บทที่ 414-2 สารภาพ (2)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 414 สารภาพ (2)

“เช่นนั้น เจ้าไม่ได้ไปทำให้นางไหวตัวทันด้วยการไปถามนางเกี่ยวกับเรื่องนี้ใช่ไม่” หนิงอ๋องซักถาม

รุ่ยอ๋องเฟยส่ายหัว “ข้าไม่ทำเช่นนั้นแน่นอน! แต่ว่า ตอนนั้นที่นางเดินออกมาจากภูเขาในสวนหลวง นางเจอกับข้าพอดี ข้าบอกกับนางไปว่าข้าเพิ่งมาถึง ไม่รู้ว่านางจะเชื่อข้าหรือไม่”

หนิงอ๋องพยักหน้ารับทราบ “แล้วตอนนั้นมีใครอยู่บริเวณนั้นอีกนอกจากเจ้า”

รุ่ยอ๋องเฟยเกือบพูดชื่อของกู้เจียวไปในทันที ก่อนจะรีบส่ายหัว “ไม่มีแล้วท่าน แต่ตอนนั้นบังเอิญว่านางข้าหลวงคนสนิทของข้ากับแม่นางกู้เดินเข้ามาเรียกข้าพอดี ไท่จื่อเฟยเองก็เจอกับพวกเขาด้วยเช่นกัน”

“เจ้าแน่ใจหรือไม๊ว่าพวกเขาไม่ได้ยิน” หนิงอ๋องเอ่ยถาม

“พวกเขาเดินเข้ามาเรียกข้าพอดี จิ้งไท่เฟยได้ยินความเคลื่อนไหวก็เลยพลอยตกใจไปด้วยและคงรีบออกมาจากตรงนั้น”

อย่างน้อยรุ่ยอ๋องเฟยก็ช่วยให้กู้เจียวหลุดพ้นจากเรื่องนี้ไปบ้าง ที่จริงท่านพี่ใหญ่เป็นคนที่ไว้ใจได้

ทว่ารุ่ยอ๋องเฟยกลัวว่าหากเอากู้เจียวเข้ามาเอี่ยวด้วย ท่านพี่จะต้องปรี่ไปถามกู้เจียวถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น และหากไท่จื่อเฟยไหวตัวทัน กู้เจียวจะต้องตกอยู่ในอันตรายอย่างแน่นอน

หนิงอ๋องนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนเอ่ยต่อ “เอาละ ข้ารู้แล้ว เจ้าอย่าเพิ่งตื่นตูมไป ข้าจะไปสืบความจริงมาให้ได้ หากพวกเราได้หลักฐานมัดตัวจนพอแล้วค่อยไปรายงานเสด็จพ่อก็ยังไม่สาย”

“ท่านพี่พูดถูก” รุ่ยอ๋องเห็นด้วย

ในเมื่อไท่จื่อเฟยไม่ใช่สตรีทั่วไป นางเป็นถึงว่าที่พระชายา พวกเขาจะต้องมีหลักฐานเพียงพอที่จะต่อสู้กับเรื่องนี้ ไม่เช่นนั้นอาจถูกโจมตีกลับเอาได้ ความดีที่ท่านพี่ใหญ่สั่งสมมาทั้งหมดหลายปีนี้อาจถูกล้มล้างได้ในพริบตา

จู่ๆ รุ่ยอ๋องเกิดนึกอะไรขึ้นได้ “แล้ว…เชียนเชียนของข้าจะเป็นอันตรายหรือไม่ ในมือไท่จื่อเฟยรู้แล้วว่านางอยู่ที่นั่น หากไท่จื่อเฟยไปบอกกับหยวนถังว่าเชียนเชียนอาจได้ยินเรื่องที่พวกเขากระซิบกระซาบกัน แล้วอย่างนี้เจ้านั่นมันจะมาทำร้ายเชียนเชียนหรือไม่ วิทยายุทธของมันยิ่งแข็งแกร่งอยู่ด้วย แถมมันยังเคยลอบปลงพระชนม์ท่านพ่อ…”

