ตอนที่ 569 เรื่องนี้เจ้าพูดเองนะ ข้าไม่ได้บังคับเจ้า!

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 569 เรื่องนี้เจ้าพูดเองนะ ข้าไม่ได้บังคับเจ้า!

ยังจะทำอย่างไรได้อีกเล่า? คนผู้นี้มิใช่คนชอบพูดมาก เขาว่ามาอย่างไรก็ได้แต่ทำไปตามนั้น

หลีอู๋ฮวาเรียกคนมาจัดการทันที

ไม่นานนัก ห้องครัวถูกเก็บกวาดขนย้ายของออกไป ไห่หรูเยวี่ยที่นอนอยู่บนไม้กระดานเตียงคลุมด้วยผ้าห่มถูกยกเข้าไปในห้องครัว

ห้องครัวของบ้านคนร่ำรวยย่อมไม่ได้มีเพียงเตาเดียว แต่มีเตาไฟตั้งเรียงเป็นแถว ชายหนุ่มเดินหยุดข้างเตาไฟมองครู่หนึ่งแล้วชี้ไปทางหม้อใหญ่สามใบ สั่งให้เติมน้ำยกตั้งเตา

ผู้ช่วยปฏิบัติตามที่สั่งทันที รอจนน้ำเดือดปุดๆ มีควันร้อนลองขึ้นมา ชายหนุ่มสั่งให้ควบคุมความร้อนคงอุณหภูมิน้ำเอาไว้ จากนั้นก็สั่งให้ยกไม้กระดานที่มีไห่หรูเยวี่ยนอนอยู่ขึ้นไปตั้งบนเตา วางพาดบนหม้อสามใบที่มีไอร้อนลอยกรุ่น

“ป้อนน้ำ!” ชายหนุ่มสั่งให้หลีอู๋ฮวารินน้ำอุ่นให้ไห่หรูเยวี่ยที่อยู่ในสภาวะสลบไสล

วิธีการรักษาเช่นนี้หลีอู๋ฮวาไม่เคยพบเห็นยลยินมาก่อน แต่ก็ยังัดฟันทำตามที่สั่งอย่างว่าง่าย ไม่กล้าคัดค้าน

ในระหว่างนั้น ชายหนุ่มดึงมือไห่หรูเยวี่ยออกมาจากใต้ผ้าห่มแล้วกุมเอาไว้สักพัก วัดอุณหภูมิร่างกายของไห่หรูเยวี่ย ตรวจดูสัญญาณชีพ

เมื่อผ้าห่มถูกอังด้วยไอร้อน สีหน้าของคนที่อยู่ใต้ผ้าห่มแดงเรื่อเริ่มมีเหงื่อซึมแล้ว เปลือกตาไห่หรูเยวี่ยขยับนิดๆ คล้ายจะค่อนข้างร้อนจนทนไม่ไหวแล้ว นางลืมตาขึ้นมา แววตาของคนที่เพิ่งฟื้นตื่นสลัวมึนงง

หลีอู๋ฮวาก้าวเข้าไปหาทันที แววตาเปี่ยมความห่วงใย

แต่ก่อนเพียงอยากเล่นสนุกกับสตรีนางนี้เท่านั้น แต่โชคชะตาเล่นตลกกับมนุษย์ สุดท้ายกลับกลายเป็นครอบครัวเดียวกัน ความปรารถนาทางกายที่ต้องการเพียงระบายความใคร่ค่อยๆ เลือนหายไป ถูกแทนที่ความรักผูกพันแบบครอบครัวที่ยากจะหักใจทอดทิ้งได้

ไห่หรูเยวี่ยมองเขา เอ่ยถามเสียงอ่อนแรง “ที่นี่คือที่ใด ข้าร้อนเหลือเกิน”

หลีอู๋ฮวารีบเอ่ยว่า “อดทนไว้ กำลังแก้พิษให้เจ้าอยู่ อีกเดี๋ยวก็ดีขึ้นแล้ว อดทนเอาไว้”

“แก้พิษหรือ?” สภาพอารมณ์ของไห่หรูเยวี่ยคล้ายจะตื่นตัวขึ้นมาเล็กน้อย เสียงค่อนข้างดังขึ้นมาแล้ว “ลูกละ ลูกเป็นอย่างไรบ้าง?”

