ตอนที่ 560 จดหมายจากเหลียนเฉียว

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 560 จดหมายจากเหลียนเฉียว

กลับมาจากอเมริกาได้หลายวันแล้ว แต่หลินม่ายก็ยังไม่ได้ไปเดินที่ตลาดสดฝูตัวตัวเลย

เพราะได้ยินคุณปู่ฟางคุณย่าฟางบอกว่าผักในโรงเรือนของเธอขายที่ตลาดสดฝูตัวตัวได้ไม่เลวเลย หลินม่ายจึงวางแผนจะไปดูสักหน่อย

เมื่อออกมาจากโรงงาน เธอก็ขี่จักรยานไปที่ตลาดสดฝูตัวตัวทันที

มันเป็นเวลาเลิกงานของโรงงานพอดี พนักงานที่มาซื้อกับข้าวที่ตลาดสดฝูตัวตัวจึงมีไม่น้อย มีทั้งชายและหญิง เพียงแต่ส่วนมากจะเป็นผู้หญิง

หลินม่ายเดินเข้าไปในตลาดสด เท่าที่ตาเห็น มะเขือเทศ ถั่วฝักยาว แตงกวา พวกผักสี่ฤดูต่างๆ แทบจะไม่เหลือแล้ว

ถ้าหากไม่ใช่เพราะอากาศที่หนาวเหน็บเตือนสติว่าตอนนี้คือฤดูหนาว ก็คงทำให้คนอื่นคิดว่ากำลังอยู่ในตลาดสดกลางฤดูร้อนที่มีผักและผลไม้อุดมสมบูรณ์ที่สุดไปแล้ว

แม้ว่าผักนอกฤดูจะมีหลากหลายชนิด แต่ปริมาณของแต่ละชนิดกลับไม่มากนัก

จ้าวเลี่ยงที่เติบโตมาในหนทางสายดำมืดนั้นสายตาเฉียบคมกว่าคนทั่วไปมาก

หลินม่ายเดินไปมาอยู่ในตลาดสดไม่ถึงสามนาที ก็ถูกเขาที่กำลังตรวจตราพบเข้าเสียแล้ว

เขาสาวเท้าก้าวยาวๆ เดินไปยังข้างกายหลินม่าย “ประธานหลิน มาซื้อผักเหรอครับ”

หลินม่ายที่กำลังเลือกมะเขือเทศอยู่ได้ยินเช่นนั้นก็ถามขึ้น “ทำไมปริมาณของผักในโรงเรือนถึงมีน้อยทุกอย่างเลยล่ะ เป็นเพราะจัดหามาได้ไม่เพียงพอต่อความต่อความต้องการเหรอคะ?”

จ้าวเลี่ยงพยักหน้า “วันพรุ่งนี้ผมจะลงไปชนบทด้วยตัวเอง เพื่อขยายพื้นที่เพาะปลูกของผักโรงเรือน”

ทั้งสองคนคุยกันอีกสองสามประโยค จ้าวเลี่ยงก็ไปตรวจตราต่อ

หลินม่ายเลือกมะเขือเทศเสร็จแล้ว ก็เตรียมจะจ่ายเงิน พลันพบว่าสร้อยคอทองคำที่ต้องมอบให้เฉินเฟิงยังอยู่ในกระเป๋า ตนเองลืมเอาให้เขามาตลอดเลย

เมื่อซื้อกับข้าวเสร็จ เธอก็ขี่จักรยานไปที่ไซต์งานก่อสร้างสะพานลอย

ที่ไซต์ก่อสร้องจะเริ่มอาหารเย็นกันตอนหกโมงเย็น ขณะที่หลินม่ายรีบไป เหล่าคนงานก็ยังทำงานกันอย่างคึกคักเร่าร้อนอยู่

หลินม่ายตรงไปยังห้องทำงานของเฉินเฟิงทันที

เฉินเฟิงเพิ่งอ่านจดหมายที่เหลียนเฉียวส่งมาจบ

นี่เป็นจดหมายฉบับที่สิบแล้วหลังจากที่เหลียนเฉียวสมัครเป็นทหาร

ไม่ว่าเขาจะเขียนจดหมายให้หล่อนหรือไม่ และไม่ว่าเขาจะตอบกลับจดหมายของหล่อนบ้างหรือไม่ อย่างไรหล่อนก็ยังส่งจดหมายหนึ่งฉบับมาแทบจะทุกสัปดาห์โดยไม่มีสั่นคลอน

