ตอนที่ 565 กุมารแดง

แน่นอนว่าที่สามารถเข้ามารับตำแหน่งนี้ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบิดาของเขามากกว่า

เกาเจี้ยนเฉิงบิดาของเขาคือเจ้ากรมการศึกษาแห่งแคว้นเยี่ยน จากตำแหน่งแล้วนับได้ว่าเป็นผู้ช่วยของเจ้ากรมโยธาถงโม่ ทั้งยังมีขอบเขตอำนาจภายใต้การควบคุมของตนโดยเฉพาะ เป็นผู้ที่ช่วยให้บุตรชายหลุดพ้นจากความรับผิดชอบล่าถอยกลับมาจากแคว้นจ้าวได้ ซ้ำยังช่วยย้ายบุตรชายออกจากหน่วยข่าวกรองไปเป็นราชทูตแคว้นเยี่ยนที่ถูกไปประจำการในแคว้นจ้าวอีก มีอำนาจภายในราชสำนักเพียงใดแค่คิดดูก็รู้แล้ว ที่บอกว่าเพราะมีความคุ้นเคยกับแคว้นจ้าวเป็นอย่างดีเป็นเพียงข้ออ้างเพื่อดำเนินการเท่านั้น

ส่วนชายชราที่ติดตามอยู่ข้างกายเกาเส่าหมิงก็คือเฉวียนเฉียวผู้รับบทบาทเป็นพ่อบ้านให้เขาตอนอยู่ในแคว้นจ้าว ปัจจุบันมีนามว่ากัวผิง เป็นการกลับไปใช้นามแต่ดั้งเดิม นับว่าได้รับอานิงสงค์จากเกาเส่าหมิงแล้ว

มีขันทีคนหนึ่งเดินออกมาจากในเรือนอย่างรวดเร็วเพื่อนำทางให้ ผู้ติดตามคนอื่นๆ ไม่ได้เข้าไปด้วย เกาเซ่าหมิงพากัวผิงเข้าไปเพียงคนเดียว

ทั้งสองคอยอยู่ในห้องโถงสักพักหนึ่ง จ้าวเซินถึงได้เดินเอื่อยๆ เข้ามา

ทั้งสองฝ่ายคำนับทักทายกันแล้วนั่งลง จ้าวเซินเอ่ยว่า “ราชทูตเกามาพบข้าในเวลานี้ มีธุระใดจะสั่งการหรือ?”

เกาเส่าหมิงกล่าวว่า “ไม่กล้าสั่งการ เพียงอยากถามเล็กน้อย ทางท่านเจ้ากรมเคยได้รับราชโองการอันใดจากจักรพรรดิแคว้นจ้าวหรือไม่”

จ้าวเซินใจเต้นแรงเล็กน้อย ทว่าสีหน้ากลับไม่ปรากฏอารมณ์ใดๆ เอ่ยถามไปว่า “ราชโองการหรือ? ราชโองการอันใด?”

ในเมื่อเขาว่ามาเช่นนี้ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะทราบหรือไม่ เกาเส่าหมิงก็ไม่ถามต่อแล้ว

อันที่จริงเขาก็เพิ่งทราบเรื่องที่ซางเจี้ยนสยงและไห่อู๋จี๋ลอบติดต่อเจรจากันอย่างลับๆ เมื่อไม่นานมานี้ ก่อนหน้านี้ทางราชสำนักแคว้นเยี่ยนไม่ได้บอกเขาเลย เป็นเพราะตัวเขามาถึงทางนี้แล้วทราบข่าวที่หนิวโหย่วเต้ามายังมณฑลจินโจวจึงรายงานไปทางเมืองหลวงแคว้นฉี หลังจากได้รับคำแนะนำจากบิดาและความเห็นชอบจากราชสำนักแล้วถึงได้ทราบเรื่องนี้

เกาเส่าหมิงเปลี่ยนประเด็นสนทนา “หนิวโหย่วเต้ามายังจินโจวแล้ว”

จ้าวเซินเอ่ยตอบ “ได้ยินข่าวแล้ว”