ขอบตาหลีอู๋ฮวาแดงเรื่อ ไม่รอให้เขาได้เอ่ยวาจา มือของชายหนุ่มก็ยื่นเข้ามา บีบเปิดปากของไห่หรูเยวี่ยแล้วดีดยาลูกกลอนสีเขียวคล้ำเข้าไปในปากนาง

ชายหนุ่มเอ่ยว่า “ไม่ต้องพูดแล้ว ใช่พลังช่วยละลายยาให้นางเสีย”

“ได้ขอรับ!” หลีอู๋ฮวาพยักหน้ารับถี่ๆ

“เขาคือ…” ไห่หรูเยวี่ยรู้สึกว่าคนตรงหน้าดูค่อนข้างคุ้นตา แต่สติสัมปชัญญะไม่เต็มร้อยจึงนึกไม่อออก

“ไม่ต้องพูด ไม่ต้องพูดแล้ว” หลีอู๋ฮวายึดถือคำสั่งหมอดั่งราชโองการรีบห้ามนางไว้ เริ่มใช้พลังหลอมละลายยากระตุ้นฤทธิ์ยาให้

หลังจากยาเริ่มออกฤทธิ์แล้ว ไห่หรูเยวี่ยมีสีหน้าทรมาน เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ราวกับถูกต้มอยู่ “อู๋ฮวา ข้าทรมานเหลือเกิน”

“ท่านหมอ นางเป็นอะไรไปขอรับ?” หลีอู๋ฮวาหันไปถามชายหนุ่มทันที

ชายหนุ่มไม่ตอบคำถาม เพียงเอ่ยว่า “เปิดผ้าห่มออกได้แล้ว”

ผ้าห่มที่เปียกชื้นและร้อนอบอ้าวถูกลากออกไปไว้ด้านข้างทันที ชายหนุ่มเอ่ยต่อว่า “ถอดเสื้อผ้านางออก ถอดออกให้หมดจนเปลือยเปล่า”

“ห๊า! นี่…” หลีอู๋ฮวาตะลึงไปเล็กน้อย

ชายหนุ่มไม่สนใจความคิดของเขา หันไปหยิบเข่งไม้ไผ่ของตนที่อยู่ด้านข้าง หยิบข้าวของจำพวกขวดโถโหลแก้วจำนวนหนึ่งออกมา เปิดแผ่นหนังม้วนหนึ่งออกเผยให้เห็นของจำพวกเข็มเงินหลายขนาดทั้งเล็กทั้งใหญ่แตกต่างกันไปเสียบเรียงรายเป็นแถว ทั้งหมดถูกดึงออกมาใส่ไว้ในขันเงินเล็กๆ ใบหนึ่งจากนั้นก็เทน้ำสะอาดใส่เข้าไป โรยผงยาบางอย่างที่ไม่ทราบชื่อลงไปเพื่อแช่อุปกรณ์เหล่านั้น

สุดท้ายหลีอู๋ฮวาก็กัดฟันตัดสินใจไล่ผู้ช่วยชายออกไปให้หมด เรียกสาวใช้กลุ่มหนึ่งเข้ามาแทน สั่งให้คนเฝ้าด้านนอกห้องครัวเอาไว้ กันไม่ให้มีใครเข้ามา

สุดท้ายไห่หรูเยวี่ยที่อ่อนแรงด้วยอาการป่วยก็ต้องเผชิญความอับอายไม่กำลังจะต่อต้านได้ ถูกเปลืองผ้าจนนอนเปลือยเปล่าต่อหน้าบุรุษแปลกหน้าคนหนี่งจะไม่อับอายได้หรือ? จึงได้แต่หลับตาลงเสีย

โชคดีที่ความเจ็บปวดจากฤทธิ์ยาในกระเพาะให้นางไม่มีเวลามาคิดมากมายนัก

สาวใช้ที่เป็นลูกมืออยู่ในห้องล้วนหน้าแดงขึ้นมา แต่ล้วนต้องยอมรับกันอยู่ภายในใจว่ารูปร่างขององค์หญิงใหญ่ยอดเยี่ยมนัก ดูดีเช่นเดียวกับรูปโฉม

