บทที่ 514 สิบปีบนโลกมนุษย์ จิตใฝ่ทางเต๋า

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 514 สิบปีบนโลกมนุษย์ จิตใฝ่ทางเต๋า

หานเจวี๋ยจ้องมองนักพรตเฒ่า ถามด้วยรอยยิ้มเรียบๆ ว่า “เจ้าเป็นใคร หากแก้ไขความสับสนของข้าได้ เจ้าจะได้อะไร”

นักพรตเฒ่ายิ้มและกล่าวว่า “หากสหายน้อยจะเลี้ยงข้าวอาตมาสักมื้อ ก็คงจะดีไม่น้อย อาตมาท่องไปทั่วหล้า จิตอุทิศต่อสังคม ไขข้อข้องใจให้แก่ผู้คนมากมาย แม้แต่ราชาแห่งมวลมนุษย์ก็เช่นกัน”

เผ่ามนุษย์มีความสามารถในการปรับตัวสูงมาก มหาเคราะห์เพิ่งสิ้นสุดได้ไม่ถึงสามหมื่นปี เผ่ามนุษย์ก็สามารถสืบทอดการปกครองในยุครุ่งเรืองของเผ่ามนุษย์ก่อนมหาเคราะห์ได้แล้ว แม้แต่ราชาแห่งมวลมนุษย์ก็ยังได้รับการสถาปนาขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว

เมื่อเห็นภาพความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมืองแห่งนี้ หานเจวี๋ยก็คิดว่าตนเองเดินทางข้ามเวลา ไม่ใช่ยุคดึกดำบรรพ์ของมรรคาสวรรค์ที่เริ่มต้นใหม่อีก

หานเจวี๋ยยิ้มถามว่า “เช่นนั้นเจ้าอ่านความคิดของข้าได้หรือไม่”

นักพรตเฒ่าส่ายหน้าและกล่าวว่า “เราจะอ่านจิตใจของมนุษย์ได้อย่างไร แม้แต่เทพเซียนยังหวาดเกรงจิตใจของมนุษย์เลย”

หานเจวี๋ยที่กำลังรู้สึกเบื่อหน่าย พลันรู้สึกสนใจขึ้นมาจึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้น เจ้าเป็นมนุษย์เซียนหรือไม่”

“ข้าเป็นคนผู้บำเพ็ญอิสระขั้นหนึ่ง เป็นผู้สมถะติดดิน”

“เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าตัวตนที่สูงกว่ามนุษย์เซียนคืออะไร”

“แน่นอนว่าต้องเป็นอริยะและเทวดา”

หานเจวี๋ยเริ่มสนทนากับนักพรตเฒ่า ไม่นานอาหารสุราก็มาถึง นักพรตเฒ่าเริ่มสวาปามอาหาร ราวกับทั้งชีวิตไม่เคยกินอะไรมาก่อน

ระดับเซียนทองไท่อี่หิวโหยขนาดนี้ ดูก็รู้ว่าแสร้งทำ

เดาว่าคนผู้นี้คงอยากให้หานเจวี๋ยนึกดูถูกตนเอง จากนั้นค่อยสั่งสอนเขา

แบบนี้เขาเรียกว่าอันใดกันนะ

แสร้งเป็นหมู เพื่อหลอกกินเสือ?

หานเจวี๋ยรู้สึกขบขันอยู่ในใจ แต่ก็ไม่คิดจะทำลายแผนการของอีกฝ่ายแต่อย่างใด

เขาต้องการพิสูจน์มรรค ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ระดับเซียนทองไท่อี่จะให้คำแนะนำได้ เป็นเพียงการแสดงคั่นฉากเท่านั้น

หนึ่งชั่วโมงต่อมา

นักพรตเฒ่าหยัดกายลุกขึ้น และกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “สหายน้อยหน้าตาช่างหล่อเหลา ไม่รู้ว่ามีสาวน้อยมอบดวงใจให้เจ้าแล้วกี่มากน้อย หากเจ้ากำลังว้าวุ่นใจเพราะความรัก จงทุ่มเทเพื่อนาง จะได้ไม่เสียใจภายหลัง สักวันนางจะเปิดใจให้เจ้าเอง”

หานเจวี๋ยมองตามไปจนอีกฝ่ายหายลับไปจากบริเวณบันได แล้วก็ส่ายหัวพร้อมคลี่ยิ้ม

ผู้วิเศษกำมะลอเอ๊ย!