เกาเส่าหมิงเอ่ยว่า “ขอกล่าวกับท่านเจ้ากรมตามตรง ก่อนหน้านี้ข้าเพิ่งได้รับข่าวจากทางราชสำนักแคว้นเยี่ยนมา ครั้งนี้ข้าไม่อาจปล่อยให้หนิวโหย่วเต้ารอดชีวิตออกจากจินโจวได้อีก”

เรื่องในปีนั้น ทำให้พวกพ้องในสังกัดประสบชะตาน่าอนาถ แต่เขากลับรอดตัวไปได้อย่างปลอดภัย ค่อนข้างสู้หน้าคนเหล่านั้นไม่ไหว ดังนั้นเรื่องที่ล้มเหลวจนต้องล่าถอยในปีนั้นยังคงวนเวียนติดอยู่ในใจเขามาตลอด ไม่คิดเลยว่าครั้งนี้จะได้ปะทะกับหนิวโหย่วเต้าอีกครั้ง นึกอยากชำระแค้นนี้มาโดยตลอด ครั้งนี้มีโอกาสถูกส่งมาถึงมือแล้ว เขาไม่อยากจะพลาดไป

จ้าวเซินเข้าใจความคิดของฝั่งเมืองหลวงแคว้นเยี่ยน สำหรับฝ่ายเมืองหลวงแคว้นเยี่ยนแล้วหนิวโหย่วเต้าคือตัวเกะกะขวางทางในมณฑลหนานโจว หากต้องการลงมือกับมณฑหลหนานโจวก็ต้องกำจักตัวปัญหานี้ทิ้ง

แต่เขายังคงเอ่ยเตือนไปว่า “ท่านคิดจะลงมือในเมืองนี้หรือ? ข้าขอเตือนให้ท่านไตร่ตรองดีๆ อยู่ในที่แห่งนี้ไม่อาจดูแคลนอำนาจของวังสวรรค์หมื่นวิมานได้เลย ไม่มีทางลงมือได้ง่ายดายปานนั้น หากทำพลาดถูกจับได้ ท่านคิดว่าทางจินโจวจะไม่กล้าสังหารท่านหรือ?

เกาเส่าหมิงกล่าวว่า “ข้าย่อมไม่เลือกลงมือในเมืองนี้ ทางเมืองหลวงแคว้นเยี่ยนส่งกองกำลังกลุ่มหนึ่งมาแล้ว ท่านเจ้ากรมไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องการลงมือเลย แต่ถายในเมืองจินโจวแห้งนี้ไม่ทราบว่ามีสายสืบแอบแฝงอยู่ทั้งในทางลับทางแจ้งมากมายเพียงใด ในที่แห่งนี้อำนาจของแคว้นเยี่ยนอ่อนด้อย คนของข้าก้ไม่สะดวกจะตามจับมองทางฝั่งนี้ ได้ยินว่าหนิวโหย่วเต้าครอบครองวิหคพาหนะด้วย ข้าเชื่อว่าคนของ ‘หอชมดาว’ ทางฝั่งท่านที่อยู่ในเมืองนี้คงไม่อ่อนด้อยแน่นอน ดังนั้นอยากจะขอความกรุณาให้ท่านเจ้ากรมช่วยให้การสนับสนุนข้า ช่วยจับตามองหนิวโหย่วเต้าให้ข้าที อย่าปล่อยให้เขาหลบหนีไปได้”

หอชมดาวของทางฝั่งแคว้นจ้าวก็ไม่ต่างจากหอข่าวสารของทางแคว้นเยี่ยนเลย…

….

ภายในเรือนอีกหลังหนึ่งของเรือนรับรองสุคนธา ปีกทองตัวหนึ่งโฉบร่อนฝ่ารัตติกาลมา

ผ่านไปครู่หนึ่ง หลิวเต๋อเจิ้งรองราชทูตแห่งแคว้นจิ้นเร่งเดินไปยังห้องพักห้องหนึ่ง ราชทูตหลักอย่างฉู่เซียงอวี้ที่อยู่ในห้องพักกำลังแช่เท้าอยู่

เมื่อรองราชทูตเข้าไปในห้องก็ไล่ข้ารับใช้ออกไป ยื่นจดหมายลับฉบับหนึ่งให้ฉู่เซียงอวี้ เอ่ยกระซิบว่า “ฝ่าบาทรับสั่งชัดเจนว่าหากมีโอกาสที่พวกเราสบจังหวะให้กำจัดหนิวโหย่วเต้าทิ้งเสีย”

