บทที่ 514 เติบโตไปด้วยกัน

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 514 เติบโตไปด้วยกัน

บทที่ 514 เติบโตไปด้วยกัน

เมื่อกู้หนิงผิงเห็นกู้เสี่ยวหวานพูดเช่นนี้ก็รู้ตัวว่าเมื่อครู่พูดอะไรผิดไป จึงรีบพูดว่า “ใช่แล้ว ใช่แล้ว อาจารย์ ข้าขอโทษ เมื่อครู่ข้าพูดผิดไป อย่าใส่ใจไปเลย ท่านพี่ ข้าขอโทษ”

ฉินเย่จือโบกมือและพูดว่า “ไม่เป็นไร ข้ารู้เช่นกันว่าเจ้ามีเจตนาดี และรู้ว่าเสี่ยวหวานไปซื้อยาและผลไม้แช่อิ่มมาให้ข้าด้วยตัวเอง ในใจของข้านั้นหวานกว่ากินอะไรทั้งนั้น!” แสงพราวแวววับในดวงตาของฉินเย่จือ

อาจเป็นเพราะได้เห็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มของฉินเย่จือ กู้หนิงผิงจึงรู้สึกพึงพอใจมาก “อาจารย์ ท่าทางของท่านตอนนี้ดีมาก โดยเฉพาะเมื่อเห็นพี่สาว ท่านก็จะมีท่าทีสดใส แต่เมื่อเห็นคนอื่น ๆ อาจารย์มักจะเย็นชา แม้แต่ข้าก็ยังกลัว แต่ถึงอย่านั้นข้าก็ชอบที่อาจารย์แบบนี้ จะเป็นการดีที่เมื่อเผชิญกับสมาชิกในครอบครัวจะจริงใจต่อกัน แต่เมื่อเผชิญหน้ากับคนอื่น ก็ช่างพวกเขาไปเสีย”

ไม่รู้ว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้นกับเด็กคนนี้ แต่เขามักจะล้อตนเองและฉินเย่จือ

กู้เสี่ยวหวานตบไหล่ของกู้หนิงผิงแล้วพูดว่า “เลิกล้ออาจารย์ของเจ้ากับข้าได้แล้ว วัวของเราวิ่งมาหนึ่งวันแล้ว เจ้ารีบพาวัวไปกินหญ้าที่แม่น้ำเถอะ ให้มันได้พักผ่อนด้วย”

“ได้ ท่านพี่ อาจารย์ เช่นนั้นข้าไปก่อน พักผ่อนให้เต็มที่” กู้หนิงผิงกระโดดออกจากบ้านด้วยรอยยิ้ม ปลดเชือกและพาวัวไปที่แม่น้ำ

กู้เสี่ยวหวานมองไปที่แผ่นหลังที่มีชีวิตชีวาของกู้หนิงผิงและถอนหายใจ “เด็กคนนี้ ยิ่งโตปากยิ่งไม่สามารถปิดได้”

ฉินเย่จือปิดปากและหัวเราะ “เป็นคนในครอบครัวเดียวกันนะ คิดอะไรก็พูดเถอะ!”

กู้หนิงผิงและกู้หนิงอันมีนิสัยแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

คราวนี้ หลังจากที่อ่านหนังสือและฝึกศิลปะการต่อสู้ นิสัยของเขาแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

นิสัยของกู้หนิงอันเริ่มสงบขึ้นเรื่อย ๆ เขาไม่ค่อยพูด และมักจะสวมเสื้อผ้าเรียบร้อย

แต่กู้หนิงผิงต่างออกไป ตอนนี้เขามีทักษะศิลปะการต่อสู้ ท่าทางราวกับลิงโลดที่กระโดดขึ้นลงอย่างมีชีวิตชีวามาก

“คงจะดีถ้านิสัยของเด็กสองคนนี้ดีขึ้นอีกหน่อย หนิงอันน่าจะไร้เดียงสาและมีชีวิตชีวามากกว่านี้อีกหน่อย เขาเป็นเด็กอายุแปดขวบเท่านั้น ส่วนหนิงผิงก็ควรสงบนิ่งเหมือนหนิงอันสักหน่อย ทำเรื่องอะไรก็ไม่ควรมุทะลุ ข้ากลัวอารมณ์ที่ไม่อดทนของเขาจริง ๆ และตอนนี้เขาได้เรียนรู้ศิลปะการต่อสู้แล้ว ข้ากลัวว่าเขาจะสร้างปัญหาในอนาคต!”