หานเจวี๋ยระบายยิ้ม จากนั้นก็เหมือนจะคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงมองออกไปนอกหน้าต่างและครุ่นคิดต่อไป

บางทีสิ่งที่เขาขาดคือประสบการณ์

“บางทีข้าอาจจะปักหลักอยู่ที่นี่ ใช้ชีวิตเป็นมนุษย์คนหนึ่ง”

หานเจวี๋ยคิดในใจเงียบๆ

เมื่อคิดตกแล้ว หานเจวี๋ยก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปจากโรงเตี๊ยมทันที

ขั้นแรกเขาเข้าไปหาซื้อบ้านในเมือง จากนั้นก็ขนย้ายเครื่องเรือน คนรับใช้เข้ามา และอาศัยอยู่ในเมืองตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โดยใช้ชื่อเดิมว่าหานเจวี๋ย

ในโลกนี้มีคนชื่อหานเจวี๋ยไม่ถึงแปดแสนคน แต่อย่างน้อยก็ต้องถึงแปดร้อยคน

นามของหานเจวี๋ยยังไม่สะเทือนแดนเซียน จึงไม่ต้องกลัวว่าจะเกิดปัญหาตามมา

ฤดูใบไม้ผลิผ่านพ้น ฤดูใบไม้ร่วงมาเยือน

หานเจวี๋ยอาศัยอยู่ในเมืองนี้เป็นเวลาสิบปี

เมืองนี้มีชื่อเรียกว่าเมืองป้องบูรพา เป็นหนึ่งในเมืองชายแดนของเผ่ามนุษย์ มักจะถูกรุกรานจากเผ่าบรรพกาล หรืออสูรกายอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นค่ายกลจึงค่อนข้างจะมีมาตรฐานสูง

หานเจวี๋ยเองก็ปรับตัวเข้ากับเมืองป้องบูรพาได้เป็นอย่างดี และเริ่มคุ้นเคยกับเพื่อนบ้านทั้งหลายมากขึ้น

อยู่มาวันหนึ่ง

หิมะตกหนักในเมืองป้องบูรพา เมืองทั้งเมืองถูกย้อมเป็นสีขาว

ขณะที่หานเจวี๋ยกำลังนั่งเพลิดเพลินกับหิมะภายในลานบ้าน เขาก็หยั่งรู้ถึงสัจธรรมแห่งโลกาสวรรค์

สาวใช้ชราที่กวาดหิมะอยู่ใกล้ๆ ส่ายหน้า พร้อมกล่าวอย่างทอดอนใจ “นายท่านใจลอยอีกแล้ว ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่”

หานเจวี๋ยนั้นปฏิบัติต่อผู้น้อยอย่างดียิ่ง ในสายตาของบ่าวรับใช้ทั้งหลาย เห็นว่าปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของหานเจวี๋ยคือชอบเหม่อลอย เขาเอาแต่ยืนนิ่งอยู่ในจวนได้ทั้งวันทั้งคืนโดยไม่ขยับเขยื้อน เป็นที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง

ในตอนนี้เอง สาวใช้คนหนึ่งก็วิ่งพรวดพราดเข้ามา และกล่าวด้วยน้ำเสียงร้อนรน “นายท่าน มีคนนอนอยู่หน้าประตูใหญ่ ดูท่าทางเหมือนจะตายแล้วเจ้าค่ะ!”

กฎหมายของเมืองป้องบูรพานั้นเข้มงวดมาก หากฆ่าคนมีโทษถึงประหารชีวิต หากพวกเขาถูกเข้าใจผิดว่าเป็นคนฆ่าขึ้นมา จะเป็นปัญหาอย่างใหญ่หลวง

หานเจวี๋ยเดินไปยังประตูใหญ่ทันที เขาแกล้งทำตัวเป็นมนุษย์อยู่ จึงไม่ได้หายตัวไปโผล่ที่หน้าประตู

เมื่อเขาเดินมาถึงหน้าประตูใหญ่ เขาก็เห็นหญิงสาวท่าทางสกปรกมอมแมมนอนแน่นิ่งจมกองหิมะ รอบข้างมีผู้คนมุงดูอยู่ไม่น้อย

หานเจวี๋ยเดินจ้ำเข้าไปอย่างรวดเร็ว ส่งลมหายใจเฮือกหนึ่งให้กับหญิงสาวผ่านมือขวาของเขา ดึงเอาวิญญาณที่หลุดลอยออกไปจากร่างกลับมา

หญิงสาวคนนั้นค่อยๆ ลืมตาขึ้น แม้ใบหน้าจะดูมอมแมมสกปรก แต่ดวงตากลับใสแจ๋ว

เมื่อเห็นนางฟื้นขึ้นมา คนรอบข้างที่มุงดูอยู่ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก

หานเจวี๋ยแจกจ่ายข้าวปลาอาหารให้กับชาวบ้านเป็นประจำทุกปี ในสายตาของชาวเมืองเขาเป็นคนที่ดีมากคนหนึ่ง จึงไม่อยากให้เขาต้องมาเผชิญกับเรื่องเช่นนี้

“แม่นาง รีบกลับเรือนโดยเร็วเถิด หิมะตกหนัก ระวังจะหลงทางด้วย”

หานเจวี๋ยส่งยิ้มบางๆ จากนั้นก็หันหลังเดินกลับเข้าบ้านดังเดิม

เพียงลมหายใจหนึ่งของเขาก็เพียงพอที่จะทำให้อีกฝ่ายมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ถึงห้าสิบปี ไม่ต่างจากมนุษย์ปุถุชนทั่วไป

ยามเย็น

หานเจวี๋ยนั่งลงที่โต๊ะอาหาร เตรียมจะรับประทานอาหารเย็น สาวใช้ที่นั่งอยู่ด้านหนึ่งก็เอ่ยขึ้นว่า “นายท่าน ขอทานหญิงผู้นั้นยังอยู่ที่หน้าประตูอยู่เลยเจ้าค่ะ นางบอกว่าท่านช่วยชีวิตนาง นางจะขอตอบแทนรับใช้ท่านเจ้าค่ะ”

หานเจวี๋ยกล่าวอย่างใจเย็น “ให้นางเข้ามาเถิด มอบหมายงานให้นางทำสักอย่างก็ได้”

หญิงรับใช้จากไปทันที

ห้าปีต่อมา

เมืองป้องบูรพาประสบกับการโจมตีของเหล่าอสูรกาย ทั้งเมืองตกอยู่ภาวะตื่นตัว หานเจวี๋ยยืนมองสัญญาณควันออกรบที่พวยพุ่งจากรอบทิศทาง เขาเหม่อลอยอย่างเงียบๆ

หญิงสาวในชุดสีเขียวโน้มตัวเข้ามาอย่างกะทันหัน ใบหน้าของนางจัดว่าสวย แม้จะไม่งดงามจับใจ แต่ก็มีเสน่ห์ที่แตกต่าง ชวนมอง

“นายท่าน ท่านกลัวว่าเมืองจะถูกทำลายหรือเจ้าคะ” หญิงสาวในชุดสีเขียวถามยิ้มๆ ไม่มีแววกังวลแม้แต่น้อย

นางก็คือขอทานหญิงผู้นั้น มีนามว่าชิงหลวนเอ๋อร์ ตอนนั้นนางอายุเพียงสิบเจ็ดปี หลังจากที่เข้ามาอยู่ในจวนสกุลหานแล้ว นางก็ไม่ทำตัวให้สมเป็นสาวใช้ เอาแต่ก่อกวนหานเจวี๋ยอยู่ตลอดเวลา ทว่านางเป็นคนมีความสามารถ งานใช้กำลังใดๆ ภายในจวนล้วนทำได้ทั้งหมด มิหนำซ้ำยังแข็งแกร่งว่าบุรุษเสียอีก

หานเจวี๋ยยิ้มและกล่าวว่า “น่าจะเป็นเช่นนั้น”

ชิงหลวนเอ๋อร์บุ้ยปาก “ใช่ก็บอกว่าใช่ ไม่ใช่ก็บอกว่าไม่ใช่สิเจ้าคะ ท่านชอบพูดจาคลุมเครือ คนอื่นเขาเดาไม่ออกว่าท่านคิดอะไร”

หานเจวี๋ยยิ้ม ไม่สนใจนางอีก

หลังจากผ่านไปหลายเดือน เมืองป้องบูรพายังคงอยู่รอดปลอดภัยมาได้ ทว่าเหล่าพลทหารต่างบาดเจ็บล้มตายกันระนาว ราชาแห่งมวลมนุษย์จึงจำใจต้องส่งผู้บำเพ็ญไปรบด้วย

การมาถึงของผู้บำเพ็ญทำให้เกิดกระแสของการฝึกบำเพ็ญขึ้นในเมืองป้องบูรพา

อย่างไรก็ตามเผ่ามนุษย์นี้ไม่ใช่เผ่ามนุษย์ก่อนกำเนิดฟ้า สายเลือดของพวกเขาถูกถ่ายทอดจากเผ่ามนุษย์จากมหาเคราะห์ครั้งก่อน คุณสมบัติจึงดีบ้างเลวบ้างปะปนกันไป