ฉู่เซียงอวี้ขมวดคิ้วนิดๆ ไม่คิดเลยว่าหลังจากทราบว่าหนิวโหย่วเต้ามาที่นี่แล้วส่งข่าวกลับไปหาทางแคว้นจิ้นแล้ว จะได้รับคำตอบกลับมาเช่นนี้

เขารับจดหมายเปิดอ่านดู หลังอ่านจบก็ถอนหายใจเบาๆ “นี่คงออกหน้าให้คุณชายใหญ่เซ่าผู้นั้นอยู่กระมัง เห็นทีว่าฝ่าบาทจะให้ค่าเซ่าผิงปอคนนั้นจริงๆ น้องเต๋อเจิ้ง เรื่องนี้เจ้าคิดเห็นประการใด?”

รองราชทูตหลิวเต๋อเจิ้งขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยเนิบๆ ว่า “ฝ่าบาทตรัสว่าหากมีโอกาส ซ้ำยังมีคำว่า ‘สบจังหวะ’ สามคำนี้ห้อยท้ายมา แปลว่าหากไม่มีโอกาสจริงๆ ตามความเห็นของข้าน้อย เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องฝืนเสี่ยงเลย เลี่ยงไม่ให้กระทบถึงงานหลักของพวกเรา แน่นอน ในเมื่อเป็นรับสั่งของฝ่าบาท พวกเราก็คงต้องพยายามหาโอกาสเช่นกัน”

ฉู่เซียงอวี้พยักหน้ารับ “ความเห็นของน้องเต๋อเจิ้งประเสริฐนัก เรื่องนี้ขอยกให้เจ้าจัดการก็แล้วกัน”

….

ภายในมณฑลหนานโจว อินทรีหยกทมิฬตัวหนึ่งโฉบวนไปวนมาท่ามกลางหมู่หุบเขา เฉาเซิ่งไหวที่นั่งอยู่บนวิหคล้วงตั๋วแลกเงินออกมาสองใบแต่ละใบมีมูลค่าร้อยเหรียญทอง ยื่นให้ศิษย์ทั้งสองของสำนักหมื่นสรรพสัตว์คนละใบ “รบกวนศิษย์พี่ทั้งสองต้องมาส่งเสียแล้ว เป็นน้ำใจเล็กๆ น้อย หวังว่าจะไม่รังเกียจ”

ทั้งสองเอ่ยบ่ายเบี่ยงทันที แต่ต่อมาก็ยากจะขัดน้ำใจได้ถึงได้ยอมรับไว้ ศิษย์พี่คนหนึ่งเอ่ยกำชับว่า “เดินทางอยู่ข้างนอกเพียงลำพังต้องระวังให้มาก มีเรื่องใดให้ติดต่อไปหาทางสำนักทันที หากเที่ยวพอสมควรแล้วก็รีบกลับไปเร็วหน่อยเถิด”

“ขอรับ ข้าจะจดจำไว้ ศิษย์พี่ทั้งสอง ขอกล่าวลาตรงนี้แล้ว” เฉาเซิ่งไหวประสานมือคำนับ

“เดินทางปลอดภัย” ศิษย์พี่ทั้งสองประสานมือคำนับกลับ

เฉาเซิ่งไหวหันหลังทะยานกายออกไป โฉบร่อนลงสู่ส่วนลึกของรัตติกาลอันเวิ้งว้าง

หลังจากพุ่งทะยานพ้นป่าเขาแล้ว ก็เหินร่อนเลียบเส้นทางหลวงไป ไปยังจุดพักม้าแห่งหนึ่งที่อยู่ข้างทาง ซื้อพาหนะมาตัวหนึ่ง ควบทะยานมุ่งจากไป

ครั้งนี้เขาต้องการมาหาหนิวโหย่วเต้าที่จังหวัดชิงซาน ด้วยเหตุนี้จึงยกข้ออ้างว่าอยากออกไปท่องเที่ยวมาใช้อย่างไม่นึกเสียดายเลย อาศัยโดยสารวิหคพาหนะของสำนักหมื่นสรรพสัตว์ที่ออกไปทำธุระด้านนอกมา

