บทที่ 509 วันนี้ไม่น่าอยู่บ้าน

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 509 วันนี้ไม่น่าอยู่บ้าน

บทที่ 509 วันนี้ไม่น่าอยู่บ้าน

ระหว่างทาง หมอหม่าเดินตามหลังกุ้ยตงเหมย

“ตงเหมย ใครเป็นคนป่วยที่ทำให้เจ้ากังวลใจเช่นนี้ได้?” หมอหม่าเอ่ยถามอย่างจงใจ “คนในครอบครัวของเจ้าป่วยหรือเปล่า?”

เดิมทีกุ้ยตงเหมยรู้สึกเขินอายอยู่แล้ว แต่หลังจากได้ยินสิ่งที่หมอหม่าพูด นางก็ก้มหน้างุด ส่ายหัวเล็กน้อยและเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ไม่ใช่ ไม่ใช่… เป็นคนอื่น!”

เมื่อเห็นท่าทางเขินอายของกุ้ยตงเหมย หมอหม่ายิ้มในใจโดยรู้ว่าเขาไม่ควรพูดอีกต่อไป

เมื่อกุ้ยตงเหมยเห็นว่าหมอหม่าไม่ได้ถามคำถามเพิ่มเติม ใบหน้าที่แดงก่ำของนางก็ดีขึ้นมาเล็กน้อย

กุ้ยตงเหมยพาหมอหม่าไปที่บ้านครอบครัวกู้ และเมื่อมาถึงประตูก็เห็นฉินเย่จือกำลังเปิดประตู

ฉินเย่จืออยู่ในบ้านมาหลายชั่วยามแล้ว การซุกตัวอยู่ในบ้านทำให้รู้สึกอับชื้น และรู้สึกว่าวันนี้เขาไม่น่ามีกลอุบายเช่นนี้เลย หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ก็ควรไปด้วยเสียดีกว่า แล้วก็อ้างว่าจะพากู้เสี่ยวอี้ไปเดินเล่น!

ตอนนี้ตนเองอยู่คนเดียวในห้องนี้ อยากจะคุยกับใครสักคนแต่ก็ไม่มีคนให้คุยด้วย

อาโม่ผู้นี้ช่างกล้าหาญ และกล้าที่จะเพิกเฉยตนเอง

ฉินเย่จือคิดว่าตนควรจะสอนบทเรียนให้กับเขาในครั้งต่อไป เกรงว่าหากปล่อยให้เขาเป็นเช่นนี้ต่อไป เขาก็จะเหิมเกริมขึ้น

ในขณะที่ฉินเย่จือกำลังเปิดประตู เขาก็เห็นคนที่เขาเกลียดมายืนอยู่หน้าประตูบ้าน

กุ้ยตงเหมยยกมือขึ้น เดิมทีต้องการจะเคาะประตู ครั้นเห็นฉินเย่จือเปิดประตูออกมา ใบหน้าของนางก็เต็มไปด้วยความสุข หรือจะเป็นอย่างที่คนทั่วไปพูดว่านี่คือการที่ใจตรงกัน? ไม่อย่างนั้นเขารู้ได้อย่างไรว่านางจะเคาะประตู!

“พี่ใหญ่ฉิน…” กุ้ยตงเหมยยืนเขย่งเท้า และร้องตะโกนอย่างมีความสุข เมื่อเห็นว่าใบหน้าของฉินเย่จือดูไม่ดีเล็กน้อย นางก็คิดว่าเขารู้สึกอึดอัดและไม่สบาย

นางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้าใจมาก “พี่ใหญ่ฉิน ข้าเรียกหมอหม่ามาให้แล้ว ถ้าท่านรู้สึกไม่สบายตรงไหนก็บอกให้หมอหม่าดูเสีย!”

