บทที่ 516 จิตมุ่งสู่มรรค เผ่าสวรรค์แสวงหาเซียน

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 516 จิตมุ่งสู่มรรค เผ่าสวรรค์แสวงหาเซียน

“ขอบพระทัยองค์จักรพรรดินี ข้าจะไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน” หานเจวี๋ยพยักหน้า จดจำเรื่องนี้เอาไว้จนขึ้นใจ

ในเมื่อจักรพรรดินีผืนพิภพเต็มใจสนับสนุนสำนักซ่อนเร้นขนาดนี้ เขาก็ไม่จำเป็นต้องหลบเลี่ยงจนเกินไป

เมื่อใดที่เขาได้เป็นอริยะ ในแดนเซียนแห่งนี้ใครหนอจะเป็นคู่ต่อสู้ให้เขาได้

จักรพรรดินีผืนพิภพและหานเจวี๋ยพูดคุยกันต่ออีกสองสามคำ ไม่มีสาระสำคัญอันใด เพียงแต่ถามไถ่ตามมารยาท

จากนั้นแดนความฝันก็สิ้นสุดลง

หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น และพบว่าชิงหลวนเอ๋อร์มาอยู่ข้างๆ ตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบ

ชิงหลวนเอ๋อร์เคยชินกับอาการเหม่อลอยอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยของหานเจวี๋ยแล้ว นางซบลงบนไหล่ของหานเจวี๋ย และถาม พลางถอนหายใจแผ่วเบา “ท่านพี่ ท่านคิดว่าทั่วเอ๋อร์จะกลับมาอย่างปลอดภัยหรือไม่”

หานเจวี๋ยลอบยิ้ม มีวิชายุทธ์ของเจ้าทั้งที คิดว่าจะไม่รอดเลยหรือ

ชิงหลวนเอ๋อร์ไม่ใช่คนธรรมดา นางมีสายเลือดพิเศษ ทว่าสายเลือดไม่ได้ถ่ายทอดไปสู่หานทั่ว สายเลือดของนางเปรียบกับสายเลือดของหานเจวี๋ยได้เสียที่ไหน

แม้จะมีที่มาไม่ธรรมดา แต่ชิงหลวนเอ๋อร์ก็ไร้ซึ่งตบะอยู่ดี ก่อนหน้านี้หานเจวี๋ยเคยทำนายดู พบว่าในตอนที่นางยังเป็นเด็กเคยเผชิญกับคำสาปแช่ง ตบะของอีกฝ่ายคือเซียนแท้ไท่อี่ ทว่าเป้าหมายของอีกฝ่ายไม่ใช่นาง แต่เป็นมารดาของนาง

หากไม่ได้หานเจวี๋ยช่วยเอาไว้ ป่านนี้ชิงหลวนเอ๋อร์คงต้องตายกลางกองหิมะไปนานแล้ว

หานเจวี๋ยกล่าว “ไม่เป็นไรหรอก หากตายไปคลอดใหม่อีกคนก็ได้”

ชิงหลวนเอ๋อร์จ้องมองหานเจวี๋ยตาเขม็ง และเอ่ยด้วยความโกรธ “ท่านพูดอะไรของท่าน!”

“ข้าหยอกเจ้าเล่นเท่านั้น วางใจเถิด เด็กคนนั้นเป็นคนมีวาสนา สวรรค์คอยคุ้มครอง ข้าเองก็คอยอวยพรให้กับเขาอยู่”

“เฮ้อ น่าสงสารนักที่เขาไม่มีรากวิญญาณ เป็นความผิดของข้าเอง…”

ชิงหลวนเอ๋อร์เอาแต่โทษตัวเอง หานเจวี๋ยเองก็ไม่ได้ถามว่าเพราะเหตุใด เรื่องพวกนั้นของชิงหลวนเอ๋อร์ เขาลองทำนายดูสักครั้งก็รู้แล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้ความสามารถวิวัฒนาการเสียด้วยซ้ำ

หานเจวี๋ยเงยหน้ามองหิมะที่ลอยคว้างกลางอากาศด้านนอกเมือง

มีคนผู้หนึ่งกำลังใกล้มาถึงเมืองป้องบูรพา

คราวหายนะของเมืองป้องบูรพากำลังจะมาถึงเร็วๆ นี้

ตู้ม!