หานเจวี๋ยแสร้งทำเป็นคนที่ไม่ได้บำเพ็ญรากวิญญาณ และใช้ชีวิตในฐานะมนุษย์ธรรมดาต่อไป

อีกสิบปีผ่านไป

หานเจวี๋ยแต่งงานแล้ว

เขาแต่งกับชิงหลวนเอ๋อร์ นอกจากนางจะมีใจให้กับเขาแล้ว คนรอบข้างอย่างบ่าวรับใช้ เพื่อนบ้าน สหายคนสนิททั้งหลายก็มีส่วนยุยงด้วยเช่นกัน ในสายตาของคนธรรมดาทั่วไป เขาควรจะแต่งงานลงหลักปักฐาน มีลูกเพื่อสืบสายสกุลต่อไป

หนึ่งปีต่อมา ชิงหลวนเอ๋อร์ก็ตั้งครรภ์ และให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง มีนามว่าหานทั่ว

นี่เป็นเพราะแรงปรารถนาที่ควบคุมหานเจวี๋ย มิฉะนั้นเขาไม่มีวันมีทายาทสืบสกุลต่อไปอีกชั่วกัปชั่วกัลป์

เขาสะกดคุณสมบัติรากวิญญาณของหานทั่วเอาไว้ ทำให้หานทั่วดูไม่ต่างจากมนุษย์ทั่วไป นอกเสียจากว่าเขาจะพบกับครึ่งอริยะ จึงจะสามารถปลดผนึกสายเลือดออกมาได้

แผนการของหานเจวี๋ยคือตั้งใจจะดูแลเขาตลอดทั้งชีวิต รอจนกระทั่งเขากลับชาติมาเกิดใหม่ ค่อยนำกายเนื้อของเขากลับคืนมา

หลังจากแต่งงานมีลูกแล้ว ความตระหนักรู้ของหานเจวี๋ยก็ยิ่งล้ำลึก ความเข้าใจต่อมรรคก็ยิ่งลึกซึ้ง

มหามรรคสามพัน ปรากฏอยู่ทั่วทุกหนแห่ง

กิจการของมนุษย์ ปฐพี หรือสวรรค์ก็ดี ล้วนแฝงด้วยกฎแห่งมรรค

หลังจากนั้น หานทั่วที่ใฝ่ฝันอยากจะเป็นมนุษย์เซียนที่โผบินอยู่บนท้องฟ้าได้ตั้งแต่เด็ก ก็ร่ำไห้ขอให้ชิงหลวนเอ๋อร์ช่วยหาปรมาจารย์เซียนให้กับเขา ชิงหลวนเอ๋อร์จึงมาอ้อนวอนกับหานเจวี๋ย หานเจวี๋ยจึงจำใจใช้เส้นสายหามาให้

แต่ในท้ายที่สุด หานทั่วที่ถูกตีตราว่าไม่มีคุณสมบัติรากวิญญาณ ก็จิตใจกระทบกระเทือนอย่างหนัก

ไม่กี่วันให้หลัง เขาก็กลับมาแข็งแรงมีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง ทุกวันเอาแต่ทำตัวลับๆ ล่อๆ

หานเจวี๋ยพบเจ้าเด็กน้อยคนนี้ดูเหมือนว่ากำลังฝึกฝนวรยุทธ์อยู่

พูดให้เจาะจงคือกำลังฝึกฝนร่างกาย!

ชิงหลวนเอ๋อร์เป็นคนสั่งสอนเขาเอง

หานเจวี๋ยไม่ได้สนใจ เอาแต่ฝึกเต๋า

เนินเขาในเมือง

สองแม่ลูกพากันเข้าไปในป่า

ชิงหลวนเอ๋อร์ที่แต่งกายทะมัดทะแมงจ้องมองหานทั่ว แล้วเอ่ยเป็นเชิงตักเตือนว่า “ทั่วเอ๋อร์ วิชานี้เจ้าอย่าได้เอาไปแพร่งพรายที่ไหนเชียว และอย่าให้พ่อของเจ้าล่วงรู้เป็นอันขาด มิฉะนั้นเขาจะตกใจเอาได้”

หานทั่วพยักหน้า พลางร่ายรำออกหมัด

เขาที่มีอายุเพียงเก้าขวบ เคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างเฉียบคม

ชิงหลวนเอ๋อร์ใบหน้าเจ็บปวดรวดร้าว คิดในใจว่า ‘หากลูกข้ามีรากวิญญาณละก็ ด้วยเจตจำนงขั้นนี้ วันข้างหน้าเขาต้องเป็นเซียนได้อย่างแน่นอน อนิจจา’

………………………………………………..