หมอหม่ารู้เรื่องคนผู้นี้มานานแล้ว ตอนนั้นฉินเย่จือได้รับบาดเจ็บสาหัส หมอคนแรกที่กู้เสี่ยวหวานไปหาก็คือหมอหม่า อย่างไรก็ตามเพราะทักษะของหมอหม่ามีไม่มากพอ ในภายหลังจึงต้องไปเรียกหมอพานมา

เมื่อเห็นว่าเป็นหมอหม่า ฉินเย่จือก็พยักหน้าเบา ๆ เพื่อเป็นการทักทาย

เดิมทีฉินเย่จือมีท่าทางเย็นชา แต่เมื่ออยู่กับกู้เสี่ยวหวาน เขากลับมีรอยยิ้มที่มีเสน่ห์บนใบหน้าของเขา คนอื่นไม่สามารถมองเห็นสีหน้าเช่นนี้จากใบหน้าของเขาได้เลย

ฉินเย่จือตระหนักว่าชายผู้นี้เป็นหมอเท้าเปล่า*[1]เพียงคนเดียวในหมู่บ้าน แซ่หม่า ในใจรู้สึกไม่มีความสุขเล็กน้อย แต่ก็ไม่อยากทำให้คนผู้นี้ขุ่นเคือง เพราะท้ายที่สุดกู้เสี่ยวหวานก็ยังคงอาศัยอยู่ที่นี่ “พวกเจ้ามีเรื่องอะไร?”

ในเวลานั้น ที่ฉินเย่จือสามารถอยู่ในหมู่บ้านอู๋ซีได้ก็เพราะกู้เสี่ยวหวานสาบานต่อหน้าผู้อาวุโสในหมู่บ้านว่า ฉินเย่จือจะอยู่ในขอบเขตและจะไม่สร้างปัญหาในหมู่บ้าน เช่นนั้นหัวหน้าหมู่บ้านเหลียงและคนในหมู่บ้านจึงตกลงให้เขาอยู่ต่อ

เพื่อกู้เสี่ยวหวาน ไม่ว่าฉินเย่จือจะเกลียดชังมากแค่ไหน เขาก็จะไม่ทำให้คนอื่นขุ่นเคืองโดยตรง

ดวงตาของฉินเย่จือเย็นเยียบ เมื่อเขาเหลือบมองกุ้ยตงเหมย นางรู้สึกสั่นสะท้านเล็กน้อย แต่เพื่อที่จะสามารถติดต่อกับฉินเย่จือได้ นางระงับความคับข้องใจและความรู้สึกไม่สบายในใจของนางและพูดเบา ๆ ว่า “ข้าได้ยินเสี่ยวหวานบอกว่าท่านไม่สบาย เลยคิดว่าจะมาเยี่ยม ถ้ารู้สึกไม่สบายตรงไหนก็บอกหมอหม่าได้เลย ท่านอยู่บ้านคนเดียวและไม่มีใครคอยดูแล และไม่รู้ว่าจะดื่มและกินอย่างไร! กู้เสี่ยวหวานช่างจิตใจโหดเหี้ยม นางปล่อยให้ผู้ป่วยอยู่ที่บ้านคนเดียวได้อย่างไร มันโหดเหี้ยมเกินไป!” สิ่งที่กุ้ยตงเหมยกล่าวพูดนั้นเศร้ามากราวกับว่านางกำลังร้องทุกข์ให้ฉินเย่จือ

เมื่อมองไปที่ฉินเย่จือ นางก็มีความกังวลอย่างลึกซึ้งในดวงตา

เดิมทีหมอหม่าต้องการเข้าร่วมด้วย แต่ตอนนี้สีหน้าของฉินเย่จือเริ่มเข้มขึ้นเรื่อย ๆ และดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้เป็นอะไรเลย เมื่อเห็นว่าบรรยากาศรอบตัวของฉินเย่จือเริ่มเย็นลงเรื่อย ๆ หมอหม่าก็รู้สึกหายใจไม่ออก

แล้วเขาก็หัวเราะขึ้นมาและพูดว่า “ตงเหมย ข้ายังมียาบางตัวที่ยังไม่ได้เอามา ข้าขอตัวก่อน”

“โอ้ ได้ รีบไปรีบกลับมานะ!” เมื่อกุ้ยตงเหมยได้ยินว่าหมอหม่ากำลังจะจากไป นางก็รู้สึกตื่นเต้นมากขึ้นไปอีก ตอนนี้มีเพียงนางและฉินเย่จือในที่นี้ ไม่ใช่ว่าจะคุยกันได้ง่ายขึ้นหรอกหรือ!

