ตอนที่ 146-2 ท่าไม้ตาย สองสามีภรรยาหน้าเนื้อใจเสือ
สถานที่เรียนก็คือพื้นที่ว่างในลานบ้านด้านหลังของคฤหาน์ กระดานดำที่ประดิษฐ์ขึ้นเองหันไปทางประตูสวน มีปูนขาวอัดแท่งหรือที่เรียกกันทั่วไปว่าชอล์กแท่งหนาวางอยู่สองสามแท่ง
ชอล์กในสมัยโบราณล้วนทำมาจากปูนขาว ปูนขาวคือหินปูนชนิดหนึ่งที่ขนาดอนุภาคค่อนข้างใหญ่ มีตะกอนมากจึงลื่นสู้ชอล์กที่ทำจากหินปูนกับยิปซัมพวกนั้นในยุคปัจจุบันไม่ได้ แต่ใช้งานได้ก็เพียงพอแล้ว
เฉียวอวี้ซีนั่งตรงที่นั่งแถวหน้าสุด
ไม่นานก็มีหญิงชนบทหลายนางมาจริงๆ ทุกคนเห็นเฉียวอวี้ซีก็ตกตะลึงเล็กน้อยพร้อมกันอย่างไม่ได้นัด แต่พวกนางไม่ได้วิพากษ์วิจารณ์หน้าตาของเฉียวอวี้ซีต่อหน้าอย่างที่เฉียวอวี้ซีจินตนาการ ทุกคนไปนั่งแถวหลังอย่างใจกว้าง
เฉียวเวยยกถาดที่มีพืช ใบไม้กับเมล็ดชนิดต่างๆ เข้ามา แล้วทักทายหญิงชนบททั้งหลาย “พี่อู๋ พี่เหอ พี่หลี่”
ทั้งสามคนจับไม้จับมือนางทักทายอย่างสนิทสนม
เมื่อเห็นมือที่หยาบกร้านแตกเป็นลายเพราะทำงานหนักคู่แล้วคู่เล่านั่น ดวงตาของเฉียวอวี้ซีก็ฉายแววรังเกียจวูบหนึ่ง หากมีคนกล้าเอามือเช่นนั้นมาแตะร่างกายของนาง นางจะให้คนลากไปลิ้มรสไม้โบยแน่!
ไม่นานฟางมัวมัวกับซุนมัวมัวก็มานั่งอยู่ด้านหลังของเฉียวอวี้ซี
เฉียวเวยมองสีของท้องฟ้า ถึงเวลาเริ่มได้แล้ว
…
ณ พระราชวังในเมืองหลวง
องค์ชายรองผ่านยามเช้าอันงดงามไปอีกหนึ่งวัน เขาค้นพบว่าจงหยวนดีจริงๆ แม้แต่ภายในวังหลวงก็ยังเที่ยวเล่นได้สนุกเช่นนี้ มีกระทั่งลานล่าสัตว์ สัตว์ที่มีให้ล่าก็มากมายยิ่งนัก เวลาเพียงหนึ่งชั่วยามเขาก็ล่ากวางหมีลู่ได้เจ็ดแปดตัว หมาป่าหนึ่งตัว หมีหนึ่งตัว
“ใหญ่มาก ของพวกเจ้า พระราชวัง” องค์ชายรองส่งสัตว์ที่ล่าได้ให้บ่าวรับใช้ แล้วยกนิ้วโป้งขึ้นมา
ยิ่นอ๋องตอบอย่างยากจะปิดบังความภาคภูมิใจ “พระราชวังในจงหยวนของพวกเราใหญ่กว่าหมู่บ้านสิบแห่งรวมกัน หากองค์ชายรองเดินด้วยเท้า ทั้งวันก็มิแน่ว่าจะเดินทั่ว”
องค์ชายรองเอ่ยออกมาจากใจจริง “สัตว์ที่ล่า ก็ดียิ่ง ล้วนเป็น สิ่งที่ ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน”