จดหมายฉบับแรกคือการบ่นเขา พูดดิบดีว่าจะมาส่งหล่อน สุดท้ายรถของกองทัพยังไม่ทันติดเครื่อง เขากลับวิ่งไปร่วมงานเลี้ยงขอบคุณอาจารย์ของหลินม่ายเสียแล้ว

จดหมายฉบับที่สองไม่ได้ต่อว่า เพียงแค่ตื่นเต้น บอกว่าในการฝึกอบรมทหารใหม่ หล่อนทำได้ยอดเยี่ยมที่สุด ผู้กองก็ยังชมเชยหล่อนด้วย

จดหมายฉบับที่สามเต็มไปด้วยความโอ้อวด บอกว่าตอนที่ฝึกการต่อสู้ หล่อนเหวี่ยงผู้กองจนแทบจะบินได้เลยทีเดียว ฮ่าๆๆ

จดหมายสองฉบับหลัง เฉินเฟิงนั้นอดไม่ได้ที่จะยกยิ้มมุมปากทุกครั้งที่อ่านมัน

แต่ตั้งแต่ฉบับที่สี่เป็นต้นไป เหลียนเฉียวเปลี่ยนไปเป็นคนละคน หล่อนกลายเป็นหญิงสาวที่เอาแต่กล่าวโทษทุกสิ่ง

หล่อนต่อว่าเขาว่าไร้น้ำใจไร้คุณธรรม

ทั้งสองคนโตมาด้วยกันตั้งแต่เล็ก ตอนนี้หล่อนไปเป็นทหารรับใช้ชาติ เทศกาลไหว้พระจันทร์ กลับไม่ได้รับขนมไหว้พระจันทร์ที่เขาส่งมาเลย วันชาติ ก็ยังคงไม่ได้รับของขวัญที่เขาส่งมาเหมือนเดิม

สหายรบคนอื่นๆ ไม่ว่าครอบครัวจะฐานะดีแย่ ก็ยังส่งอาหารของกินมาให้บ้าง มีแต่หล่อนที่ไม่มี

จดหมายทุกฉบับหลังจากนั้นล้วนเป็นการตำหนิต่อว่าเขา

ครั้งหนึ่งเฉินเฟิงเคยคิดว่า เหลียนเฉียวคือฉินเซียงเหลียนกลับชาติมาเกิด ส่วนเขาก็คือเฉินซื่อเหม่ยกลับชาติมาเกิด (1)

จดหมายที่เหลียนเฉียวส่งมาครั้งนี้ ก็ยังคงต่อว่าเขาว่าไร้น้ำใจไร้คุณธรรมอยู่เช่นเดิม

เฉินเฟิงเตรียมจะเขียนจดหมายตอบกลับหล่อนด้วยความจนใจ บอกหล่อนว่า ไม่ใช่ว่าเขาไม่ยอมส่งอาหารของกินให้หล่อน แต่เพราะกลัวหล่อนจะเข้าใจผิดว่าเขามีความรู้สึกฉันชู้สาวกับหล่อน

เมื่อใดที่หล่อนมีแฟนแล้ว อย่าว่าแต่ให้เขาส่งของกินให้หล่อนเลย แม้จะให้ส่งเสื้อผ้าให้ก็ไม่มีปัญหา!

เพิ่งจะเขียนจดหมายได้ไม่กี่บรรทัด ก็ได้ยินใครบางคนเคาะประตูสองสามครั้ง

เฉินเฟิงคิดอยู่ในใจ ใครกันเนี่ย ถึงได้สุภาพขนาดนี้

อย่างไรก็คงไม่มีทางเป็นลูกน้องใต้บังคับบัญชาพวกนั้นของเขาหรอก

แม้ว่าเขาจะเป็นลูกพี่ใหญ่ของพวกเขา เวลาพวกเขาเข้าห้องทำงานของเขาก็ไม่ได้เคาะประตูเหมือนกัน ไม่ใช้เท้าถีบเข้ามาก็ดีถมเถแล้ว

ปกติแล้วจะใช้มือผลักประตูเปิดเข้ามาสะเทือนเลื่อนลั่น

เฉินเฟิงตะโกนขึ้น “เข้ามาได้เลย”

ประตูห้องทำงานขานรับและเปิดออก และหลินม่ายก็เดินเข้ามา

เฉินเฟิงรีบซ่อนจดหมายที่เขียนจ่าหน้าแล้วเก็บไว้ในลิ้นชัก

จดหมายฉบับนี้จะให้หลินม่ายเห็นไม่ได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นเธอคงหัวเราะเยาะตายเลย

เขาเป็นชายชาตรี เหลียนเฉียวเป็นเด็กสาวคนหนึ่ง มาทะเลาะกันเพราะเรื่องขี้ประติ๋ว ช่างเป็นเรื่องน่าขายหน้าจริงๆ

เฉินเฟิงถามด้วยรอยยิ้ม “เพิ่งจะประชุมเสร็จเธอก็มาอีกแล้ว มีเรื่องอะไรลืมบอกไปหรือไง?”

