บทที่ 515 ระบายความในใจ
บทที่ 515 ระบายความในใจ
“เมื่อวานองค์รัชทายาทเสด็จไปที่ใดพ่ะย่ะค่ะ?”
เซี่ยเชียนมองดูองค์รัชทายาทที่อยู่ด้านหน้า ก็อดถามขึ้นมาไม่ได้ โดยปกติชายหนุ่มจะไม่ตรวจสอบเรื่องพวกนี้ แต่เมื่อเห็นว่าองค์จักรพรรดิเริ่มจะหมดความอดทนลงทุกขณะ เซี่ยเชียนจึงต้องเอ่ยขึ้นมาในตอนนี้
พิจารณาจากมุมนี้แล้ว ในเมื่อองค์รัชทายาทออกจากวังโดยไม่มีเหตุผล ตนเองในฐานะพระราชครูก็ควรที่จะมีส่วนรับผิดชอบด้วย
เหมือนสวีกุ้ยเฟยที่ตอนนี้ที่ยังไม่อาจลุกขึ้นมาได้
ถ้าหาคนที่ผิดที่สุดในเรื่องนี้ นั่นก็คือสวีกุ้ยเฟยที่กำลังคุกเข่าอยู่ในขณะนี้
ถึงแม้ว่าสวีกุ้ยเฟยจะเป็นมารดาเพียงในนาม แต่การเลี้ยงดูองค์รัชทายาทไม่ใช่เรื่องที่พระสนมจะสามารถทำได้ นางเพียงแค่ถามไถ่เรื่องการศึกษาของพระองค์เพียงเท่านั้น
แต่สวีกุ้ยเฟยมีอำนาจในการดูแลจัดการวังหลังทั้งหกตำหนัก ในวันปกตินางจะยุ่งมาก หลังจากที่เสร็จสิ้นลงก็ไม่มีอะไรมากกว่าการตัดเย็บเสื้อผ้าให้พระราชบุตรพระราชธิดาทั้งสองพระองค์
หลังจากได้รับตำแหน่งองค์รัชทายาทและได้มีตำหนักตะวันออกเป็นของตนเอง ในวันปกติ สวีกุ้ยเฟยเองก็ไม่ได้เข้าไปในตำหนักตะวันออกเลย เป็นธรรมดาที่เมื่อวานพระองค์จะแอบออกไปโดยที่นางไม่รู้ เพียงแต่องค์จักรพรรดิไม่ได้คิดเช่นนั้น
องค์จักรพรรดิคิดว่าสวีกุ้ยเฟยบกพร่องในหน้าที่นี้ นางไม่มีแม้แต่สิทธิ์ที่จะปกป้องตัวเอง
เนื่องจากเหตุการณ์นี้นางจึงเป็นกังวลตลอดทั้งวัน แต่เมื่อมองดูองค์รัชทายาทที่ไม่ได้เอ่ยอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ ถึงแม้ว่าภายในใจจะร้อนรน ยามนี้นางก็ไม่อาจเอ่ยอะไรเพื่ออีกฝ่ายได้เลยแม้แต่น้อย
“เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องให้พระราชครูเซี่ยรับรู้”
องค์รัชทายาทครุ่นคิดมาตลอดทั้งวัน หลังจากที่องค์จักรพรรดิกล่าวเสร็จ องค์รัชทายาทก็กลัดกลุ้มใจมาโดยตลอด ถึงแม้ว่าคำพูดของเซี่ยเชียนนั้นจะเกินจริงไปบ้าง แต่เพราะมันเกี่ยวเนื่องกับครอบครัวของเขา จะพูดขึ้นมาสองสามประโยคก็เข้าใจได้
แต่เนื่องจากเขาถามถึงสิ่งที่องค์รัชทายาทปกปิดเอาไว้ แล้วพระองค์ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
ครั้งนี้เซี่ยเชียนไม่ได้ขออภัยองค์รัชทายาท เนื่องจากเห็นว่าองค์จักรพรรดิทรงกริ้วจริง ๆ หลังจากที่องค์รัชทายาทเอ่ยประโยคนั้น
ทันใดนั้นองค์จักรพรรดิก็ขว้างจอกชาในพระหัตถ์ใส่องค์รัชทายาท และก่อนที่เขาจะตอบสนองได้ทันก็ถูกสวีกุ้ยเฟยผลักออกไป