ชายหนุ่มยืนอยู่ข้างกายไห่หรูเยวี่ยมองพินิจหัวจรดเท้าตรวจสอบอาการ ในแววตาไม่ปรากฏความผิดปกติใดๆ ถึงแม้จะดูให้ความสนใจแต่แววตากลับไม่ต่างไปจากมองหมูหรือว่าคนที่ตายไปแล้ว

กลับเป็นหลีอู๋ฮวาที่มีสีหน้าตึงเครียด รู้สึกค่อนข้างยากจะทนรับไหว

สิ่งที่ทำให้ไห่หรูเยวี่ยรู้สึกแย่กว่าเดิมคือชายหนุ่มยื่นมือไปลูบคลำหลายส่วนบนร่างกายไห่หรูเยวี่ย วัดอุณหภูมิในบริเวณเหล่านั้น

จากนั้นก็ยื่นอ่างเงินใบหนึ่งที่ผสมตัวยาเอาไว้ให้หลีอู๋ฮวา “ร่างกายของนางและห้องครัวล้วนไม่สะอาด ใช้น้ำยาเช็ดตัวนางหนึ่งรอบ”

หลีอู๋ฮวาปฏิบัติตามด้วยสีหน้าตึงเครียด

หลังจากจับไห่หรูเยวี่ยพลิกไปพลิกมาเช็ดตัวเรียบร้อย ชายหนุ่มถือกระปุกยาไว้ในมือ ส่วนมืออีกข้างถือเข็มเงินจุ่มลงไปในกระปุกแตะผงยา เริ่มฝังเข็มไปตามจุดชีพจรบนร่างของไห่หรูเยวี่ยอย่างรวดเร็ว ผงยาที่เคลือบอยู่ก็เข้าสู่จุดชีพจรของไห่หรูเยวี่ยไปพร้อมกัน

พอฝังด้านหน้าเสร็จก็พลิกฝังด้านหลังต่อ สุดท้ายไห่หรูเยวี่ยนอนคว่ำอยู่บนไม้กระดาน มีท่อเข็มเล็กๆ ที่กลวงเปล่าเสียบปักอยู่ที่ปลายนิ้วทุกนิ้ว

“จากนี้ข้าจะต้องฝังโอสถเม็ดหนึ่งเข้าสู่ไขกระดูกของนางเพื่อฟื้นฟูและเพิ่มสมรรถภาพการสร้างโลหิตในร่างนางขึ้น อาจจะค่อนข้างเจ็บปวด อย่าปล่อยให้นางดิ้นพล่านวุ่นวาย” ชานหนุ่มเอ่ยสั่งการ

หลีอู๋ฮวาค่อยๆ ปรับตัวได้แล้ว มองออกเช่นกันว่าคนผู้นี้ไม่มีเจตนาจะล่วงเกินใดๆ ต่อภรรยาเขาเลย มองจากฉากเมื่อครู่ก็ทราบแล้ว วิธีการรักษานี้จำเป็นต้องเปลื้องอาภรณ์จนเปลือยเปล่าจริงๆ มิเช่นนั้นจะไม่สะดวก

“ขอรับ!” หลีอู๋ฮวาตอบรับ

ครั้งนี้ท่อเข็มกลวงเปล่าเล่มหนึ่งที่มีขนาดใหญ่ขึ้นมาเล็กน้อยถูกชายหนุ่มหยิบขึ้นมา ชายหนุ่มยื่นมือหนึ่งไปกุมต้นคอไห่หรูเยวี่ยไว้ ไล่นิ้วไปตามแนวกระดูกสันหลังรอบหนึ่ง จากนั้นก็ปักเข็มลงไปในทันใด แทงเข้าสู่กระดูกสันหลังบนต้นคอของไห่หรูเยวี่ย

“อื้อ…” ไห่หรูเยวี่ยครางด้วยความเจ็บปวด ร่างกายที่อ่อนแรงดิ้นรนไปอย่างไม่อาจควบคุมตัวเองได้