ยิ่นอ๋องคิดในใจ สัตว์ในลานล่าสัตว์ของวังหลวงล้วนเป็นสัตว์หายากที่จับมาจากในภูเขาลึก ท่านย่อมไม่เคยเห็น
ผลคะแนนของการล่าสัตว์ยามเช้า องค์ชายรองทำได้ยอดเยี่ยมที่สุด คนถัดมาคือยิ่นอ๋อง หลังจากนั้นจึงเป็นท่านอ๋องทั้งหลาย องค์รัชทายาทล่าได้น้อยที่สุด จับกระต่ายป่าได้เพียงตัวเดียวเท่านั้น แล้วเขายังไม่ได้ล่าด้วยตนเองอีกด้วย แต่ขันทีผู้ปล่อยสัตว์ป่าพวกนั้นทนดูไม่ได้แล้วจริงๆ จึงไล่กระต่ายป่าให้ไปชนกีบเท้าม้าของเขา
รัชทายาทหิ้วกระต่ายป่ากลับมายังที่นั่งชมการล่าสัตว์ ที่นั่นฮ่องเต้กับจีหมิงซิวกำลังดวลหมากกันอยู่ องค์รัชทายาทไม่พูดพร่ำทำเพลงก็โยนกระต่ายป่าไว้บนกระดานหมาก
ฝูกงกงที่อยู่ด้านข้างตกใจเกือบตาย ล่วงเกินฮ่องเต้เช่นนี้ องค์รัชทายาทท่านไม่กลัวหัวหลุดจากบ่าจริงๆ หรือ!
ฮ่องเต้กลับไม่พิโรธ สรวลอย่างจนปัญญาแล้วหิ้วกระต่ายป่าขึ้นมาส่งให้จีหมิงซิว “มา หลานชายของเจ้ามอบให้เจ้าเป็นของขวัญ“
จีหมิงซิวรับมาไว้ในมือ “สือชีชอบกินกระต่ายป่าอยู่พอดี กระหม่อมน้อมรับ”
“องค์ชายรองล่าสัตว์เป็นเช่นไรบ้าง” ฮ่องเต้แย้มสรวลมองไปทางองค์ชายรองที่เดินมาด้านนี้
องค์ชายรองตอบอย่างตื่นเต้น “มากที่สุด ข้า ข้าเป็น แห่งทุ่งหญ้า อินทรีหนุ่ม วรยุทธ์ สู้ โอรส ของท่านไม่ได้ แต่ล่าสัตว์ โอรสของท่าน สู้ข้ามิได้”
ฮ่องเต้สรวลเสียงดัง หากผู้อื่นพูดว่าโอรสของพระองค์สู้ผู้ใดมิได้ต่อหน้าพระองค์ พระองค์คงพระพักตร์โกรธเกรี้ยวไปแล้ว แต่เมื่อพูดออกมาจากปากขององค์ชายรอง พระองค์กลับอยากจะกุมท้องหัวเราะเสียงดัง พบเจอพวกขี้ประจบมามากแล้ว นานครั้งมีคนตรงไร้เล่ห์เหลี่ยมมาสักคนก็เพลิดเพลินใจดีทีเดียว
ยิ่นอ๋องถือกรงอันหนึ่งเดินเข้ามา “เสด็จพ่อ ลูกจับจิ้งจอกเงินมาได้ตัวหนึ่ง นำมาถวายให้เสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ”
จิ้งจอกเงินตัวนี้แทนที่จะบอกว่าล่ามาได้ มิสู้บอกว่าจับมาได้ มันยังเป็นๆ ปราดเปรียวยิ่งนัก เทียบกับกระต่ายตายของรัชทายาท ดีกว่าไม่รู้กี่เท่า
ฮ่องเต้ชอบพระทัยยิ่งนัก สั่งให้คนตกรางวัลยิ่นอ๋องเป็นสุราองุ่นที่เพิ่งได้มาเป็นเครื่องบรรณาการหนึ่งไห