“ก็ถือว่าใช่ล่ะนะ” หลินม่ายหยิบกล่องเครื่องประดับที่ใส่สร้อยคอทองคำออกมาจากกระเป๋าแล้วส่งให้เขา “ของขวัญที่เอากลับมาจากอเมริกาน่ะ”

เฉินเฟิงเปิดออกดู เป็นสร้อยคอทองคำเส้นหนึ่ง นอกจากนี้ยังเป็นสร้อยสำหรับผู้หญิงอีกด้วย

เขาถามอย่างงุนงง “ถึงเธอจะอยากให้สร้อยทองฉัน อย่างน้อยก็ต้องเป็นของสำหรับผู้ชายสิ ทำไมซื้อของผู้หญิงมากันล่ะ?”

หลินม่ายพูด “ฉันไม่ได้ให้นาย แต่ให้ภรรยาในอนาคตของนายต่างหาก”

เฉินเฟิงรู้สึกผสมปนเปอยู่ในใจ: ฉันรู้ว่าเธอไม่ได้คิดอะไรกับฉัน แต่ก็ไม่ต้องแทงใจกันขนาดนี้ก็ได้

หลินม่ายไม่ได้อยู่ในห้องทำงานของเฉินเฟิงนานนัก

วันนี้เธอยังต้องไปที่ซอยที่คุณยายหวังอาศัยอยู่ เพื่อสอบถามเพื่อนบ้านของหล่อนสักหน่อยว่าพ่อแม่หวังหรงมีทรัพย์สินที่จะใช้ดำเนินการหรือไม่กันแน่

เธอไม่อยากยุ่งวุ่นวายมาตั้งนาน พอถึงท้ายที่สุด แม่หรงแค่ถูกลงโทษ แต่กลับไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหายทางเศรษฐกิจให้เธอเลยแม้แต่น้อย

เธอต้องทำให้แม่หรงได้ชดใช้ในราคาที่สาสมอย่างถึงที่สุด ไม่ใช้แค่ถูกลงโทษ แต่ต้องเสียทรัพย์ด้วย

นี่ก็คือจุดจบของหล่อนที่ช่วยคนชั่วก่อกรรมทำเข็ญ ใส่ร้ายป้ายสีเธอ

ทันทีที่หลินม่ายขี่จักรยานมาถึงซอยที่คุณยายหวังอยู่ ก็เห็นที่ประตูรั้วของบ้านนางมีผู้คนมามุงดูอยู่ไม่น้อย

หลินม่ายจอดจักรยานเรียบร้อยแล้ว ก็เดินเข้าไปอย่างอยากรู้อยากเห็น

เห็นแม่ของตู้กวงฮุ่ยพร้อมกับพวกพี่สาวสองสามคนกำลังทะเลาะกันเอ็ดตะโรกับคุณยายหวัง

หลินม่ายแทรกอยู่ในฝูงชนเงี่ยหูฟังอยู่ไม่กี่นาที ก็พอจะรู้ต้นสายปลายเหตุแล้ว

ที่แท้หวังหรงติดหนี้ตู้กวงฮุยอยู่ไม่น้อย บอกเสียดิบดีว่าทยอยคืน แต่พอหวังหรงแต่งงานแล้วก็ไปฮ่องกงทันที เงินนี้กลับไม่ยอมใช้คืน

ตระกูลตู้นั้นเพิ่งจะได้ข่าวเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว

ที่สำคัญคืองานแต่งของหวังหรงกับกวนหย่งหัวนั้นจัดอย่างเงียบเชียบเกินไป คนที่รู้จึงมีไม่มาก เป็นการยากที่ข่าวจะแพร่งพรายออกไป

ทันทีที่แม่ตู้ได้รับข่าว ก็พลันเข้าใจขึ้นมา ว่าทำไมตอนแรกแม่หรงถึงยืนกรานที่จะแบ่งจ่ายเป็นงวดๆ