หลีอู๋ฮวาที่เตรียมพร้อมอยู่ก่อนแล้วใช้พลังปราณกดตัวนางไว้

ยาลูกกลอนสีแดงขนาดเล็กเม็ดหนึ่งถูกใส่เข้าไปในท่อเข็ม ชายหนุ่มโคจรลมปราณเคลื่อนยาลูกกลอนเข้าสู่กระดูกสันหลังของไห่หรูเยวี่ย

เข็มถูกดึงออกแล้วแทงเข้าไปอีกครั้ง ใส่ยาลูกกลอนสีแดงเข้าไปอีก ปักๆ ดึงๆ ไปตามแนวกระดูกสันหลังของไห่หรูเยวี่ยเช่นนี้ แทงเข็มลงไปสิบกว่าครั้งฝังยาลูกกลอนลงไปสิบกว่าเม็ดถึงได้หยุดมือ

พอเสร็จขั้นตอนเหล่านี้ ชายหนุ่มหอบหายใจขึ้นมาแล้ว อาจเป็นเพราะอยู่ข้างเตาที่ร้อนมากด้วย จึงมีเหงื่อผุดออกมาแล้ว

หลีอู๋ฮวาค่อนข้างแปลกใจพอสมควร สังเกตเห็นว่าพลังสภาวะของคนผู้นี้อ่อนด้อยมาก คล้ายจะทำเป็นเพียงหลอมปราณและโคจรลมปราณแบบง่ายๆ เท่านั้น

ไห่หรูเยวี่ยเจ็บปวดจนสลบไปแล้ว

ชายหนุ่มส่งสัญญาณให้พลิกตัวไห่หรูเยวี่ย จากนั้นก็ยกผ้าห่มคลุมตัวไห่หรูเยวี่ยไว้ไม่ให้บังท่อเข็มที่ปักอยู่ตรงมือเท้าของไห่หรูเยวี่ย แล้วให้คอยควบคุมความร้อนและอุณหภูมิของน้ำไว้

จากนั้นชายหนุ่มก็ไปคอยอยู่ด้านข้าง ตรวจดูท่อเข็มกลวงเปล่าบริเวณมือเท้าของไห่หรูเยวี่ยเป็นระยะ คอยบิดหมุนขยับไปทีละเล่มๆ ทำวนซ้ำไปซ้ำมาเช่นนี้

เวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม เริ่มมีโลหิตไหลออกมาตามท่อเข็มตรงปลายนิ้วแล้ว มีโลหิตไหลหยดออกมาจากท่อเข็มทุกเล่มอย่างช้าๆ

ชายหนุ่มที่อยู่ด้านข้างน้ำยาที่ผสมไว้แล้วขึ้นมา รองเอาเลือดที่ไหลหยดลงมาไปเป็นครั้งคราว คนผสมภายในภาชนะ ตรวจสอบดูความเปลี่ยนแปลงหลังจากที่ผสมเข้ากับน้ำยาแล้ว

เวลาล่วงเลยไปถึงยามเที่ยง จนกระทั่งชายหนุ่มสังเกตเห็นว่าเลือดที่หยดออกมาแทบจะไม่ทำปฏิกิริยากับตัวยาแล้วถึงได้ถอนเข็มทั้งหมดออกจากมือเท้าของไห่หรูเยวี่ย ขณะที่ใส่รวมลงไปในขันเงินพร้อมกับอุปกรณ์ทั้งหมดที่ใช้ไปก่อนหน้านี้แช่ทำความสะอาดด้วยน้ำยาก็กล่าวไปด้วยว่า “น่าจะไม่เป็นไรแล้ว หลังจากนี้จะค่อยๆ ฟื้นฟูกลับมา ส่วนเรื่องกระตุ้นเสริมเลือดลมในส่วนนี้คงไม่คณามือวังสวรรค์หมื่นวิมานของพวกเจ้า อีกสามวันให้หลังคงลุกจากเตียงได้แล้ว เลือดลมพร่องเสียหายไปอย่างร้ายแรง ร่างกายย่อมทรุดโทรมลงอย่างไม่อาจเลี่ยงได้ ภายในหนึ่งเดือนนี้ต้องใส่ใจบำรุงให้ดี งดต้องลมหนาวหรือน้ำเย็น”