ขุนนางทั้งหลายต่างพากันส่ายศีรษะ ยิ่นอ๋องมีวี่แววว่าจะผงาดขึ้นมา ส่วนรัชทายาทก็ไม่มีความคิดจะแสวงหาอำนาจเช่นนี้ แม้ความรักที่ฮ่องเต้มีต่ออดีตฮองเฮาจะมากมายเท่าใดก็คงลดทอนจนหมดลงสักวัน
จีหมิงซิวหยิบกระต่ายป่าให้หมิงอันนำออกไป แล้วหันไปมององค์ชายรองที่ดื่มน้ำชาอึกใหญ่อยู่ แล้วคลี่ยิ้มน้อยๆ กล่าวขึ้นว่า “องค์ชายรองล่าเหยื่อมาได้มากมายเช่นนี้ อยากมอบให้ผู้ใดหรือ”
องค์ชายรองตบกวางหมีลู่หลายตัวนั้น “พวกนี้ มอบให้ ของข้า องครักษ์ พวกเขา ล้วนเป็น แห่งทุ่งหญ้า ทหารกล้า”
“หมาป่าตัวนั้นเล่า” จีหมิงซิวถาม
“ข้ายัง ไม่ได้คิด” หมาป่าเป็นสัตว์ที่ล่าได้ยากมาก บนทุ่งหญ้าผู้ใดล่าหมาป่ามาได้สักตัว ล้วนได้ชื่อว่าเป็นผู้กล้า ได้รับความเคารพจากประชาชน
จีหมิงซิวเอ่ยขึ้นมาโดยไม่แสดงพิรุธสักนิด “ข้าได้ยินมาว่าเผ่าซยงหนีว์มีตำนานเกี่ยวกับเขี้ยวหมาป่าเรื่องหนึ่ง หากบุรุษมอบเขี้ยวหมาป่าซี่แรกที่เขาล่ามาได้ให้แก่สตรีที่เขาตกหลุมรัก แม่นางผู้นั้นมิว่าอย่างไรก็ต้องแต่งงานกับบุรุษผู้นี้”
องค์ชายรองพลันเอ่ยขึ้นว่า “ใช่แล้ว ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดี ช่าง เข้าใจ ของพวกเรา วัฒนธรรมเผ่าซยงหนีว์”
จีหมิงซิวตอบด้วยสีหน้าอ่อนโยน “องค์ชายรองชมเกินไปแล้ว นี่เป็นหมาป่าตัวแรกที่องค์ชายรองล่าได้ใช่หรือไม่”
องค์ชายรองพยักหน้า “ใช่แล้ว ตอนข้าอยู่เผ่าซยงหนีว์ ยัง ไม่เคย เจอ หมาป่า หากเจอ ข้าก็คง ล่ามันไปแล้ว”
จีหมิงซิวเหยียดยิ้ม “ดูท่านี่คงจะเป็นประสงค์ของสวรรค์ ลิขิตให้องค์ชายรองล่าหมาป่าตัวแรกในชีวิตได้ที่จงหยวน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มิสู้องค์ชายรองมอบเขี้ยวหมาป่าซี่นี้ให้พระชายาจากจงหยวน นับว่าได้สร้างตำนานรักเรื่องหนึ่ง”
“พระชายาหรือ แต่ ข้า พบหน้านางไม่ได้ พวกเจ้า จงหยวน ยุ่งยากเหลือเกิน” องค์ชายรองพูดถึงธรรมเนียมที่ห้ามพบหน้าก่อนแต่งงานแล้วส่ายหน้า
จีหมิงซิวหันไปมองฮ่องเต้แล้วกราบทูลว่า “องค์ชายรองคิดถึงภรรยาใจจะขาด มิสู้ฮ่องเต้เมตตาพระราชทานอนุญาตให้กระหม่อมพาองค์ชายรองไปพบหน้าพระชายา แล้วถือโอกาสตรวจดูว่าพระชายาร่ำเรียนวิชาที่ชนบทเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
