ตอนที่ 527 รีบร้อนแนะนำคนในครอบครัวให้รู้จัก

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 527 รีบร้อนแนะนำคนในครอบครัวให้รู้จัก

หยี่ซวงรีบยกเก้าอี้มาให้หลินเว่ยเว่ยนั่ง จากนั้นก็ไปยืนด้านข้างแล้วจ้องท่านหญิงน้อยคนนี้…ผิวดีจริง ๆ ทั้งขาวทั้งเนียน เหมือนไข่ไก่ที่ปอกเปลือกแล้วไม่ผิด จุดนี้เหมือนพระชายา ใบหน้าเนียนงาม มองโดยรวมแล้วถือว่าดูดีใช้ได้

ท่านอ๋องตรัสว่าท่านหญิงเติบโตมาในชนบท แต่ท่าทางไม่เหมือนเลยสักนิด ไม่เหมือนเด็กจากครอบครัวเล็ก ๆ เป็นอย่างที่คิดว่าบิดามารดาเป็นอย่างไร บุตรย่อมเป็นแบบนั้น บุตรของพระชายาต้องไม่เหมือนคนธรรมดาอยู่แล้ว ! หยี่ซวงรู้สึกดีใจแทนคุณหนูของตนเหลือเกิน

เจียงโม่หานเดินตามหลินเว่ยเว่ยมาติด ๆ พอหลินเว่ยเว่ยเข้าไปนั่งเก้าอี้ข้างแท่นบรรทมแล้ว รูปร่างของเขาก็ดูโดดเด่นขึ้นมาทันที หมินหวางเฟยย้ายสายพระเนตรมาที่ใบหน้าของเขา ทันใดนั้นนางก็รู้สึกมึนงงไปชั่วขณะ นอกจากรู้สึกว่าบัณฑิตหนุ่มหน้าตาดีมากแล้ว นางยังรู้สึกถูกชะตาอย่างอธิบายไม่ถูก…นั่นเป็นความรู้สึกที่มาจากก้นบึ้งหัวใจ

หมินหวางเฟยเบนสายตากลับมาที่หลินเว่ยเว่ยอีกครั้ง นางตรัสด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เว่ยเว่ย เขาเป็นใคร ? ไม่แนะนำให้แม่รู้จักหน่อยหรือ ? ”

หลินเว่ยเว่ยหันกลับไปแล้วดึงแขนเสื้อบัณฑิตน้อยอย่างอดใจรอไม่ไหว นางดึงเขามาที่ข้างกายแล้วพูดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “พระชายา เขาเป็นคู่หมั้นของหม่อมฉันเอง เราสองคนเป็นเพื่อนบ้านกันและเติบโตมาด้วยกันเพคะ จริงสิ เขายังเป็นเจี้ยหยวนของเมืองเหอโจวและจงโจวในปีนี้ด้วยเพคะ”

ทันใดนั้นรอยยิ้มในดวงเนตรของหมินหวางเฟยก็ดูแจ่มชัดกว่าเดิม ผู้ใดไม่เคยผ่านวัยหนุ่มสาวมาบ้าง ? ที่นางหนูน้อยรีบบอกว่าเขาเป็นเจี้ยหยวน ก็ไม่ได้แปลว่าอยากให้คนในบ้านยอมรับคู่ของตนหรอกหรือ ?

“อายุแค่นี้ก็ได้เป็นเจี้ยหยวนแล้ว ! เว่ยเอ๋อร์ช่างเลือกคู่หมั้นได้ดีนัก ! ” แม้ว่ายังไม่มั่นใจในตัวตนของเด็กสาวคนนี้ แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน เพราะก้นบึ้งของหทัยไม่มีการปฏิเสธหรือต่อต้านแต่อย่างใด

หลินเว่ยเว่ยฉีกยิ้มกว้างกว่าเดิม “พระชายาคงไม่รู้ว่าบัณฑิตน้อยเป็นหนุ่มหล่อที่สตรีในหมู่บ้านแย่งกันเลยนะเพคะ ตอนที่หม่อมฉันหมั้นหมายกับเขา พวกผู้หญิงในหมู่บ้านก็ใจสลายหมดเลยเพคะ ! ”

หลินเว่ยเว่ยอยากให้หมินหวางเฟยรู้ถึงความโดดเด่นของบัณฑิตน้อย! นางไม่ได้ทำเพราะอนาคตของเขาหรอก แต่ทำเพราะอยากให้อีกฝ่ายรู้ถึงความโดดเด่นของบุตรชาย !