“พี่ใหญ่ฉิน ช่วยเปิดประตูให้ข้าเข้าไปรอหมอหม่าได้หรือไม่!” ฉินเย่จือไม่อยากจะเหลือบมองกุ้ยตงเหมยแม้สักนิด นางมองตนด้วยสีหน้าที่หลงใหล ดวงตาของนางจ้องตนอย่างไม่วางตา

ฉินเย่จือรู้สึกเสียใจจริง ๆ

วันนี้เขาควรจะออกไปข้างนอก!

ฉินเย่จือเหลือบมองกุ้ยตงเหมยอย่างเย็นชา แต่กุ้ยตงเหมยมีความสุขมาก แม้ว่าดวงตาของเขาจะไม่อบอุ่นแม้แต่น้อย แต่เขาก็ยังมองนางอยู่ดี!

กุ้ยตงเหมยคิดว่าตนเองเข้าตาของฉินเย่จือและรู้สึกตื่นเต้นมากขึ้น นางเขย่งปลายเท้าและพูดอย่างกังวลว่า “พี่ใหญ่ฉิน รีบเปิดประตูเร็ว ท่านรู้สึกไม่สบายไม่ใช่หรือ ท่านให้ข้าเข้าไป แล้วท่านก็กลับไปนอน รอให้หมอหม่ามา แล้วข้าจะต้มยาให้!”

อาโม่ซึ่งอยู่ไม่ไกล มองดูใบหน้าที่มืดหม่นของเจ้านายตนเอง แล้วมองไปที่กุ้ยตงเหมยที่มองดูเจ้านายด้วยใบหน้าที่หลงใหล เขาปิดปากและหัวเราะออกมา

สีหน้าของเจ้านายราวกับก้นหม้อ ถ้านี่คือจวนหลังใหญ่ เกรงว่าแม่นางผู้นี้จะถูกเขาโยนไปที่ถนนโดยตรง แต่ตอนนี้มันแตกต่างออกไป เจ้านายไม่สามารถลงมือตามใจชอบได้ และเขาไม่สามารถแตะต้องผู้คนในหมู่บ้านนี้ได้

ดูเหมือนว่าเจ้านายกำลังระงับความโกรธในหัวใจของเขาอยู่!

แม่นางผู้นี้ไม่กลัวความตายจริง ๆ สีหน้าของเจ้านายมืดมิดถึงเช่นนั้นแล้ว แต่นางไม่กลัวความตายและก้าวไปข้างหน้าอีก

“พี่ใหญ่ฉิน ทำไมท่านหน้าดำจัง มีอะไรผิดปกติกับท่านหรือเปล่า?” กุ้ยตงเหมยกังวลเมื่อเห็นใบหน้าของฉินเย่จือแย่มากก็กังวลอยู่พักหนึ่งแล้วจึงเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ท่าทางเร่งด่วนนั้นตลกและน่าขยะแขยงในสายตาของผู้อื่น

ฉินเย่จือมองกุ้ยตงเหมยอย่างเย็นชาและก้าวไปข้างหน้า

กุ้ยตงเหมยคิดว่าฉินเย่จือกำลังจะมาเปิดประตูให้ ดวงตาของนางก็เบิกกว้างอย่างมีความสุข “พี่ใหญ่ฉิน…” ในมุมมองของฉินเย่จือ สีหน้าหลงใหลเช่นนั้น การแสดงนั้นมันผิดราวกับตัวตลก

ฉินเย่จือเดินสองก้าวและมองกุ้ยตงเหมยที่จับประตูไม้อย่างมีความสุข เสียงของเขาเย็นชาราวกับแม่น้ำในเดือนสิบสอง เย็นชาถึงกระดูก “ไป!”

*[1] เกษตรกรที่ได้รับการฝึกการแพทย์และผู้ช่วยแพทย์พื้นฐานขั้นต่ำและทำงานในหมู่บ้านชนบท