ฮ่องเต้ใคร่ครวญครู่หนึ่ง “ก็ดี เจ้าไปดูแทนข้าสักหน่อย”
ยิ่นอ๋องทราบเช่นกันว่าผู้บุกเบิกที่ดินรกร้างก็คือคุณหนูใหญ่เฉียว เขาย่อมมิอาจปล่อยให้จีหมิงซิวได้ใช้เวลากับเฉียวเวยอย่างสง่าผ่าเผย แล้วยิ่งมิอาจปล่อยให้จีหมิงซิวอยู่กับองค์ชายรองตามลำพัง ผู้ใดจะรู้ว่าจีหมิงซิวจะเล่นลูกไม้อะไรต่อหน้าองค์ชายรองหรือไม่ เขาเสียโอกาสทำให้องค์ชายรองกลายเป็นน้องเขยไปแล้ว ย่อมไม่อาจให้มิตรภาพของสหายจืดจางลงไปด้วย “เสด็จพ่อ ลูกได้ยินว่าเจ้ากรมฉางหลวงชื่นชมผู้บุกเบิกที่ดินร้างผู้นั้นไม่ขาดปาก จึงอยากเดินทางไปชมดูความสามารถของอีกฝ่ายเช่นกัน ขอเสด็จพ่อโปรดอนุญาต”
“รัชทายาทอยากไปด้วยหรือไม่“ ฮ่องเต้ถามโอรสที่อยู่ด้านข้าง
รัชทายาทหาว “ไม่ไป”
ฮ่องเต้จนปัญญา “พวกเจ้าไปกันเถิด”
เมื่อออกจากประตูวังหลวงแล้ว จีหมิงซิวก็เชิญองค์ชายรองมานั่งรถม้าของตนเอง ยิ่นอ๋องยิ้มเอ่ยขึ้นว่า “รถม้าของใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีกับฐานะของอัครมหาเสนาบดีช่างไม่เหมาะสมกันจริงๆ ซอมซ่อเช่นนี้ หากโคลงเคลงจนองค์ชายรองเป็นอะไรขึ้นมาจะทำอย่างไร องค์ชายรองนั่งรถม้าของข้าดีกว่า นี่เป็นรถม้าที่ข้าให้คนทำมาเพื่อรับรององค์ชายรองโดยเฉพาะ”
องค์ชายรองเคยนั่งรถม้าของยิ่นอ๋องแล้ว แต่ไม่เคยนั่งของอัครมหาเสนาบดี จึงสงสัยใคร่รู้อยู่เล็กน้อย “ไม่ เป็นอะไร ข้าไม่กลัว โคลงเคลง”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเลิกม่านรถม้าขึ้น “องค์ชายรอง เชิญ”
องค์ชายรองขึ้นไปบนรถม้า
ยิ่นอ๋องทำหน้าหนาจะขึ้นมาด้วย แต่จีหมิงซิวขวางเขาไว้ แล้วเอ่ยพร้อมกับรอยยิ้มที่ไม่คล้ายรอยยิ้ม “ท่านอ๋องนั่งรถม้าของตนเองเถิด รถม้าของข้าซอมซ่อ นั่งเบียดสามคนไม่ได้”
ยิ่นอ๋องหน้าบึ้ง “เจ้าคิดจะเล่นลูกไม้อะไรกันแน่”
จีหมิงซิวยิ้มจางๆ “ไม่เกี่ยวกับยิ่นอ๋องหรอก”
ยิ่นอ๋องกล่าวอย่างดูแคลน “เจ้าอย่าคิดว่าพูดเอาใจองค์ชายรองส่งๆ แล้วองค์ชายรองจะกลายเป็นพันธมิตรของเจ้า”
จีหมิงซิวตอบอย่างไม่ใส่ใจ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ยิ่นอ๋องยังกังวลใจอะไรเล่า ถึงอย่างไรข้าก็ดึงองค์ชายรองมาเป็นพรรคพวกของข้าไม่ได้อยู่แล้ว ยิ่นอ๋องก็สมควรสบายใจไร้กังวลจึงจะถูก”