องค์จักรพรรดิเดือดดาล เขามิลังเลสักนิดที่จะขว้างมันออกไป หากว่าจอกชานั้นโดนใบหน้าขององค์รัชทายาทจริง คงจะเสียหายไปมากกว่าครึ่ง
ทว่าถึงจะหลบได้ แก้วน้ำชาก็ยังกระเด็นกระทบไหล่ขององค์รัชทายาท จนทำให้เสื้อผ้าของเขาเปียกปอนไปหมด
“เจ้าลูกไม่รักดี!” ยังไม่ทันรอให้องค์รัชทายาทตั้งตัว ก็ได้ยินเสียงเกรี้ยวกราดขององค์จักรพรรดิดังขึ้นมา “พระราชครูเซี่ยเป็นรุ่นพี่และอาจารย์ของเจ้า เจ้ายังกล้าทำเรื่องใหญ่โตเช่นนี้”
เห็นได้ชัดว่าองค์รัชทายาทเข้าใจในความไม่พอใจขององค์จักรพรรดิ แต่เขาคิดไม่ถึงว่าจู่ ๆ ตนเองจะตอบกลับเซี่ยเชียนเช่นนี้
“เป็นเพราะศิษย์ไร้มารยาท หวังว่าท่านราชครูจะให้อภัย”
องค์รัชทายาทรีบคำนับขออภัยต่อเซี่ยเชียน เซี่ยเชียนเองก็รีบลุกขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยง
“เป็นเพราะเจ้าเห็นแก่ตัว ดูสิว่าวันนี้เจ้าทำเรื่องวุ่นวายไปกี่เรื่องแล้ว? ดูเจ้าวันนี้สิ คนมากมายจากตำหนักตะวันออกต้องมาเหนื่อยเพราะเจ้าเพียงผู้เดียว อีกทั้งยังต้องให้มารดาของเจ้ามาคุกเข่าตัวสั่นอยู่ตรงนี้ เก่งกล้าเสียเหลือเกิน!”
เห็นได้ชัดว่าพระองค์ไม่ได้คาดคิดว่าองค์รัชทายาทจะกล่าวประโยคเช่นนี้ออกมา
ตำแหน่งราชครูตำแหน่งนั้นมิใช่ผู้รอบรู้ที่มีมากมายทั่วหล้า ดังนั้นเซี่ยเชียนจึงได้รับการขนานนามว่าเป็นพระราชครูขององค์รัชทายาท ด้วยเพราะการศึกษาขององค์รัชทายาทเป็นเรื่องสำคัญของแว่นแคว้น และตนเองก็ไว้วางใจเซี่ยเชียน แต่ขณะเดียวกันพระองค์เองก็มีความเห็นแก่ตัว
ตระกูลหลินเป็นหลานของเซี่ยเชียน หากมีความสัมพันธ์อันดีกับเซี่ยเชียนก็เท่ากับว่าสามารถควบคุมตระกูลหลินได้ หากเป็นเช่นนั้นเมื่อพระองค์จากไป ตำแหน่งองค์รัชทายาทก็จะยังมั่นคง
“เสด็จพ่อ…”
ถึงแม้ว่าองค์รัชทายาทจะอยู่กับเขามาเป็นเวลานาน แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด จึงไม่สามารถจัดการกับความเคยชินของเขาได้ เดิมทีองค์รัชทายาทต้องการจะเอ่ยขึ้นดี ๆ แต่ก็ไม่อาจห้ามน้ำเสียงไม่ให้สั่นเครือได้
เวลานี้เซี่ยเชียนได้คุกเข่าและฟุบหน้าลง “ที่ฝ่าบาทกริ้ว เดิมทีเป็นเพราะคำพูดของกระหม่อม อีกทั้งโบราณได้กล่าวไว้ว่า การไม่เข้มงวดคือความเกียจคร้านของอาจารย์ เป็นเพราะกระหม่อมสั่งสอนองค์รัชทายาทได้ไม่ดีพ่ะย่ะค่ะ”
เวลานี้สวีกุ้ยเฟยก็พยักหน้าเช่นกัน “เป็นเพราะหม่อมฉันในฐานะที่เป็นแม่ อบรมสั่งสอนองค์รัชทายาทได้ไม่ดีเพคะ”
สวีกุ้ยเฟยที่คุกเข่ามาตั้งแต่ต้นรู้สึกปวดเข่ามาเป็นเวลานาน แต่ก็ยังอดทนที่จะไม่เอ่ยอะไรออกมา จนถึงเวลานี้จึงเอ่ยปากร้องขอให้องค์รัชทายาท