แค่นี้ก็พอหรือ? หลีอู๋ฮวาตกตะลึง รีบตรวจชีพจรของไห่หรูเยวี่ยทันที สามารถรับรู้ถึงสัญญาณชีพในร่างไห่หรูเยวี่ยที่กำลังฟื้นฟูกลับมาช้าๆ ได้อย่างเลือนราง เทียบกับก่อนหน้านี้ที่พยายามทุกวิถีทางแล้วก็ยากจะควบคุมอาการที่ทรุดหนักลงไปแล้วต่างกันราวฟ้ากับเหวไม่มีผิด เขาพลันโค้งคำนับด้วยความปรีดา “ท่านหมอมีบุญคุณใหญ่หลวง ข้าไม่อาจตอบแทนได้เลยจริงๆ ท่านหมอมีความประสงค์ใดเชิญกล่าวมาได้เต็มที่ ต่อให้ข้าต้องทุ่มเทจนร่างแหลกลาญก็จะ…”

ชายหนึ่มเอ่ยตัดบท “ไม่จำเป็น อาจารย์กล่าวไว้ว่า แต่ไหนแต่ไรมามีแค่คนอื่นที่ติดค้างน้ำใจเขา เขาไม่เคยติดค้างน้ำใจผู้ใด ในเมื่อพาตัวบุตรชายของนางไป มาช่วยชีวิตนางครั้งหนึ่งก็นับว่าไม่ติดค้างกันอีก วันหน้าจะเป็นหรือตายก็จะไม่สนใจแล้ว”

หลีอู๋ฮวาผงะไปเล็กน้อย ลองสอบถามดู “หมอผีคืออาจารย์ของท่านหรือ?”

ชายหนุ่มตอบอืมคำหนึ่ง เก็บข้าวของให้เรียบร้อย สะพายเข่งขึ้นหลังพลางเอ่ยว่า “รบกวนมานานแล้ว ขออำลา!”

“ห๊า!” หลีอู๋ฮวาตกใจ รีบยื่นมือไปรั้งเขาไว้ “ท่านหมอ แล้วบุตรชายข้าจะทำอย่างไรดี?”

ชายหนุ่มกล่าวว่า “บอกแล้วว่าช่วยชีวิตนางคนเดียวก็ไม่ติดค้างกันอีกต่อไป บุตรชายนางติดตามท่านอาจารย์ของข้าแล้ว นับจากนี้ไปจะกลายเป็นคนของท่านอาจารย์ข้า”

หลีอู๋ฮวาตระหนักได้ทันทีว่าคนผู้นี้เข้าใจผิดไปแล้ว “มิใช่ขอรับ ท่านหมอ ข้าหมายถึงบุตรชายของข้า พวกเราเพิ่งมีบุตรชายคนเล็กด้วยกัน ยังอยู่ในวัยแบเบาะ ต้องพิษนี้เข้าเช่นกัน ท่านหมอได้โปรดช่วยเหลือด้วยเถิด”

ชายหนุ่มขมวดคิ้ว “หลังจากนางต้องพิษแล้วพวกเจ้ายังปล่อยให้นางใกล้ชิดกับทารกอีกงั้นหรือ? เลอะเลือน!”

ข่าวที่ประกาศต่อภายนอกบอกเพียงว่าไห่หรเยวี่ยต้องพิษเท่านั้น ไม่ได้เอ่ยถึงทารกน้อยด้วย คนนอกจึงไม่รู้เรื่องเลย

หลีอู๋ฮวากล่าวว่า “ท่านหมอ ตอนนั้นเป็นเพราะติดกับแผนร้ายของคนถ่อย ไม่ทราบเรื่องจริงๆ ถึงทำพลาดมหันต์ไป ขอร้องท่านหมอโปรดช่วยบุตรชายของข้าด้วยเถิด”

ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้พบความหวัง ไหนเลยจะยอมปล่อยไปได้ ตัวเขาเสมือนคว้าฟางช่วยชีวิตเส้นสุดท้ายมาได้

ชายหนุ่มเอ่ยอย่างเฉยเมย “ข้าบอกไปแล้ว หลังจากช่วยชีวิตนางก็ไม่คิดค้างอันใดพวกเจ้าอีกต่อไป ปล่อยมือ! หรือว่าเจ้าคิดจะใช้กำลังหน่วงเหนี่ยวข้าเอาไว้?”