กล่าวจบก็ไม่สนว่ายิ่นอ๋องจะทำหน้าบูดบึ้งเช่นไร หมุนตัวขึ้นรถม้าไป
ในที่สุดยิ่นอ๋องก็ไปนั่งรถม้าของตนเอง เขาได้ยินเสียงหัวเราะขององค์ชายรองดังออกมาจากรถม้าของจีหมิงซิวเป็นระยะอยู่ตลอดทาง ดูท่าทางทั้งสองคนจะพูดคุยกันถูกคอยิ่งนัก ถูกคอกว่าตอนอยู่ด้วยกันกับเขาเสียอีก
สิ่งนี้ก็คือความสามารถของจีหมิงซิว หากเขาอยากประจบผู้ใดสักคน มิว่าบุรุษหรือสตรีล้วนไม่มีทางพลาด
ยิ่นอ๋องอดกลั้นความริษยาจนมาถึงหมู่บ้านซีหนิว เมื่อลงจากรถก็เชิญองค์ชายรองลงมา แล้วเบียดจีหมิงซิวออกไป เข้ามายืนอยู่ข้างตัวองค์ชายรองแทน
จีหมิงซิวมองยิ่นอ๋องอย่างมีเลศนัยแวบหนึ่งแต่ไม่พูดคำใด จากนั้นจึงก้าวเท้าเดินขึ้นเขา
องค์ชายรองเดินมาถึงไหล่เขาก็เห็นทิวทัศน์ของทั้งหมู่บ้านอยู่ในสายตา เขาทอดถอนใจ “นี่ก็คือ ของพวกเจ้า จงหยวน หมู่บ้าน มากมายนัก หญ้า! ทั้งสูง ทั้งงอกงาม หญ้า!”
จีหมิงซิวยิ้มน้อยๆ กล่าวขึ้นว่า “พวกนั้นคือธัญพืช”
“มากมายปานนี้ ธัญพืชหรือ” องค์ชายรองกัดลิ้น
ระหว่างที่คุยกันพวกเขาก็เดินเข้ามาในคฤหาสน์
เฉียวเวยเพิ่งสอนวิธีปรับปรุงดินของที่นาดินเค็มจบ หญิงชนบททั้งหลายฟังไม่เข้าใจ เฉียวเวยจึงถามเฉียวอวี้ซี เฉียวอวี้ซีไม่เก่งเรื่องการใช้เล่ห์เหลี่ยม แต่ใช้สมองได้ยอดเยี่ยมเป็นที่สุด จุดสำคัญที่เฉียวเวยสอนไป นางล้วนจดจำได้ทั้งหมด
เฉียวเวยจึงว่า “ถ้าเช่นนั้นก็ดี เจ้าขึ้นมาสอนทุกคนอีกรอบ”
เฉียวอวี้ซีไม่อยากไป
“ข้าวเย็น…”
เฉียวอวี้ซีลุกพรวดขึ้นมาทันที! นางเดินไปหน้ากระดานดำ หยิบแท่งปูนขาวแท่งหนึ่งขึ้นมาแล้ววาดภาพที่ดินร้างผืนหนึ่ง จากนั้นเริ่มท่องซ้ำสิ่งที่เฉียวเวยอธิบายทีละอย่าง
เสียงของนางรื่นหูน่าฟังประหนึ่งเสียงดนตรีจากสวรรค์
สายลมอ่อนพัดกระโปรงและชายเสื้อของนางให้พลิ้วไหว เส้นผมดำเงางามปลิวสยาย งดงามประหนึ่งเทพธิดา
องค์ชายรองมองจนตาค้าง ในสมองมีคำพูดประโยคหนึ่งลอยขึ้นมาไม่หยุด…คนผู้นี้คงมาจากบนสวรรค์
สตรีนางนั้นไม่ได้หลอกลวงเขา พระชายางามกว่าภาพเหมือนสิบเท่า ร้อยเท่าจริงๆ!
