บทที่ 517 แม่สื่อ

บทที่ 517 แม่สื่อ

ขณะองค์รัชทายาทถูกกักบริเวณอย่างแสนทรมาน มันก็ทำให้ชีวิตของหลินซือสุขสบายขึ้นเป็นอย่างมาก

เหตุการณ์ในวังไม่ได้รบกวนหลินซือแต่อย่างใด ทว่าใต้หล้านั้นไม่ได้มีกำแพงกั้นขวาง ทำให้แต่ละครอบครัวได้รับรู้ข่าวสารภายในราชสำนัก ต่อให้องค์จักรพรรดิจะไม่ได้ประกาศออกมาเป็นพระราชโองการ แต่ละครอบครัวต่างก็เข้าใจดี

หลินซือเอนกายลงบนตั่งนอนอันงดงาม โดยมีไป๋หรูปิงนั่งอยู่ข้าง ๆ

เช้าของวันนี้ ไป๋หรูปิงก็ได้นำข่าวเดียวกันมาบอกกล่าว

เด็กสาวส่วนใหญ่ในเมืองหลวงต่างเติบโตในเรือนหลัง โดยปกติแล้วสิ่งที่ทำให้พวกนางมีชีวิตชีวาขึ้นมาได้ก็คือข่าวลือเหล่านี้ งานเลี้ยงอันเป็นทางการทำให้พวกนางต้องรักษามารยาท คุณธรรม การแสดงสีหน้า และคำพูด ดังนั้นจึงมีน้อยคนที่จะเอ่ยเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ได้

ดังนั้นไป๋หรูปิงที่ได้ยินข่าวนี้มาจึงมาพูดคุยเกี่ยวกับหลินซือ ถึงแม้ว่าตนจะได้ยินเรื่องมาแล้วก็ตาม แต่เด็กสาวก็คาดไม่ถึงว่าองค์รัชทายาทจะหาญกล้าได้ถึงเพียงนี้

“ตอนนี้องค์รัชทายาทต้องหยุดเคลื่อนไหวไปช่วงระยะหนึ่ง”

หลินซือเองก็คิดเรื่องเดียวกันในทันทีที่นางเอ่ยประโยคแรกออกมา เด็กสาวรู้สึกประหลาดใจจนขบขันออกมาน้อยๆ “องค์รัชทายาทผู้นี้ออกวังมาโดยไม่มีผู้ติดตามหรือ?”

แม้แต่เจ้านายหนุ่มของตระกูลใหญ่โตเวลาออกไปไหนยังจำเป็นต้องมีคนติดตามถึงสามสี่คน หากมีคนมาลักพาตัวไป หรือเหตุร้ายใด ๆ ก็ตามแต่ ก็คงกล่าวได้ว่าทั้งชีวิตต้องพังทลายลงเป็นแน่

“หรือไม่จริง? ได้ยินมาว่าองค์จักรพรรดิกริ้วเป็นอย่างมาก แม้กระทั่งสวีกุ้ยเฟยยังโดนตำหนิ”

ไป๋หรูปิงถอนหายใจครู่หนึ่ง “สวีกุ้ยเฟยผู้นี้ คราก่อนก็ถูกตำหนิเนื่องจากองค์รัชทายาททำองค์หญิงเกือบสิ้นพระชนม์ ครานี้ก็ถูกตำหนิเพราะองค์รัชทายาทอีก”

แววตาของหลินซือเปี่ยมไปด้วยสัญญาณเตือน เด็กสาวลูบบ่าของไป๋หรูปิง “ระวังปากหน่อย อย่าพูดให้ฝ่าบาทได้ยิน ถ้าเกิดพระองค์ได้ยินเข้าจะไม่เป็นผลดีกับพวกเรา”

สำหรับเรื่องเช่นนี้แล้วหลินซือไม่ได้ไร้เดียงสา

“ก็เพราะว่าเจ้าอยู่ที่นี่ ข้าเลยพูดคุยกับเจ้าอย่างไรเล่า ไม่เช่นนั้นผู้ใดจะกล้าเอ่ยขึ้น” ไป๋หรูปิงโบกมืออย่างช่วยไม่ได้

นางไม่ได้เขลา ไม่เช่นนั้นคงจะไม่มาพูดถึงที่นี่

“แต่ข้าก็มีเรื่องจะบอกอีกนะ ว่าท้ายที่สุดแล้วองค์รัชทายาทไปที่ไหน” ไป๋หรูปิงยังคงเล่าอย่างกระตือรือร้นต่อไป

หลินซือขมวดคิ้วจ้องมองไป๋หรูปิง และยิ้มขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ “ถ้าท่านไม่มีเรื่องแล้วจะมาหาข้าเพื่ออะไรกัน?”