หนิวโหย่วเต้าไม่ให้คำตอบที่แน่ชัดเกี่ยวกับศิษย์ร่วมสำนักสี่คนนั้น เขากินไม่ได้นอนไม่หลับ กระวนกระวายอยู่ทั้งวันทั้งคืน ครั้งนี้นับว่ายอมทุ่มสุดตัวแล้ว…

ตะวันส่องท้องฟ้าสดใสแต่ก็ยากจะสลายบรรยากาศอึมครึมที่ปกคลุมอยู่ภายในจวนผู้ว่าการมณฑลจินโจวได้

หนิวโหย่วเต้ากลับสุมขุมเยือกเย็นนัก สงบใจนั่งสมาธิบำเพ็ญเพียรอยู่ภายในห้อง

ก่วนฟางอี๋เคาะประตูแล้วเปิดเข้าไป พอเห็นว่าสถานการณ์เช่นนี้เขายังสงบใจบำเพ็ญเพียรได้ก็เลื่อมใสในจิตใจของเขาขึ้นมา หากไม่มีดาบจ่อพาดคอคนผู้นี้อยู่ คนผู้นี้ก็จะทำทุกอย่างไปตามกิจวัตรที่สมควรทำเสมอมา

นางมาติดตามหนิวโหย่วเต้านานขนาดนี้แล้ว ไม่ว่าจะอยู่ที่บ้านหรืออยู่ด้านนอก ขอเพียงมีเวลาก็สังเกตเห็นว่าหนิวโหย่วเต้าไม่เคยหย่อนยานในการบำเพ็ญเพียรเลย ทราบชัดเจนดีว่าเขามีปัญหาอยู่มากมาย ก็แต่ยังคงดูสบายๆ อย่างยิ่ง

“มีเรื่องใด” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยถามทั้งทีหลับตา

ก่วนฟางอี๋เอ่ยว่า “มีข่าวมาจากทางนั้นแล้ว จากอาการที่ทางนี้แจ้งไปประกอบกับขั้นตอนความเป็นไปได้ในการวางยาแล้ว ทางนั้นคาดการณ์ว่าจะถูกพิษ ‘กุมารแดง’ เข้าแล้ว”

ไซอิ๋ว หรือไง? หนิวโหย่วเต้าลืมตาขึ้นมา ผงะไปเล็กน้อย รู้สึกสับสนขึ้นมาในทันใด พอได้สติกลับมาก็ถามว่า “ในเมื่อทราบว่าเป็นพิษใดแล้ว พอจะมีวิธีช่วยรักษาหรือไม่”

ก่วนฟางอี๋ส่ายหน้า “แจ้งมาว่าพิษนี้แตกต่างจากพิษทั่วไป กล่าวว่าเป็นพิษร้ายแรงที่ถือกำเนิดขึ้นมาตามธรรมชาติ มีโอกาสที่จะถือกำเนิดเติบโตขึ้นในเขตหนองน้ำพิษที่มีเงื่อนไขสภาพแวดล้อมแบบพิเศษ รูปร่างคล้ายโสมคน เป็นสีแดงเข้มทั้งต้น ก่อนที่สิ่งนี้จะก่อจิตกำเนิดวิญญาณขึ้นนับเป็นยาบำรุงชั้นดี ปราศจากพิษร้ายนี้ แต่หลังจากที่ก่อจิตกำเนิดวิญญาณขึ้นมาแล้วถึงจะปรากฏพิษนี้ขึ้น สามารถจำแลงร่างเป็นเด็กน้อยตัวแดงเล่นน้ำอยู่ในหนองได้ หากมีผู้ใดมาพบแล้วเข้าไปใกล้โดยไม่ทันระวัง พอถูกมันข่วนทำร้ายเขาจะต้องตายอย่างแน่นอน เนื่องด้วยเหตุน้จึงถูกเรียกขานว่า ‘กุมารแดง’ ”