พูดตามตรง แม้แต่ยิ่นอ๋องก็ถูกความงามของเฉียวอวี้ซีทำให้ตกตะลึงอยู่เล็กน้อย สิ่งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับความรู้สึก เป็นเพียงความชื่นชมที่บุรุษมีต่อสตรีเพียงอย่างเดียว รูปโฉมและกิริยาเช่นนี้ไม่แพ้คุณหนูตระกูลตัวหลัว อีกทั้งนางชำนาญในการแต่งตัว ความงามที่มีอยู่แต่เดิมจึงเพิ่มขึ้นสามถึงห้าส่วน เป็นเช่นนี้เมื่อเทียบกันแล้ว ตัวหลัวหมิงจูจึงหม่นหมองกว่าจริงๆ ไม่แปลกที่องค์ชายรองจะถอนหมั้นกับตัวหลัวหมิงจู แล้วดึงดันจะสู่ขอนาง
เพียงแต่ว่ารูปลักษณ์ก็ส่วนรูปลักษณ์ ชาติกำเนิดกับนิสัยของคนผู้นี้มีส่วนที่อวดต่อหน้าผู้คนไม่ได้อยู่บ้าง มิเช่นนั้นนางจะทำเรื่องอย่างการส่งเฉียวเวยกับลูกทั้งสองคนของเขาเข้าไปอยู่ในคุกได้อย่างไร
เมื่อนึกถึงการกระทำของอีกฝ่าย ความรู้สึกตะลึงในความงามก็ถดถอยไปจากดวงตาของยิ่นอ๋อง
ในตอนนี้เองยิ่นอ๋องพลันรู้สึกว่าลำคอของตนถูกบางสิ่งกัด เขาตบจุดที่เจ็บอย่างรวดเร็ว แต่กลับตบไม่พบสิ่งใดทั้งสิ้น
จีหมิงซิวเลิกคิ้ว “ท่านอ๋องเป็นอันใดไป”
ยิ่นอ๋องตอบอย่างรำคาญ “ไม่เป็นอันใด แมลงตัวหนึ่งเท่านั้น”
เฉียวเวยเห็นทั้งสามคนในห้องหนังสือ จึงแลกสายตากับจีหมิงซิววูบหนึ่ง นางเข้าใจความนัยแล้วจึงปรบมือกล่าวว่า “ขออภัยด้วย ที่บ้านมีแขกมาเยือน วันนี้ถึงเท่านี้ก่อนก็แล้วกัน”
หญิงชนบททั้งหลายลุกขึ้นขอตัวจากไป
เฉียวอวี้ซีก็เดินออกจากคฤหาสน์มาด้วย ขณะที่เดินผ่านห้องหนังสือ นางไม่ได้สนใจคนที่อยู่ด้านใน ตรงกลับห้องของตนเองไปทันที
หัวใจของยิ่นอ๋องเหมือนถูกบางสิ่งเกี่ยวไปด้วย เขารู้สึกร้อนรุ่มยากจะทนจนเริ่มนั่งไม่ติด เขาหันไปมองจีหมิงซิว แล้วหันไปมองเฉียวเวยที่ชงชาอยู่ ในใจทราบว่านี่ไม่ใช่จังหวะดีที่ตนเองจะผละออกไป แต่เหตุใดเขาจึงอยากเดินออกไปข้างนอกนักเล่า
มีองค์ชายรองอยู่ทางนี้ ก็น่าจะไม่มีเรื่องอะไรกระมัง
พวกเขาสองคนคงไม่กล้าทิ้งองค์ชายรอง แล้วแอบไปลอบพบกันกระมัง
“องค์ชายรอง เชิญดื่มชา” เฉียวเวยยิ้มพลางส่งชาให้องค์ชายรอง
ในใจยิ่งอ๋องยากจะทนขึ้นทุกที ในที่สุดเขาก็นั่งไม่ติด ลุกขึ้นเดินออกไป