พอเอ่ยถึงประโยคหลัง รุ่ยอ๋องเริ่มเป็นกังวลหนักเสียยิ่งกว่าเดิม

พลางนึก ทำไมภรรยาของเขาถึงต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ด้วยนะ

หนิงอ๋องหัวเราะอย่างอ่อนโยนให้เขาหนึ่งที พลางเอ่ย “เดี๋ยวข้าจะส่งองครักษ์ไปคุ้มกันที่ตำหนักของน้องสะใภ้สามเอง ช่วงนี้ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าเพิ่งออกจากตำหนัก แต่ถ้ามีเหตุต้องออกจริงๆ ข้าจะส่งองครักษ์ลับไปคุ้มกันถึงที่”

“ข้ากับเชียนเชียนขอขอบพระทัยสำหรับน้ำใจของท่านพี่”

หนิงอ๋องตบบ่าน้องชาย พลางเอ่ย “พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันนี่นา”

ณ โรงหมอ

กู้เจียวเดินทางกลับมาถึงโรงหมอหลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้ออกไปตรวจคนไข้นอกสถานที่ และในตอนนั้นเอง เถ้าแก่รองก็เดินเข้ามาทักในห้องตรวจพอดีพร้อมกับรอยยิ้ม “เสี่ยวกู้ อีกสักประเดี๋ยวเจ้าสะดวกไหม”

“ว่ามาเลย” กู้เจียวตอบอย่างไม่อ้อมค้อม

“เจ้าลืมไปแล้วหรือยังว่าพรุ่งนี้วันอะไร” เถ้าแก่รองทำหน้ายิ้มระรื่น

“วันอะไรรึ” กู้เจียวถาม

“โถ่ เจ้าลืมจริงๆ สินะ!” เถ้าแก่รองแสดงอาการรวดร้าว

“…ก็แค่นัดรวมตัวกับสมาคมเองมิใช่หรือ” กู้เจียวเพิ่งนึกขึ้นได้

เถ้าแก่รองทำหน้าระรื่น “ใช่แล้วล่ะ งานเลี้ยงสมาคม จัดขึ้นที่คฤหาสน์ซื่อไห่ที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันของเมืองหลวง เดี๋ยวพรุ่งนี้ข้าส่งคนไปรับเจ้าที่ตรอกปี้สุ่ยดีไหม”

กู้เจียวร้องอ๋อ “แล้วต้องไปกี่วันล่ะ”

เถ้าแก่รองชูสามนิ้ว “สามวัน แป๊บเดียวน่า!”

“ก็ได้” กู้เจียวผงกหัว

“นี่ เสี่ยวกู้” เถ้าแก่รองเรียก

กู้เจียว “หืม”

เถ้าแก่รองทัก “เจ้าอ้วนขึ้นหรือเปล่า เสื้อหดแล้วนะ”

“ใช่รึ” กู้เจียวก้มหน้ามองหุ่นตัวเอง พลางคิด ก็ไม่เห็นอ้วนขึ้นเลยนี่นา

กู้เจียวคว้าสายวัดมาวัดรอบเอว ช่วงนี้ใช้แรงเยอะ ดูเหมือนเอวจะลดลงไปครึ่งนิ้วด้วยซ้ำ

แต่จะว่าไปแล้วพอบอกว่าเสื้อผ้าเล็กเกิน…ก็คงจะเป็นแบบนั้นจริงๆ เพราะก็เริ่มรู้แน่นตรงช่วงคอเสื้อบ้างแล้ว นับวันเริ่มจะติดกระดุมยากขึ้น