แต่หมินอ๋องไม่อยากให้หัวข้อสนทนาหยุดอยู่ที่เด็กตัวแสบ พระองค์จึงตรัสแทรกหลินเว่ยเว่ยที่กำลังจะพูดเรื่องบัณฑิตน้อยต่อ “เว่ยเอ๋อร์ เหตุใดเจ้ายังเรียกพระชายาอยู่เล่า ? เรียกหมู่เฟยสิ ! ถ้าไม่ชินก็เรียก ‘แม่’ หรือ ‘ท่านแม่’ ได้เลย ! เร็วสิ เอาจี้หยกของเจ้าออกมาให้ท่านแม่ดู ! ”

หมินอ๋องเห็นพระชายาไม่ค่อยกระตือรือร้นอยากผูกสัมพันธ์กับบุตรสาวสักเท่าไร จึงเข้าพระทัยว่านางสงสัยในตัวตนของบุตรเพราะจี้หยก พระองค์จึงรีบเตือนให้หลินเว่ยเว่ยนำออกมา

หลินเว่ยเว่ยนำจี้หยกออกมาจากปกเสื้อ จากนั้นก็ถอดออกทางศีรษะแล้วยื่นใส่พระหัตถ์ของหมินหวางเฟย “จี้หยกชิ้นนี้เป็น…น้าเฝิงให้หม่อมฉันมาเพคะ”

เดิมทีนางอยากจะพูดว่าบัณฑิตน้อยเป็นคนให้ แต่ภายใต้การสะกิดเบา ๆ ของเจียงโม่หานแล้ว นางก็เปลี่ยนคำพูด

หมินหวางเฟยยกจี้หยกขึ้นพิจารณาอย่างละเอียด จี้หยกยังมีความอุ่นจากตัวของเด็กสาว หยกขาวมันแพะจับแล้วอุ่นมือและเปล่งประกายแวววาว…แค่มองก็รู้ว่าเด็กสาวชอบเอาออกมาเล่นบ่อย ๆ ตัวหยกถือว่าไม่มีปัญหา !

หมินหวางเฟยส่งจี้หยกคืนหลินเว่ยเว่ยแล้วถามเบา ๆ ว่า “น้าเฝิงที่เจ้าพูดถึงคือปิงเจี๋ยใช่หรือไม่ ? ทำให้นางต้องลำบากแล้ว ภายใต้สถานการณ์ที่เลวร้ายแบบนั้น นางนำพาเจ้าให้รอดพ้นจากอันตรายและยังเลี้ยงดูจนเติบโตได้ขนาดนี้อีก ! ”

“ใช่เพคะ ! น้าเฝิงเก่งกาจมาก ! งานเย็บปักของนางเสมือนของจริง เสื้อผ้าที่ตัดเย็บออกมาก็ดูดี ทอดพระเนตรสิเพคะ เสื้อผ้าบนตัวของหม่อมฉันก็เป็นฝีมือของนาง ! ” หลินเว่ยเว่ยลุกขึ้นพลางหมุนตัวให้หมินหวางเฟยทอดพระเนตรและพูดด้วยความตื่นเต้น

หมินหวางเฟยยื่นพระหัตถ์ออกไปสัมผัสลายปักบนกระโปรงพร้อมกับที่รอยยิ้มมุมโอษฐ์ยิ่งเด่นชัดกว่าเดิม จากนั้นก็ตรัสด้วยสุรเสียงคิดถึงความหลัง “ใช่ ! ปิงเจี๋ยเชี่ยวชาญงานปัก ตอนข้ายังอายุน้อยก็มีเสื้อผ้าหลายตัวที่นางปักให้”

หลินเว่ยเว่ยพยักหน้า ก่อนจะพูดต่อ “ด้วยงานปักนี้ น้าเฝิงไม่เพียงหาเลี้ยงพวกตนสองแม่ลูกในโลกที่ยุ่งเหยิงมาได้ แต่ยังสร้างเจี้ยหยวนคนหนึ่งขึ้นด้วยเพคะ ! ”

เฮอะ ! คำพูดไม่ห่างจากตัวบัณฑิตน้อยเลย ไม่มีใครอีกแล้วจริง ๆ !

หมินหวางเฟยหันไปทอดพระเนตรเจียงโม่หานด้วยดวงเนตรอ่อนโยน นางเริ่มไม่เห็นด้วยเกี่ยวกับคำพูดที่ฮ่องเต้มีต่อบุตรของนาง เพราะด้วยความเข้าใจที่นางมีต่อปิงเจี๋ยคืออีกฝ่ายเป็นสาวใช้หัวแข็ง มีเพียงจะเก็บเด็กไว้ข้างกายเท่านั้น ต้องเลี้ยงเองโดยไม่เชื่อใจคนอื่น ! ถ้าเช่นนั้นบัณฑิตรูปหล่อคนนี้ก็น่าจะเป็นบุตรชายของนางมากกว่า ?

แต่ว่าเหตุใดคนที่ฮ่องเต่ส่งไปสืบข่าวกลับบอกว่าเว่ยเอ๋อร์ต่างหากที่เป็นบุตรของนาง ? หรือจะโดนคนซื้อตัวเป็นพวก ? หรือฮ่องเต้มีจุดประสงค์อื่น ? เมื่อเทียบกันแล้ว นางเชื่อประการหลังมากกว่า

แต่หมินหวางเฟยไม่ได้คิดว่าการตัดสินพระทัยในครั้งนี้ของฮ่องเต้หยวนชิงมาจากความไม่พอใจหรือมีเจตนาร้ายกับตำหนักหมินอ๋อง ถ้าอย่างนั้นฮ่องเต้หยวนชิงมีจุดประสงค์ใดกันแน่ ? ช่างเถิด รอให้รับปิงเจี๋ยกลับเมืองหลวงแล้วค่อยถามความจริงเรื่องบุตรก็ได้ ส่วนจุดประสงค์ของฮ่องเต้…ต่อไปค่อยวางแผนแล้วกัน ! แต่อย่างไรตอนนี้ก็มั่นใจได้ว่าบุตรยังมีชีวิตอยู่และเขาก็มาอยู่ข้างกายนางแล้ว เท่านี้ก็เพียงพอ !