ก้อนหินขนาดใหญ่ตกลงมาจากฟากฟ้า ปะทะเข้ากับกำแพงเมืองป้องบูรพา กำแพงเมืองสั่นสะเทือน เศษหินแตกกระจายไปทั่ว ทหารหลายสิบนายถูกเศษหินกระเด็นใส่จนได้รับบาดเจ็บ ทหารสี่คนในนั้นร่างแหลกเหลวกลายเป็นเศษเนื้อทันที

หานทั่วที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลเฝ้าดูด้วยใบหน้าซีดเผือด ร่างกายสั่นสะท้าน

เขามีใบหน้าอันหล่อเหลาถอดแบบมาจากหานเจวี๋ย ทำให้โดดเด่นจากเหล่าทหารที่รายล้อม แต่เมื่อเผชิญหน้ากับความตาย เขาก็ตื่นตระหนกไม่ต่างจากผู้อื่น

แม้ว่าเขาจะฝึกฝนร่างกายในยามปกติเป็นประจำ แต่เขาก็ไม่ค่อยมีโอกาสที่จะได้ต่อสู้สักเท่าไรนัก

เขาหันหน้าไปมอง ท่ามกลางหิมะที่ปกคลุมทั่วผืนฟ้า เงาร่างขนาดมหึมากำลังใกล้เข้ามา เงาอันขุ่นมัวราวกับมาจากปรโลกเก้าขุม ชวนให้ขวัญผวาและสิ้นหวัง

“สัตว์อสูรระดับเซียนพิภพ! ทุกคนจงระวังไว้ ไฟของมันสามารถเผาผลาญดวงวิญญาณได้!”

ปรมาจารย์เซียนที่ยืนอยู่บนหอคอยสูงที่อยู่ไกลออกไปตะโกนลั่น น้ำเสียงหวาดผวา

คำพูดของเขาทำให้ทหารที่อยู่บนกำแพงเมืองพลันตื่นตระหนก ส่วนผู้บำเพ็ญที่อยู่กลางเวหารีบหลบหนีกันจ้าละหวั่น ด้วยกลัวว่าจะตกเป็นเป้าหมาย

นอกจากนี้ยังมีกลิ่นอายของสัตว์อสูรที่พุ่งโจมตีด้านล่างของกำแพงเมืองไม่หยุด สัตว์อสูรเหล่านี้มีขนาดตัวไม่ใหญ่มากนัก

เป็นเวลาเกือบสามหมื่นปีแล้วนับตั้งแต่การย้อนกลับของมรรคาสวรรค์ สิ่งมีชีวิตก่อนกำเนิดฟ้าและสัตว์อสูรรุ่นแรกได้ให้กำเนิดทายาทรุ่นถัดมา ซึ่งทายาทรุ่นที่สองนี้มีคุณสมบัติที่ด้อยกว่ารุ่นแรก คุณสมบัติทางสายเลือดขัดแย้งกัน ทำให้คุณสมบัติด้อยลงไปทุกรุ่น จนกระทั่งเกิดเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะธรรมดาสามัญเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

แน่นอนว่าสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ล้วนแข็งแกร่งอย่างยิ่ง เพียงเพราะเผ่ามนุษย์นั้นแสนจะอ่อนแอ ผู้แข็งแกร่งส่วนใหญ่จึงไม่ค่อยมารุกรานเผ่ามนุษย์ หรือไม่ก็รู้ว่าเผ่ามนุษย์มีผู้อยู่เบื้องหลัง พวกที่มักจะคุกคามเผ่ามนุษย์ส่วนใหญ่มีแต่สัตว์อสูรชั้นต่ำในแดนเซียน หรือเผ่าพันธุ์ก่อนกำเนิดฟ้าทั้งหลายเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้ เผ่ามนุษย์จึงไม่อาจขยับขยายได้

โศกนาฏกรรมที่เกิดกับเมืองป้องบูรพาเช่นนี้ไม่ถือเป็นเรื่องแปลกใหม่

หานทั่วมองภาพการเข่นฆ่าเบื้องหน้า กระชับหอกเหล็กในมือแน่น และจ้วงแทงสัตว์อสูรที่ปีนป่ายกำแพงเมืองขึ้นมาอย่างไม่หยุดหย่อน

ขณะที่การสู้รบยังดำเนินต่อไป หานทั่วก็ค่อยๆ รู้สึกตัวชา

ไม่รู้ว่าสงครามครั้งนี้กินเวลาไปนานเท่าไร แต่เมื่อใดที่เขารู้สึกเหมือนกำลังจะตาย การบุกโจมตีของสัตว์อสูรก็จะล้มเหลวไปโดยบังเอิญเสียทุกครั้ง