หากว่าองค์รัชทายาทอยู่ที่ตระกูลหลินจริง ๆ ก็คงจะไม่ถูกลงโทษในวัง

เมื่อผู้ใหญ่ในบ้านทราบเรื่องเช่นนี้แล้วก็ต้องแจ้งให้ทางราชสำนักทราบ แต่กว่าในวังจะเริ่มค้นหาองค์รัชทายาทก็เป็นวันรุ่งขึ้นแล้ว นั่นแสดงว่าในค่ำของคืนก่อนไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าองค์รัชทายาทนั้นไม่ได้อยู่ในวัง

“อยู่ที่บ้านของพวกเรานั้นนับว่าดีนัก” หลินซือถอนหายใจ “อย่างน้อยข้าก็ยังได้พบกับซานเป่า”

เซี่ยเซินก็ถูกเลี้ยงดูข้างกายของเซี่ยเซียนมาโดยตลอด แต่ด้วยเป็นคนมีสองครอบครัว จึงต้องไป ๆ มา ๆ บ่อยครั้ง

หลินซือเองก็เป็นห่วงน้องชายของตนเสมอ แต่เรื่องนี้ก็ไม่ใช่ความลับอะไร

ไป๋หรูปิงเองก็รู้เกี่ยวกับเหตุการณ์เช่นนี้บ้าง “ไม่รู้เพราะเหตุใดเมื่อวานองค์รัชทายาทจึงไม่พาพระสหายมาด้วย ได้ยินมาว่าปีนี้ในวังจะหาสหายให้กับองค์รัชทายาท และจะให้องค์หญิงเริ่มเข้าเรียนแล้ว”

จู่ ๆ หลินซือก็นึกถึงคนสองคนที่กำลังถกเถียงกันต่อหน้าผู้คน “องค์หญิงและองค์รัชทายาทมารวมกันจะไม่ทะเลาะกันหรือ”

เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้กล่าวได้ว่าไม่ใช่แค่ผู้คนในวังเท่านั้นที่ตื่นตกใจ ถึงดูแล้วจะเป็นแค่เด็กสองคน ทว่าผู้คนที่ได้รับรู้เหตุการณ์เช่นนี้ก็ใช่ว่าจะเห็นดีเห็นงามด้วย “ไฉนเจ้าไม่ไปลองดูเล่า?”

ไป๋หรูปิงมองดูหลินซือด้วยแววตาล้อเลียน “ตอนนี้ทั่วทั้งเมืองหลวงมีใครไม่รู้บ้างว่าองค์รัชทายาทคิดเช่นไรกับหลินซือ?”

กล่าวเสร็จไป๋หรูปิงก็หัวเราะและวิ่งหนีไป เมื่อหลินซือฉุกคิดได้จึงไล่ตามทันที “พี่ไป๋ ท่านบอกข้าว่าท่านเป็นผู้ดี ตอนนี้ท่านล้อเลียนข้าแล้วหรือ!”

จริง ๆ แล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนอย่างมาก หลินซือก็เข้าสู่วัยที่พร้อมจะแต่งงานแล้ว ไม่ใช่เรื่องดีที่จะเป็นที่ข่าวลือในตอนนี้ และหลินซือก็มีอายุมากกว่าองค์รัชทายาทถึงเจ็ดปี

เรื่องนี้โดยปกติแล้วแสดงให้เห็นว่าหลินซือย่อมไม่อาจเป็นพระชายาขององค์รัชทายาทได้

ผนวกกับองค์รัชทายาทที่ยังเยาว์วัย จึงมีคนไม่มากนักที่จะคิดจริงจังกับเรื่องนี้ ต่างก็ล้วนคิดว่าเขาเพียงชอบนิสัยของหลินซือ ไม่ได้หมายความว่าเขาต้องการแต่งงานกับนาง จึงพูดออกมาเป็นเรื่องขบขัน และในท้ายที่สุดก็เป็นการหยอกล้อกันแบบเด็ก ๆ

เมื่อมองดูเรื่องนี้แล้วก็เป็นเรื่องน่าขบขันทีเดียว แต่เพราะเรื่องน่าขบขันเช่นนี้จึงมีเพียงไม่กี่คนที่เชื่อว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง

ครั้งนี้ยังมีข่าวออกจากราชสำนักว่าจะหาสหายให้องค์รัชทายาทและองค์หญิง เรื่องนี้นับว่าลึกซึ้งยิ่งนัก

ผู้คนมากมายถึงกับไม่ทันได้เตรียมตัวในเรื่องนี้ โดยเฉพาะครอบครัวที่มีเด็กหญิงอายุรุ่นราวคราวเดียวกับองค์รัชทายาท

“คนพวกนี้เอาจริงเอาจังเกินไปแล้ว องค์รัชทายาทยังเหลือเวลาอีกสิบกว่าปีกว่าพระองค์จะโตเป็นหนุ่ม เป็นไปได้อย่างไรกันที่จะเลือกเร็วเพียงนี้”

หลินซือคิดถึงเรื่องพวกนี้ก็รู้สึกขบขัน “ยังดีที่บ้านของข้าไม่มีเด็กหญิงที่อายุเท่ากับองค์รัชทายาท ไม่เช่นนั้นไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะยืดยาวไปอีกนานเท่าไร”

“เจ้าไม่เคยได้ยินประโยคว่า ‘หลางขี่ม้าไม้ไผ่ไปรอบเตียงเพื่อคว้าลูกเหมยเขียว’ หรือ? ผู้คนกำลังเดิมพันกับมิตรภาพเด็กทั้งสอง มิตรภาพของเพื่อนเล่นแต่วัยเยาว์”

เห็นชัดว่าไป๋หรูปิงเหยียดหยามเรื่องพวกนี้อยู่เล็กน้อย

“รู้ว่าต้องการที่จะเลือกสหาย แต่ไม่รู้ว่าจะเป็นการขายลูกสาวกระมัง” หลินซือเองก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ช่างน่าขบขัน เนื่องจากท่านพ่อและท่านแม่ของตนรักกันดีมาโดยตลอด ในบ้านเองก็ไม่มีเรื่องภรรยาน้อยอะไร หลินซือจึงไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องในบ้านพวกนั้น

เรื่องเช่นนี้คงมิอาจพูดได้ว่ามองเห็นชัดเจนจากภายนอก มันเป็นสิ่งที่ต้องซึบซับ ได้รู้ได้เห็นมาแต่เด็ก

หลินซือถามตัวเอง เพราะตนไม่มีทักษะในเรื่องนี้ นางจึงไม่อาจเข้าใจเรื่องราวอันเลี้ยวลดเหล่านี้

“ก็ไม่รู้เช่นกันว่าผู้เป็นมารดาจะคิดเช่นไร จะให้เด็กเล็กเช่นนั้นเข้าวังได้อย่างไร” ไป๋หรูปิงมองดูสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ข้างหน้าตนเอง

ในวังมีกฎเกณฑ์มากมาย ถึงแม้สหายเหล่านี้จะไม่ได้เข้าไปในตำหนักใน แต่การเรียนของชนชั้นสูงก็ใช่ว่าจะเข้าไปได้ง่าย ๆ การศึกษาของพวกเขาก็เข้มข้น เด็กโตบางคนยังไม่อาจทนรับได้ ไม่ต้องเอ่ยถึงเด็กที่มีอายุเพียงแปดปี

“ช่างเถอะ ไม่พูดเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้แล้ว เรื่องของบิดามารดา พวกเราคิดไม่ออกหรอก”

หลินซือมองดูไป๋หรูปิง เด็กสาวมีรอยยิ้มชั่วร้ายผุดขึ้นบนใบหน้า “ไม่รู้ว่าเหตุใดเมื่อคืนที่ข้ากำลังคุยกับผู้อื่น พอหันกลับมาก็ไม่พบคนบางคนแล้วเล่า?”

ไป๋หรูปิงโดนหลินซือหยอกล้อจนหน้าแดง ยังไม่ทันรอให้นางกล่าวอะไรออกมา ก็เห็นสาวใช้เข้ามาด้วยท่าทีที่มีความสุข “คุณหนูเจ้าคะ รีบจัดการตัวเองเร็วเข้าเจ้าค่ะ วันนี้ฮูหยินเชิญแม่สื่อมา บอกว่าจะให้คุณชายดูตัวเจ้าค่ะ”

……………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เบื้องหน้าบอกว่าหาพระสหายให้องค์รัชทายาทกับองค์หญิง แต่เบื้องหลังคือตั้งใจจับคู่สินะ อืมๆ

แม่สื่อที่ไหนมาล่ะเนี่ย ไป๋หรูปิงจะอกหักไหม

ไหหม่า(海馬)