ความจริงเขาไม่นับว่าคุ้นเคยกับบนภูเขานัก เขาเคยมาอยู่บางครั้ง แต่ส่วนใหญ่ก็ถูกกันอยู่นอกประตูใหญ่ แต่วันนี้บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าเป็นอันใด เขากลับเดินไปยังทิศทางที่ตั้งโรงงาน
ความรู้สึกเช่นเดียวกันเกิดขึ้นกับตัวเฉียวอวี้ซีด้วย นางเพียงรู้สึกกระหายน้ำจึงเข้ามาดื่มน้ำในห้อง แต่แล้วก็รู้สึกว่าหัวใจถูกบางสิ่งเกี่ยวเอาไป
นางจะนั่งจะยืนก็ร้อนใจ
นางเปิดประตูออกมา
ยิ่นอ๋องยืนอยู่ที่ประตู
ยิ่นอ๋องมองนาง นางก็มองยิ่นอ๋อง ความรู้สึกร้อนรุ่มยากจะทานทนในหัวใจนั่นในที่สุดก็บรรเทาลงเล็กน้อย
“คุณหนูเฉียว” ยิ่นอ๋องจับจ้องนางด้วยแววตาลึกซึ้ง
เฉียวอวี้ซีถามอย่างแปลกใจ “ท่านคือ…”
“ข้าคือยิ่นอ๋อง” ยิ่นอ๋องตอบแล้วยกมือขึ้นลูบพวงแก้มของนาง “ข้าเห็นเจ้าหนแรกก็ถูกเจ้าทำให้ลุ่มหลง”
ทำบ้าอะไรอยู่ เขาเอ่ยถ้อยคำเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร!
มือ วางมือลงเสีย!
วางเสีย!
มือยังแนบอยู่บนใบหน้าของเฉียวอวี้ซี
เฉียวอวี้ซีคิดในใจ บุรุษน่ารังเกียจผู้นี้กล้ามาแตะต้องข้า ยังไม่รีบเอามือสกปรกของเจ้าออกไปอีก! คิดว่าเจ้าเป็นยิ่นอ๋องแล้วยอดเยี่ยมนักหรือ เอาออกไปนะ!
เฉียวอวี้ซีกุมฝ่ามือใหญ่ของเขาที่วางอยู่บนมือของตนเอง แล้วเอื้อนเอ่ยอย่างอ่อนหวาน “ข้าก็เหมือนกัน ข้าชื่นชมท่านอ๋องยิ่งนัก อยากครองคู่กับท่านอ๋องตราบนานเท่านาน”
สวรรค์ นางเพิ่งพูดอะไรออกไป!
นางกล่าวถ้อยคำหน้าไม่อายเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร!
ยิ่นอ๋องคิดในใจ สตรีหน้าไม่อาย กล้ามาชื่นชมเขา ไม่รู้หรือว่าเขาคือพี่เขยของนาง แม้แต่พี่เขยก็กล้าแตะต้อง ช่างเป็นหญิงร่านจริงๆ!
เขาจะสังหารสตรีนางนี้เสีย!
ยิ่นอ๋องกอดนางเดินเข้าไปในห้อง
เฉียวอวี้ซีกรีดร้องในใจ บุรุษน่ารังเกียจคนนี้กล้ากอดนางอีก นางถูกล่วงเกินแล้ว! นางอยากร้องขอความช่วยเหลือ!
“ท่านอ๋อง ประตูยังไม่ได้ปิดเจ้าค่ะ” เฉียวอวี้ซีซบหัวไหล่ของยิ่นอ๋องแล้วออดอ้อน
นี่ไม่ใช่นาง! ไม่ใช่เด็ดขาด!