“พวกเจ้าสองคนลุกขึ้นมา” องค์จักรพรรดิหลับตาลงเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ และควบคุมโทสะเอาไว้ก่อนที่จะเอ่ยขึ้น
“เสด็จพ่อ นี่เป็นความผิดของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ”
ในเวลานี้องค์รัชทายาทต้องยอมสารภาพความจริง “เมื่อวานกระหม่อมต้องการไปหาพี่อาซือ แต่กลับพบว่านางอยู่กับผู้อื่นเป็นกลุ่มใหญ่ จึงไม่ได้เข้าไปรบกวน เพียงแค่ทิ้งของขวัญเอาไว้แล้วเดินไปตามถนน”
“แต่กระหม่อมก็ไม่ได้คาดคิดว่าจะไปพบกับน้องสาวตระกูลลู่ ครั้งก่อนที่นางเข้าวังก็ได้พบกับกระหม่อมเข้าเนื่องจากหลงทาง นี่คือเหตุผลที่กระหม่อมรู้จักนาง จึงไปที่บ้านกับน้องสาวตระกูลลู่ และตอนกลางคืนพวกเราลอยโคมในแม่น้ำกัน แต่เพราะว่าน้องสาวตระกูลลู่อายุยังน้อย กระหม่อมกลัวว่าจะดึงนางเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงมิได้พูดความจริงในตอนแรกพ่ะย่ะค่ะ”
แววตาองค์จักรพรรดิเปี่ยมไปด้วยความสงสัย “เจ้าอยู่ที่นั่นไม่ได้พบกับผู้ใหญ่ตระกูลลู่หรือ?”
“เนื่องจากนางต้องการจะช่วยข้าปิดบัง…ดังนั้นน้องสาวตระกูลลู่จึงบอกว่าข้าเป็นสหายกับนาง ไม่ได้บอกว่าข้าเป็นใครพ่ะย่ะค่ะ”
หลังองค์รัชทายาทเอ่ยความจริงออกไป หลังของเขาก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็น เขาแอบเสียใจที่ไม่ได้บอกความจริงตั้งแต่แรกเพราะตนเองกลัวว่าเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ จะถูกตนเองดึงเข้าไปเกี่ยว แต่เขาลืมไปว่าอย่างไรเขาก็ไม่อาจรอดพ้นไปจากสายตาขององค์จักรพรรดิได้
ภายใต้ผืนฟ้า ทุก ๆ ผืนดิน ล้วนแต่มีคนขององค์จักรพรรดิ
ประโยคนี้ไม่ใช่เรื่องขบขัน องค์จักรพรรดิเพียงแค่ไม่ทำสิ่งเล็ก ๆ น้อยๆ เหล่านี้ด้วยตัวของเขาเอง ถ้าเขาต้องการจะติดตามจริง ๆ จะรอดพ้นจากสายพระเนตรของพระองค์ไปได้อย่างไร
“ฝ่าบาท ถึงแม้ว่าองค์รัชทายาทจะไม่ได้กล่าวความจริงในตอนแรก แต่สุดท้ายเรื่องราวนั้นมีเหตุผล ความหวังดีที่ฝ่าบาทมีต่อสหายตัวน้อยนั้นควรค่าแก่การยกย่องพ่ะย่ะค่ะ”
เซี่ยเชียนรู้ดีว่าเรื่องราวนี้มันจะเล็กน้อยหรือใหญ่โตขนาดไหน ในตอนแรกโทสะขององค์จักรพรรดิเป็นเพราะกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยขององค์รัชทายาท ตอนนี้เขาก็บอกเรื่องที่ควรจะเอ่ยขึ้นมาแล้ว เซี่ยเชียนจึงเริ่มเคลื่อนไหวในขั้นแรก…
……………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
บอกความจริงแต่แรกก็จบ อมพะนำทำไมหนอ
ไหหม่า(海馬)