“มิบังอาจแน่นอน!” หลีอู๋ฮวารีบคุกเข่าลงบนพื้นเสียงดังตุบ แม้ว่าจะมีสภาวะสูงล้ำกว่าคนผู้นี้ แต่พออยู่ต่อหน้าชายหนุ่มคนนี้แล้วเขาอ่อนน้อมยิ่งกว่าเป็นหลานชายเสียอีก หลั่งน้ำตานองหน้าพลางเอ่ยว่า “ท่านหมอ ข้าได้บุตรชายในยามชรา แล้วจะให้ข้าเบิกตามองลูกน้อยต้องทนทุกข์ทรมานตายจากไปเช่นนี้ได้อย่างไร ขอร้องท่านหมอผู้เปี่ยมเมตตาช่วยปรานีบุตรชายข้าด้วยเถิด ขอเพียงท่านหมอยอมช่วยเหลือ วันหน้าท่านหมอมีคำสั่งใดถึงตายข้าก็ไม่บิดพลิ้วแน่นอน!”

ชายหนุ่มหลุบตามองอย่างสงบพักหนึ่ง คล้ายจะคิดทบทวนอยู่สักพักถึงได้เอ่ยเสียงเรียบว่า “เรื่องนี้เจ้าพูดเองนะ ข้าไม่ได้บังคับเจ้า”

หลีอู๋ฮวาพยักหน้าหงึกๆ ตบอกกล่าวไปว่า “ขอมอบคำสัตย์จากใจว่าจะไม่บิดพลิ้วเด็ดขาด พูดคำไหนคำนั้น หากผิดคำพูดขอให้ฟ้าดินลงทัณฑ์!”

ชายหนุ่มกล่าวว่า “ไม่จำเป็นต้องสาบานต่อฟ้าดินเลย หากเจ้ากล้าบิดพลิ้ว ข้าย่อมเสาะหาคนมาทวงความเป็นธรรมให้ได้ ทำให้เจ้าต้องปฏิบัติตามที่รับปากไว้ ยกคนที่อยู่บนหม้อออกไปแล้วพาบุตรชายของเจ้ามา”

“ขอบพระคุณท่านหมอ” หลีอู๋ฮวาโขกศีรษะให้สามครั้ง รีบคลานลุกขึ้นมา ปาดน้ำตาออกแล้วเรียกผู้ช่วยมายกไห่หรูเยวี่ยออกไป

ในลานด้านนอก ซึ่งปกติแล้วเป็นสถานที่ที่เหล่าข้ารับใช้มักเดินเข้าออก ยามนี้มีคณะผู้อาวุโสของวังสวรรค์หมื่นวิมานเฝ้ารออยู่

ก่อนหน้านี้ได้สอบถามคนที่ถูกไล่ออกมาแล้ว ทราบความว่าขั้นตอนการรักษาต้องเปลื้องอาภรณ์ออก ถึงแม้จะรู้สึกตะขิดตะขวงใจแต่ก็พูดอะไรไม่ได้ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เรื่องบางอย่างก็ไม่อาจจะถือสาได้อีก

ซือถูเย่าและหนิวโหย่วเต้ายืนอยู่ด้วยกัน มองควันไฟที่ยังลอยออกมาจากปล่องควันของห้องครัวเป็นระยะ พูดคุยสัพเพเหระกันไปเรื่อย

ในเวลานี้เองประตูถูกเปิดออก มองเห็นไห่หรูเยวี่ยที่อยู่บนไม้กระดานถูกยกออกมา หลีอู๋ฮวาก็รีบวิ่งออกมาพร้อมตะโกนสั่งการศิษย์อย่างเร่งร้อน “รีบไปอุ้มเด็กมา พาเด็กมา”

พอมองไห่หรูเยวี่ยที่ถูกยกออกไป พวกซือถูเย่าเข้าไปสอบถามทันที “เป็นอย่างไรบ้าง?”