“ภายหลังมีคนออกตามล่าเพราะพิษของมัน นำมาใช้สร้างเป็นยาพิษ ในอดีตเคยมีพระสนมคนหนึ่งในวังหลวงใช้สิ่งนี้มาเล่นศัตรูเพื่อแย่งชิงความโปรดปรานเป็นกรณีตัวอย่างไว้ น้อยนักจะมีคนนำมาใช้กันในโลกภายนอกอีกทั้งหาพบได้ยาก เนื่องจากพิษนี้ต้องสัมผัสกับคาวโลหิตถึงจะเกิดฤทธิ์พิษร้ายขึ้น ไม่มีประโยชน์อันใดต่อคนปกติ เว้นแต่อีกฝ่ายจะได้รับบาดเจ็บอยู่แล้ว แต่หากสตรีมีระดูอยู่ก็มีโอกาสให้ใช้สิ่งนี้ได้ ดังนั้นโดยทั่วไปแล้วสิ่งนี้จะถูกใช้เล่นงานสตรีโดยเฉพาะ เป็นของที่หาได้ยาก ทางนั้นก็เพียงเคยได้ยินมาเท่านั้น ยังไม่เคยพบเห็น บอกว่าไร้กำลังจะช่วยเหลือได้”

“ไร้กำลังจะช่วยเหลือได้งั้นหรือ?” หนิวโหย่วเต้าเอียงคอเล็กน้อย แค่นเสียงเอ่ยว่า “สมกับที่เชี่ยวชาญการลอบสังหารโดยแท้ แค่ได้ฟังอาการก็ทราบแล้วว่าเป็นพิษใด ต่อไปจดจำเพื่อป้องกันเอาไว้หน่อย ทางนั้นอาจจะมีสิ่งนี้อยู่ในมือ”

ก่วนฟางอี๋แปลกใจ “รู้ได้อย่างไร?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “เพียงเคยได้ยินไม่เคยพบเห็น ยังไม่ทันแม้แต่จะได้ลองด้วยซ้ำ แล้วทางนั้นทราบได้อย่างไรว่าตนไร้กำลังจะช่วยเหลือ? ตามความเห็นของข้า พวกเขาอาจจะไม่อยากช่วยหรือไม่ก็เพราะมีสิ่งนี้ในการครอบครอง ทราบดีว่าถึงตนมาก็ช่วยไม่ได้ ตอนนี้พวกเขาไม่มีทางมาก่อกวนงานของข้า ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นอย่างหลัง”

ก่วนฟางอี๋ใคร่ครวญตาม

หนิวโหย่วเต้าไม่พะวงกับเรื่องนี้อีก ลุกขึ้นในทันใด คว้ากระบี่มาถือแล้วเดินออกประตูไป มุ่งหน้าไปหาซือถูเย่า

“กุมารแดงหรือ?”

หลังจากซือถูเย่าได้ยินสิ่งนี้ก็ค่อนข้างฉงน

หนิวโหย่วเต้าพยักหน้า “อาจจะต้องพิษนี้เข้าแล้ว ประมุขซือถูลองคิดหาทางเถิดว่ามีผู้ใดสามารถแก้พิษนี้ได้หรือไม่?”

ซือถูเย่าให้คนไปตามศิษย์ร่วมสำนักที่เชี่ยวชาญการรักษามาทันที สอบถามทุกคนว่าเคยได้ยินชื่อสิ่งนี้หรือไม่ ผลคือทุกคนในที่นั้นส่ายหน้า ล้วนไม่เคยได้ยินมาก่อน ยังคงทำอะไรไม่ได้อยู่ดี

หนิวโหย่วเต้าก็หมดความคาดหวังกับทางหอจันทร์กระจ่างแล้ว

เมื่อเห็นว่าไม่อาจรักษาได้ ซือถูเย่าให้คนอื่นๆ ถอยออกไป เหลือเพียงหนิวโหย่วเต้าคนเดียว เอ่ยแจ้งเสียงเบา “ด้วยเหรงว่าพวกเขาจะจากไปก่อน ทางนี้จึงเร่งกำลังจัดเตรียมการโดยเร็ว อีกสองวันให้หลัง ทางนี้จะจัดงานเลี้ยงขึ้นในเรือนรับรองอวลสุคนธา ส่งเทียบเชิญออกไปแล้ว”

หนิวโหย่วเต้าได้ฟังก็ทราบความนัยทันที รู้ว่าทางนี้เตรียมจะลงมือในอีกสองวันให้หลัง เขาพยักหน้ารับ “ตกลง!”