หลินเว่ยเว่ยที่เล่าว่าบัณฑิตน้อยโดดเด่นอย่างไรก็ลอบสังเกตเห็นสีพระพักตร์อันเหน็ดเหนื่อยของหมินหวางเฟย จึงรีบถามว่า “พระองค์…จะพักผ่อนสักหน่อยหรือไม่เพคะ ? ”

หมินอ๋องรีบหันไปทอดพระเนตรพระชายาแล้วตรัสว่า “ตั้งแต่กลับมาจากบ่อน้ำพุร้อน เจ้าก็ยังไม่ได้พักเลย ถ้าอย่างไรเจ้านอนพักก่อนดีหรือไม่ ? รอให้ถึงเวลากินยาแล้ว ข้าค่อยมาปลุกอีกที ! ”

หมินหวางเฟยทอดพระเนตรเจียงโม่หานและหลินเว่ยเว่ย นางก็ไม่อยากฝืนเหมือนกัน วันเวลายังอีกยาวไกล ต้องดูแลตัวเองให้ดีก่อน นางตบหลังมือหลินเว่ยเว่ยเบา ๆ “เรียกหมู่เฟยให้ฟังหน่อยสิ ! ”

จากการบอกเล่าของเด็กสาว นางจึงได้รู้ว่าเด็กสาวคนนี้เป็นคู่หมั้นที่เขาตั้งใจสู่ขอเอง อืม เป็นเด็กดีใช้ได้ ! อย่างไรในวันข้างหน้าก็ต้องเป็นครอบครัวเดียวกัน ดังนั้นคำเรียก ‘หมู่เฟย’ ไม่ช้าก็เร็วต้องได้เรียกอยู่ดี

หลินเว่ยเว่ยยิ้มด้วยความเขินอาย ก่อนจะพูดออกมาเบา ๆ ว่า “หมู่เฟย พักก่อนนะเพคะ รอให้ตื่นบรรทมแล้วพวกเราค่อยมาสนทนากันต่อ ! ”

สนทนาอะไรน่ะหรือ ? ก็คุยเรื่องบัณฑิตน้อยน่ะสิ ! เมื่อครู่นางเพิ่งเล่าถึงเรื่องเห็ดหลินจือ เล่าถึงตอนที่นางกับบัณฑิตน้อยต้องติดอยู่ใต้หน้าผาด้วยกัน !

หลังจากช่วยประคองให้หมินหวางเฟยบรรทมแล้ว หลินเว่ยเว่ยก็ห่มผ้าให้แม่สามีอย่างเอาใจ

หมินอ๋อง “…”

ลูกรัก เจ้าแย่งหน้าที่ของบิดา ! หมินอ๋องทำเป็นไม่พอพระทัย

หลังออกมาจากห้องบรรทมของหมินหวางเฟยแล้ว หลินเว่ยเว่ยก็หันไปมองหมินอ๋องพร้อมดวงตาที่เปียกชื้น “ฟู่หวาง ที่ร่างกายของหมู่เฟยเป็นแบบนี้ล้วนเป็นความผิดของหม่อม…ลูกเอง ดังนั้นลูกอยากต้มโอสถให้หมู่เฟย ขอให้ลูกได้แสดงความกตัญญูด้วยเถิดเพคะ”

“ดะ…เด็กดี ! เจ้าอยากแสดงความกตัญญู ต่อไปยังมีเวลาอีกมาก งานหยาบ ๆ อย่างงานต้มยาก็ยกให้พวกข้ารับใช้ทำดีกว่า ! ” โอสถของหมินหวางเฟยเป็นหน้าที่ของหานลู่ซึ่งพระองค์ไว้ใจที่สุดต้มเสมอมา พระองค์ไม่เคยให้คนอื่นทำแทนมาก่อน

แต่หลินเว่ยเว่ยยืนกรานด้วยดวงตาแดงก่ำ “ฟู่หวางกังวลว่าลูกจะต้มโอสถออกมาได้ไม่ดีหรือเพคะ ? ตอนอยู่ฉือหลี่โกว ท่านแม่ก็ร่างกายไม่แข็งแรง ยาของนางก็มีลูกเป็นคนต้มให้ตลอด ! ยาที่ต้มมาจากคนในครอบครัว ย่อมมีพลังแห่งความรักอยู่ด้วย พอหมู่เฟยได้เสวยแล้วอารมณ์ก็จะดีขึ้น ด้านพระวรกายก็ต้องดีขึ้นแน่นอน ฟู่หวาง…ให้ลูกลองทำเถิดนะเพคะ ! ”