอยอย่างอารมณ์ไม่ดีว่า “ข้าบอกว่าข้าไม่มีเงินแล้ว พี่สะใภ้รองจะเอาอย่างไรอีก!”
สวีซื่อขมวดคิ้ว “เจ้าช่วยนำความไปบอกที”
ฮูหยินสามเกือบหลุดหัวเราะออกมา “ท่านยังจะหวังพึ่งเมิ่งอี้เหนียงอีกหรือ นางพาตัวเองข้ามแม่น้ำไปยังแทบตาย ตัวเองยังจะเอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว ถ้าท่านรีดเงินจากตัวนางมาได้แม้แต่อีแปะเดียว ข้าเกาฮุ่ยจะใช้แซ่ตามท่านเลย!”
สวีซื่ออึ้งไป
ฮูหยินสามหุบยิ้ม เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “อีกอย่าง หากท่านคิดจะไปหาน้องสี่ ข้าก็ขอบอกให้ท่านล้มเลิกความคิดนี้เถิด ตอนนั้นท่านไล่แม่สามีนางไปอยู่บ้านข้างนอก ถึงปากนางจะไม่พูด แต่ช่วงนี้คุณหนูใหญ่อนุญาตให้นางรับแม่สามีนางกลับมาอยู่ที่จวนแล้ว นางกับนายท่านสี่ดีใจกับแทบแย่ ในใจนางก็คงนึกแค้นท่านอยู่เหมือนกัน ท่านอย่าได้ไปขอยืมเงินจากนางอีกเลย ข้ารู้ว่าท่านลำบาก แต่คนทั้งจวนใครเลยจะกล้าช่วยท่าน ท่านไม่ควรทำร้ายพี่ใหญ่จนบาดเจ็บสาหัสตั้งแต่แรก พี่ใหญ่เป็นคนที่ใจอ่อนที่สุดในบรรดาพี่น้องแล้ว ต่อให้ท่านทำผิดมากกว่านี้ แค่ยอมก้มหัวขอขมาพี่ใหญ่ พี่ใหญ่ก็คงยอมให้อภัยท่าน แต่เวลานี้… เฮ่อ ท่านขอให้ตัวเองโชคดีเถิด!”
…
เทศกาลไหว้พระจันทร์ใกล้เข้ามาแล้ว เฉียวเวยเข้าเมืองไปซื้อหาวัตถุดิบมาทำอาหาร นางกับป้าหลัวและชุ่ยอวิ๋นทำขนมไหว้พระจันทร์กันไปร้อยกว่าอัน มีไส้ไข่เค็ม ไส้ถั่วบด ไส้ห้าสหาย ไส้เม็ดบัว… แจกให้คนในโรงงานคนละกล่อง หนึ่งกล่องมีหกลูก ทั้งยังแจกไข่เยี่ยวม้าให้ทุกคนคนละหกฟอง กับไข่เค็มอีกหกฟอง
ไข่เยี่ยวม้ากับไข่เค็มล้วนเป็นของที่คนในหมู่บ้านซื้อหากินไม่ไหว พอได้แจกทีละสิบสองฟอง ทุกคนจึงดีใจกันแทบแย่!
ขนมไหว้พระจันทร์หาซื้อตามตลาดได้ ทั้งยังราคาไม่แพง เพียงแต่ขนมไหว้พระจันทร์ที่พวกเขาได้ไม่ใช่ขนมไหว้พระจันทร์เล็กๆ ตามตลาดพวกนั้นที่แค่เปิดออกเปลือกก็แตกออกมาแล้ว แต่เป็นขนมไหว้พระจันทร์ที่มีเปลือกแน่นหนาสีน้ำตาล เจือความแวววาวเล็กน้อย ด้านบนประทับเป็นลวดลายตัวอักษรตัวใหญ่อย่างเป็นระเบียบ แค่ดูก็รู้ว่าใช้ฝีมือมาก ตัวเปลือกนุ่ม พอกัดเข้าไปไม่มีร่วงลงมาสักนิด สัมผัสในปากที่อ่อนนุ่มนั้น แสนอร่อยจนไม่อาจพรรณนา
“บุปผางาม จันทร์กระจ่าง!”