น่าปวดหัวจริงๆ

เป็นแบบนี้ต่อไปกู้เจียวคงปลอมตัวเป็นผู้ชายไม่ได้อีกแล้ว

งานที่โรงหมอในวันนี้เยอะเป็นพิเศษ สักพักเถ้าแก่รองก็ถูกผู้ดูแลหวังเรียกตัวไป

สักพักเจียงหลีเดินเข้ามาหากู้เจียว “มีคนมาหาท่านด้วยล่ะแม่นางกู้”

“ผู้ป่วยรึ บอกว่าตามลำดับ” กู้เจียวเอ่ยตอบขณะที่มือและตากำลังยุ่งง่วนกับการจัดเอกสารของคนไข้

เจียงหลีส่ายหัว “ไม่ใช่คนไข้เจ้าค่ะ แต่เป็นฮูหยินท่านหนึ่ง นางบอกว่ารู้จักกับแม่นางกู้ แถมยังบอกว่าแม่นางกู้เคยพูดไว้ว่าจะไปตรวจร่างกายให้ฮูหยินถึงที่เรือนของนางด้วยเจ้าค่ะ”

“ข้าเคยพูดอะไรแบบนั้นด้วยรึ” กู้เจียวยืนนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก พลางวานให้เจียงหลีกลับไปถามฮูหยินคนนั้นอีกครั้ง

ไม่นาน เจียงหลีก็กลับเข้ามาพร้อมกับตราแผ่นหนึ่ง “แม่นางกู้ ฮูหยินคนนั้นแจ้งว่าถ้าเห็นตรานี้ท่านจะรู้เองเจ้าค่ะ”

“ขอข้าดูหน่อย” กู้เจียวยื่นมือไปรับแผ่นป้าย

เป็นตราของราชวงศ์แคว้นเจา มีคำว่าหนิงอยู่บนนั้น

เป็นคนของตำหนักหนิงอ๋องสินะ

จริงด้วย กู้เจียวเคยพูดไว้ว่าจะไปตรวจร่างกายให้หนิงอ๋องเฟย แต่ช่วงนั้นหนิงอ๋องเฟยดันมีเหตุจำเป็นต้องกลับไปที่เรือนของมารดาเสียก่อน

แม้เรือนของนางจะอยู่ในเมืองหลวงเหมือนกัน แต่จะให้ตามไปตรวจถึงที่นั่นก็ดูจะประหลาดเกินไป

กู้เจียวอธิบายกับเจียงหลี “ตอนนี้ข้ายังติดคนไข้อีกสามคน เจ้าให้ฮูหยินคนนั้นรอก่อนได้หรือไม่ ถ้าเกิดมีคนไข้มาเพิ่มอีกเจ้าก็จัดให้ไปหาหมอซ่งนะ ”

“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ!” เจียงหลีน้อมรับเสร็จก็เดินออกไป

แม้เจียงหลีจะยังเด็ก แต่ทำงานรอบคอบมาก

หลังจากกู้เจียวจัดการกับคนไข้ในมือเสร็จ ก็เรียกนางข้าหลวงของหนิงอ๋องเฟยเข้าพบ

“ท่านหมอกู้” นางข้าหลวงเอ่ยทักทายอย่างสุภาพ

“หนิงอ๋องเฟยกลับมาที่ตำหนักแล้วหรือ” กู้เจียวเอ่ยถาม

นางข้าหลวงยิ้มให้พลางตอบ “ใช่แล้วเจ้าค่ะ ท่านอ๋องเฟยกลับมาที่ตำหนักเมื่อคืน วันนี้ทรงเข้าพบพระสนมจวงกุ้ยเฟย พอตกบ่ายกลับมีอาการมึนศีรษะ หม่อมฉันได้ยินท่านอ๋องเคยพูดว่าท่านหมอกู้เป็นหมอที่เก่งกาจยิ่ง หม่อมฉันเลยจะขอเชิญท่านไปที่ตำหนักหนิงอ๋องเฟยด้วยตัวเองเจ้าค่ะ”