ตอนนั้นแม่หรงคงจะคิดคำนวณไว้แล้ว และไม่ได้คิดที่จะคืนเงินที่เหลือให้พวกเขา

แม่ตู้โมโหจนแทบจะระเบิด พาลูกสาวสองสามคนรีบมาทวงเงินที่บ้านคุณยายหวัง

แต่คุณยายหวังนั้นไม่ยอมเปิดประตู

แม่ตู้ก็ไม่กล้าพาพวกลูกสาวพังประตูเข้าไปอย่างโจ่งแจ้ง หลังจากวนเวียนไปมาอยู่ครึ่งวัน ก็ได้แต่กลับไปมือเปล่า

วันนี้พวกหล่อนมาเป็นครั้งที่สองแล้ว และโดยไม่ได้คาดคิด ก็ได้เจอกับคุณยายหวังที่เปิดประตูรั้วกำลังเตรียมจะออกไปซื้อกับข้าวเข้าพอดี พลันถูกแม่ลูกตระกูลตู้ขวางไว้ทันที

คุณยายหวังพูดละล่ำละลัก “เป็นเงินที่หลานสาวฉันติดพวกเธอ พวกเธอก็ทวงเอากับหลานสาวฉันสิถึงจะถูก ทำไมถึงมาทวงเงินกับคนแก่ๆ อย่างฉันกัน ฉันไม่มีเงินเสียหน่อย…”

แม่ตู้เท้าสะเอวพูดอย่างดุร้าย “พวกคุณทั้งครอบครัวจะเล็กจะใหญ่วางกับดักพวกเรา ตอนนี้คิดจะปัดความรับผิดชอบเหรอ ไม่มีทางเสียหรอก! คุณไม่มีเงินใช่ไหม งั้นก็ขายเรือนสี่ประสานหลังนี้ทิ้งไปเสียสิ เท่านี้ก็มีเงินชดใช้แล้วไม่ใช่หรือไง?”

คุณยายหวังเม้มปากแน่นไม่ยอมพูดจา

พวกเพื่อนบ้านที่มามุงดูเรื่องสนุกพวกนั้น ไม่มีใครช่วยพูดให้นางสักคน

อย่าว่าแต่คุณยายหวังมีชื่อเสียงฉาวโฉ่ในหมู่เพื่อนบ้านเลย

ต่อให้ไม่มีชื่อเสียงแย่ๆ เรื่องยุ่งเหยิงของบ้านพวกเขาที่โผล่ออกมาไม่รู้จบ ก็ไม่มีใครกล้ายื่นมือไปยุ่ง ด้วยกลัวว่าไฟจะลามมาถึงตัว

หลินม่ายไม่สนใจการโต้เถียงของคุณยายหวังกับแม่ตู้

เธอสืบถามกับเพื่อนบ้านของคุณยายหวังไปรอบหนึ่ง และได้ข้อมูลสำคัญมาหนึ่งอย่าง

ครอบครัวสามคนของหวังหรงเคยบอกไว้ว่า กวนหย่งหัวซื้อบ้านมูลค่าประมาณสามพันหยวนให้กับพ่อหรงแม่หรง อยู่ใกล้กับหมู่บ้านชิงจีที่ย่านหวังเจียตุน

ทว่าไม่มีใครรู้ตำแหน่งที่อยู่ที่แน่นอน

ขอแค่รู้ว่ามีบ้านเช่นนั้นอยู่หนึ่งหลังก็ได้แล้ว ซึ่งพิสูจน์ว่าแม่หรงยังมีทรัพย์สินที่สามารถใช้ดำเนินการได้อยู่

อย่างนั้นเธอก็สามารถเสนอให้ศาลบังคับคดีตามกฎหมาย เอาเงินชดใช้ค่าเสียหายที่ตนสมควรได้รับมาได้แล้ว

……………………………………………………………………………………………………………………….

(1)ในเรื่องเปาบุ้นจิ้นตอนประหารราชบุตรเขย “ฉินเซียงเหลียน” คือสะใภ้ยอดกตัญญูที่ดูแลพ่อแม่สามีที่แก่เฒ่า และ “เฉินซื่อเหม่ย” เป็นลูกอกตัญญูที่ทิ้งพ่อแม่ลูกเมียเพื่อเป็นราชบุตรเขย

สารจากผู้แปล

คู่นี้จะยังไงกันดีน้า จะคงสถานะกันแบบไหน

ทำตัวเองกันล้วนๆ ถึงเวลาต้องจ่ายหนี้ก็เจ็บหนักแบบนี้แหละ

ไหหม่า(海馬)