ยิ่นอ๋องเอื้อมมือปิดประตูห้องแล้วลงกลอนประตู จากนั้นอุ้มนางไปนั่งบนเตียง มองนางด้วยสายตาเปี่ยมความรัก “ซีเอ๋อร์ เหตุใดเจ้าจึงเกิดมางามเช่นนี้ ข้าคิดถึงเจ้าทั้งวันทั้งคืน อยากเป็นสามีภรรยากับเจ้า”
หุบปาก! หุบปาก! รีบหุบปากเสีย!
เฉียวอวี้ซีด่าในใจ ช่างหน้าไม่อาย ยังกล้าคิดจะเป็นสามีภรรยากับนาง นอนกับพี่สาวของนางแล้วแท้ๆ ตอนนี้ยังจะมาล่อลวงนางอีก!
เฉียวอวี้ซีตอบเสียงอ่อนหวาน “ท่านอ๋อง ซีเอ๋อร์ก็อยากแต่งงานกับท่าน นอกจากท่านแล้ว ซีเอ๋อร์ไม่มีวันชอบผู้อื่นอีกแล้ว”
บ้าไปแล้วๆ! เหตุใดนางจึงเอ่ยถ้อยคำน่าอับอายเช่นนี้ออกมาอยู่ได้!
นางไม่ได้คิดเช่นนี้แท้ๆ!
ยิ่นอ๋องคำรามในใจ ผู้ใดอยากให้เจ้ามาชอบ เจ้ารีบไสหัวไปให้ไกล ไปให้ไกลได้เท่าใดก็เท่านั้น! เจ้าทำร้ายบุตรของข้า แล้วยังคิดจะปีนเตียงของข้าอีกหรือ เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นพี่สาวของเจ้าหรือไร! บัดซบ ออกไปเดี๋ยวนี้!
ยิ่นอ๋องเอ่ยตอบอย่างเต็มไปด้วยความรัก “ซีเอ๋อร์ วันนี้ข้าจะกราบทูลเสด็จพ่อเพื่อสู่ขอเจ้า”
ไอ้คนสารเลว! เจ้ากล้าหรือ! เฉียวอวี้ซีเอนกายลงในอ้อมแขนของเขาเบาๆ “ท่านอ๋องท่านช่างดีจริงๆ ท่านจริงใจต่อซีเอ๋อร์ ในที่สุดซีเอ๋อร์ก็จะได้อยู่ด้วยกันกับท่านแล้ว ซีเอ๋อร์ถึงตายก็ไม่เสียดาย”
เฉียวอวี้ซีเจ้ารีบลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้นะ! เจ้าโถมตัวเข้าไปในอ้อมแขนของบุรุษคนนี้ได้อย่างไร!
ยิ่นอ๋องเองก็คิดในใจ หลี่ยิ่น ผลักผู้หญิงคนนี้ออกสิ
ยิ่นอ๋องเชยคางอันงดงามของนางขึ้นมาแล้วเอ่ยถ้อยคำชวนจั๊กจี้ “ตัวโง่งมน้อย เหตุใดเจ้าจึงกล่าวเช่นนี้เล่า เจ้าต้องครองคู่กับข้าจนผมขาวสิ”
ผมขาวบ้านเจ้าสิ นางผู้หญิงคนนี้เจ้าใช้วิชามารอันใดกับข้ากันแน่! เหตุใดข้าจึงควบคุมตนเองยามอยู่กับเจ้าไม่ได้เช่นนี้!
ข้าอยากจะสังหารเจ้าจริงๆ!
คงมีแต่ต้องสังหารเจ้าเสีย ข้าจึงจะกลับเป็นปกติ!
ยิ่นอ๋องจับหลังศีรษะของนางไว้แน่น แล้วบดจุมพิตอย่างดุดัน
โครม!
ประตูถูกถีบเปิด องค์ชายรองยืนอยู่หน้าประตูอย่างเดือดดาล “พวกเจ้า…พวกเจ้าสองคน…กำลังทำอะไรกัน!”