เสี่ยวซวนจื่อชี้ไปยังตัวอักษรที่อยู่บนขนมไหว้พระจันทร์แล้วอ่านออกมาเสียงดัง
ซวนจื่อตกใจใหญ่ “เจ้าอ่านออกหรือ”
เสี่ยวซวนจื่อที่อายุแปดขวบพยักหน้า “อาจารย์เคยสอน!”
เวลานี้เด็กๆ ในหมู่บ้านทุกคนรู้หนังสือกันหมดแล้ว พูดออกไปเกรงว่าคงไม่มีใครเชื่อ
ซวนจื่อดีใจจนหุบยิ้มไม่ลง บุตรชายรู้หนังสือ เขาหางานทำได้ บิดาของเขายังคงขับรถเช่นเดิม แต่เงินที่หาได้มากกว่าเมื่อก่อน ตั้งแต่เมื่อไรกันที่ชีวิตเขาดีขึ้นเรื่อยๆ
เสี่ยวเว่ยเองก็ได้รับของขวัญเทศกาลไหว้พระจันทร์เช่นกัน ปี้เอ๋อร์รู้ว่าคนที่บ้านเขามาก จึงแอบเอาขนมไหว้พระจันทร์ให้เขาไปอีกสองกล่อง เช่นนี้ก็จะมีทั้งหมดสิบแปดชิ้น เมื่อเปิดออกมาแบ่งกัน ทุกคนก็จะได้กินเหมือนกันหมด!
แต่ไหนแต่ไรมาพวกโจรป่าไม่เคยได้กินขนมไหว้พระจันทร์ ของดีที่สุดที่พวกเขาเคยได้กินก็คือหมูสามชั้นน้ำแดงกับไข่เค็มของเฉียวเวย
พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่อพยพหนีมา มาจากคนละทิศละทาง พวกเขาไม่มีบ้าน ไม่มีเพื่อน ไม่มีญาติที่ไหน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เคยฉลองเทศกาลที่ต้องอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาเช่นนี้…
แต่พอเสี่ยวเว่ยไปทำงาน ก็ได้รู้ว่าวันนี้คือวันเทศกาลไหว้พระจันทร์!
เสี่ยวเว่ยหิ้วของพลางกระโดดโลดเต้นขึ้นภูเขาไป
หัวหน้าค่ายให้ความสำคัญกับการฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์ครั้งแรกของค่ายบนภูเขามาก เขานำป้ายชื่อของอดีตหัวหน้าค่ายออกมาวาง ด้านนอกตั้งเป็นโต๊ะสุราพร้อมกับจุดธูป “พิธีการ เริ่มได้!”
โจรป่าสิบกว่ายี่สิบคนยืนกันอย่างเป็นระเบียบอยู่ใต้แสงจันทร์ แหงนหน้ามองธงประจำค่ายที่แขวนอยู่เหนือยอดไม้ ซึ่งธงทั้งผืน ไม่สิ ครึ่งผืนถูกลมพัดจนเผยให้เห็นรูขาดๆ อยู่หลายรู มือขวาวางบนไหล่ซ้ายของคนข้างๆ ท่องคำปฏิญานของพวกเขาด้วยสีหน้าจริงจังและเคร่งขรึม “พวกเราเป็นโจรป่ามีปณิธาน พวกเราจะทำให้งานของโจรป่าเจริญรุ่งเรือง เป้าหมายของพวกเราคือการบุกเข้าไปขโมยของในบ้านคน พวกเราต้องโหดเหี้ยมเด็ดขาด วรยุทธ์ของพวกเราเป็นหนึ่งในใต้หล้า คำขวัญของพวกเราคือชิงความเจิดจ้า ชิงความเจิดจ้าและชิงความเจิดจ้า ไม่มีทางเหลือข้าวสักเมล็ดให้ศัตรู!”
หัวหน้าค่ายยกมือ “เอาล่ะ กินได้”