หานทั่วรู้สึกว่าตนเองอยู่ในอาการสติหลุด การศึกที่ยาวนานทำให้เขารู้สึกทรมานเหลือจะเปรียบ บางทีในใจลึกๆ ของเขาอาจจะถวิลหาความตายอยู่ก็เป็นได้

จนกระทั่งการรบสิ้นสุดลง เจ้าเมืองก็ประกาศให้ทหารแนวหน้าสามารถกลับบ้านไปพักผ่อนได้

หานทั่วหอบร่างกายที่บาดเจ็บสะบักสะบอมกลับจวน ยามที่บ่าวรับใช้ทักทาย เขาทำได้เพียงพยักหน้าตอบกลับอย่างมึนงงเท่านั้น

เขาเดินมาถึงลานบ้านโดยไม่รู้ตัว และพบว่าบิดาของตนยังคงเหม่อมองท้องฟ้าดังเคย ราวกับรูปปั้นหิน

หานเจวี๋ยรู้สึกถึงสายตาที่จับจ้องมาที่ตน ก็ก้มศีรษะชำเลืองมองเขาหนึ่งครั้ง ก่อนจะส่งยิ้มน้อยๆ ให้

หานทั่วตกอยู่ในความงุนงงชั่วขณะ ในใจพลันรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา

ทำไมเขาต้องออกไปรบ

ก็เพื่อปกป้องครอบครัวนี้อย่างไรเล่า!

หานทั่วเดินเข้ามาคุกเข่าลงเบื้องหน้าของหานเจวี๋ย ประสานหมัดขึ้นพลางกล่าว “ท่านพ่อ! ข้ามีชีวิตกลับมาแล้วขอรับ!”

เมื่อเห็นใบหน้าที่ซาบซึ้งของเขา หานเจวี๋ยก็คลี่ยิ้มออกมา และยื่นมือไปลูบศีรษะของเขา

“ลำบากเจ้าแล้ว” หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

หานทั่วที่สะกดกั้นความทุกข์ตรมเอาไว้ไม่อยู่ ร่ำไห้ออกมาในทันที

อย่างไรเสียเขาก็ยังเป็นเด็กอยู่ดี

หานเจวี๋ยกอดเขาไว้ในอ้อมแขน ไม่ได้ปลอบประโลมลูกชาย แต่อยู่เคียงข้างอย่างเงียบเชียบ

เวลาผ่านไปเนิ่นนาน

หานทั่วเงยหน้าขึ้นถามว่า “ท่านพ่อ เหตุใดท่านจึงดูเหมือนไม่เกรงกลัวหายนะแห่งเมืองป้องบูรพาเลย”

ตั้งแต่เด็กจนโต เขาไม่เคยเห็นบิดาของตนตื่นตระหนกสักครั้ง ทั้งที่เป็นเพียงคนธรรมดาที่ไม่มีรากวิญญาณแท้ๆ เหตุใดถึงได้สงบเยือกเย็นถึงเพียงนี้

เขาถึงกับรู้สึกว่าหานเจวี๋ยนั้นดูสุขุมยิ่งกว่าปรมาจารย์เซียนที่เขาเคยพบเจอมาเสียอีก

หานเจวี๋ยตอบว่า “กลัวแล้วจะมีประโยชน์อันใด พ่อจะสามารถกวาดล้างสัตว์อสูรแทนเผ่ามนุษย์ได้หรือไม่เล่า”

หานทั่วอดมองว่าหานเจวี๋ยเป็นพวกที่ใช้ชีวิตสบายๆ ไม่ได้

“เจ้าอยากฝึกตนเป็นเซียนไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงไปเข้ากองทัพล่ะ” จู่ๆ หานเจวี๋ยก็ถามขึ้นมา

หานทั่วนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง และกล่าวว่า “ข้าอยากฝึกตนเป็นเซียนก็จริง แต่เมืองป้องบูรพาถูกโจมตี ข้าก็ต้องเข้าร่วมกองทัพสิขอรับ!”