พอแยกกับทางด้านนี้ เพิ่งกลับมาถึงเรือนของตนได้ไม่นาน ก่วนฟางอี๋ก็มาแจ้งเรื่องอีกครั้ง “มีข่าวจากทางบ้าน บอกว่าเฉาเซิ่งไหวมาแล้ว”

หนิวโหย่วเต้าที่เดินวนอยู่ภายในห้องใช้สมองขบคิดพลันหยุดเดิน “ให้พาตัวมาอย่างลับๆ”

ก่วนฟางอี๋เอ่ยเตือน “เฉาเซิ่งไหวบอกว่าเขาทิ้งคำสั่งเสียไว้ในสำนักหมื่นสรรพสัตว์แล้ว หากเขาไม่กลับไป ทุกสิ่งที่เจ้ากระทำจะถูกเปิดโปง”

มีการข่มขู่เสียด้วย! หนิวโหย่วเต้าหัวเราะฮ่าๆ “ได้กลับแน่ ย่อมจะปล่อยให้เขากลับไปโดยสวัสดิภาพ ส่งตัวคนมาเถอะ”

ก่วนฟางอี๋กล่าวว่า “ยังมีอีกเรื่อง เรื่องนี้เจ้าอ่านเองเถอะ” นางยื่นจดหมายฉบับหนึ่งให้เขา

หนิวโหย่วเต้ารับไปกางอ่าน เป็นจดหมายที่ส่งมาจากสำนักเขามหายาน ก่าเหมี่ยวสุ่ยแห่งราชสำนักแคว้นเยี่ยนไปเยือนสำนักเขามหายานด้วยตัวเอง ต้องการให้สำนักเขามหาสายร่วมมือกับราชสำนักในการสยบหนานโจว ทั้งข่มขู่และยกผลประโยชน์มาโน้มน้าว

หวงเลี่ยงแจ้งต่อทางนี้อย่างชัดเจนว่าไม่ได้ตอบรับและไม่ได้ปฏิแสธ เชิญก่าเหมี่ยวสุยกลับไปอย่างส่งๆ

ที่ส่งข่าวมาเพราะอยากแจ้งให้หนิวโหย่วเต้าทราบว่าดูเหมือนราชสำนักแคว้นเยี่ยนเตรียมลงมือกับมณฑลหนานโจวจริงๆ ถามหนิวโหย่วเต้าว่ามีแผนรับมืออย่างไร

ก่วนฟางอี๋เอ่ยเตือนว่า “สำนักเขามหายานกำลังรอดูอยู่”

หนิวโหย่วเต้าสะบัดมือเล็กน้อย จดหมายลุกไหม้ขึ้นมา เขาจ้องมองเปลวไฟเอ่ยอย่างไม่อนาทรว่า “เป็นธรรมชาติของมนุษย์ หากทางนี้ไม่สามารถรับมือได้ สำนัดเขามหายานก็ไม่มีทางร่วมตายไปด้วย จะแล่นเรือตามลมก็ไม่แปลก อีกฝ่ายไม่ได้ตอบตกลงในทันที อีกทั้งไม่เกิดเรื่องขึ้นภายในหนานโจวก็นับว่าดีมากแล้ว”

ก่วนฟางอี๋ถาม “จะตอบทางหวงเลี่ยอย่างไร?”

“ไม่ตอบ!”

“ไม่ตอบหรือ?”

“พูดครั้งเดียวก็มากพอแล้ว ต้องคอยกล่อมเขาเหมือนกล่อมเด็กสามขวบหรือ? ขอเพียงข้ายังอยู่ ตัวเขาหวงเลี่ยก็ไม่กล้าหุนหันพลันแล่นเช่นกัน!”

ก่วนฟางอี๋มองเขาหัวจรดเท้าคราหนึ่ง ร้องจุ๊ๆ ออกมา จู่ๆ ก็รับรู้ได้ถึงอำนาจเผด็จการที่แผ่ซ่านออกมาแล้ว