หานเจวี๋ยเค้นถามต่อ “ในเมื่ออยากฝึกตนเป็นเซียนแล้ว เหตุใดยังต้องออกรบเพื่อเมืองนี้อีกล่ะ การฝึกบำเพ็ญคือหนทางสู่ชีวิตอมตะ เจ้าจะต้องพบเจอกับเหตุการณ์เช่นนี้อีกมากมาย หากเจ้าเที่ยวช่วยเหลือคนไปทั่ว สุดท้ายแล้วเจ้าจะรักษาชีวิตของตนไปจนถึงปลายทางได้หรือ”

หานทั่วต้องตกตะลึงอีกครั้ง เขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย

“แต่เผ่ามนุษย์ช่วยเหลือเผ่ามนุษย์ด้วยกัน ก็เป็นสิ่งที่สมควรแล้วไม่ใช่หรือขอรับ” หานทั่วถามด้วยความประหลาดใจ

“ทำไมถึงควรเป็นเช่นนั้นล่ะ”

“ข้า…”

“เจ้าอาจจะคิดว่าเจ้าเกิดมาในเผ่ามนุษย์ จึงต้องช่วยเหลือเผ่ามนุษย์ เช่นนั้นหากแผ่นดินที่เมืองป้องบูรพาตั้งอยู่เดือดร้อนขึ้นมา เจ้าก็ต้องช่วยเหลือแผ่นดินนั้นหรือ? หากในอนาคตแดนเซียนประสบภัย เจ้าก็ต้องช่วยเหลือแดนเซียนหรือ? ยิ่งไปกว่านั้นหากมรรคาสวรรค์เผชิญหายนะ เจ้าก็ต้องออกไปสู้รบเพื่อมรรคาสวรรค์ด้วยหรือ?”

หานเจวี๋ยยิงคำพูดรัวเหมือนกระสุนปืนใหญ่ ทำเอาหานทั่วพูดไม่ออก

ฟังดูแล้วมันก็สมเหตุสมผลจริงๆ หานทั่วลองคิดตามสิ่งที่หานเจวี๋ยพูด ก็รู้สึกชาวาบไปทั้งหนังศีรษะ

เหนื่อยเกินไปแล้ว!

แม้ว่าหานทั่วจะมีจิตใจดีงาม แต่เขาไม่ได้เก่งกาจถึงขั้นนั้น

หานเจวี๋ยกล่าวอย่างจริงจัง “หากเจ้ามีจิตมุ่งสู่มรรค ก็รีบจากไปโดยเร็วเถิด หายนะของเมืองป้องบูรพายังไม่สิ้นสุดลงง่ายๆ ตอนนี้เจ้ายังไม่มีความสำคัญขนาดนั้น สู้ออกไปฝึกฝนให้แข็งแกร่งเสียก่อน แล้วค่อยกลับมาปกป้องเมืองป้องบูรพาก็ยังดีเสียกว่า”

พูดจบ หานเจวี๋ยก็หลับตา และตระหนักรู้ฟ้าดินต่อ

สิ่งที่เรียกว่าการตระหนักรู้ฟ้าดินนั้น แท้จริงแล้วก็คือการสอดแนมเรื่องราวบนโลกมนุษย์

หานทั่วยืนนิ่งกับที่อยู่นาน ก่อนจะจากไปในที่สุด

ห้าปีต่อมา

หานเจวี๋ยกำลังดื่มสุราอยู่ในจวน ทันใดนั้นก็มองเห็นเงาคนกลุ่มหนึ่งเหาะอยู่กลางอากาศ

หนึ่งในนั้นคือจี้เซียนเสิน

พวกเขาลอยสูงเหนือมวลเมฆ ไม่มีใครเห็น นอกจากหานเจวี๋ย

เซียนเฒ่าที่อยู่ข้างกายของจี้เซียนเสินกล่าวว่า “เมืองนี้มีสายเลือดของตระกูลชิงหลวนอยู่ แม้ว่าจะอ่อนแอสักหน่อย แต่ก็สามารถดึงมาเป็นพวกได้ ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขากำลังทนทุกข์ทรมานจากเพลิงสงครามมานานหลายปี เป็นที่น่าเวทนานัก หากบรรพชนสวรรค์ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ พวกเขาต้องซาบซึ้งในบุญคุณอย่างแน่นอน”

จี้เซียนเสินขมวดคิ้วกล่าวว่า “คนในเมืองนี้มีคุณสมบัติต่ำต้อยเกินไป ข้าไม่ออกหน้าเองก็แล้วกัน พวกเจ้าส่งคนไปเผยแพร่คำสอนสักคนก็พอ ที่เหลือตามข้าไปยังเมืองถัดไป”

………………………………………………..

วันนี้มี10ตอนคะ@ploy