“อย่ากังวลไปเลย หนิงผิงเป็นเด็กที่มีความพอดี เขารู้อยู่แก่ใจว่าควรและไม่ควรทำอะไร! เด็กคนนี้มีความคิดที่ชัดเจน! และหนิงอันก็เป็นลูกชายคนโตของครอบครัวกู้ เขาก็ต้องสงบนิ่งอยู่แล้ว ความเจริญรุ่งเรืองหรือความเสื่อมโทรมของครอบครัวกู้ขึ้นอยู่กับเขา แค่ต้องสนับสนุนเขาก็พอ และเจ้าก็รู้สึกสบายใจได้!”

กู้เสี่ยวหวานพยักหน้า เหตุผลนี้นางรู้ดี แต่นางไม่ต้องการให้ชีวิตที่สงบของกู้หนิงอันน่าเบื่อเกินไป

ในครอบครัวนี้ยังมีกู้เสี่ยวหวานอยู่!

“นั่งเกวียนมานานแล้ว คงจะหิวแล้วสินะ อาหารในร้านข้าพร้อมแล้ว อยู่ในหม้อร้อน แค่รอให้พวกเจ้ากลับมากินด้วยกัน!” ฉินเย่จือเปลี่ยนหัวข้อ

สิ่งที่เขายังพูดไม่จบคือ ในวันหนึ่งที่กู้เสี่ยวหวานแต่งงานออกไป เป็นธรรมดาที่ทิศทางของครอบครัวกู้นั้นจะขึ้นอยู่กับกู้หนิงอัน เพียงต้องสนับสนุนเขา

กู้เสี่ยวหวานเงยหน้าขึ้นและมองไปที่ฉินเย่จืออย่างเห็นด้วย “โอ้ ไม่เลวนี่ เจ้าก็รู้วิธีทำอาหารด้วย!”

“นั่นเป็นเรื่องปกติ!” ฉินเย่จือกล่าวอย่างมีชัย “ข้าติดตามเจ้ามาเป็นเวลานานแล้ว และข้าจะเรียนรู้สิ่งที่ควรเรียนรู้และสิ่งที่ไม่ควรเรียนรู้”

หลังจากที่กู้เสี่ยวหวานได้ยิน นางก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง สิ่งที่เขาไม่ควรเรียนรู้!

ดูเหมือนเขาจะไม่รู้อะไรเลยที่ไม่ควรเรียนรู้!

เมื่อเห็นท่าทางสงสัยของกู้เสี่ยวหวาน ฉินเย่จือยิ้มและพูดว่า “เจ้าว่าอย่างไร?” เขามองกู้เสี่ยวหวานอย่างเอาใจ แล้วเดินตรงไปที่ห้องครัวโดยไม่รอให้กู้เสี่ยวหวานพูดอะไร

กู้เสี่ยวหวานตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แต่จำไม่ได้ว่าสอนอะไรที่ฉินเย่จือไม่เคยรู้มาก่อน

ฉินเย่จือเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานยังคงอยู่ที่เดิมและคิดหนัก แสงในดวงตาของฉินเย่จือก็ส่องประกายราวกับดวงดาวบนท้องฟ้า

ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนที่ลูกแมวตัวนี้จะนึกออก แต่ไม่เป็นไร การได้เห็นคนผู้นี้เติบโตขึ้น นั่นก็เป็นรสชาติชีวิตที่ดีเช่นกัน

นี่คือสิ่งที่คนทั่วไปพูด เติบโตไปด้วยกัน?

ฉินเย่จือหยุดชั่วคราวเมื่อเขายกฝาหม้อ ทันใดนั้นก็จำคำว่า “โตไปด้วยกัน” รอยยิ้มที่มุมปากของเขาไม่สามารถกลั้นได้อีกต่อไป

ดวงตาเรียวยาวที่ดูดีคู่นั้นกลายเป็นเส้นตรง

ถ้ากู้เสี่ยวหวานเข้ามาในเวลานี้ นางจะพบว่ารอยยิ้มบนใบหน้าของฉินเย่จือสดใสราวกับท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่เมฆ

เสี่ยวหวานพาฉินเย่จือไปที่ภูเขาอีกครั้ง นางไม่ได้กินปลามาหลายวันแล้ว และกู้เสี่ยวหวานก็โลภเล็กน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเด็กเหล่านี้เอาแต่พูดถึงการกินไข่ปลาผัดน้ำแดงตลอดทั้งวัน กู้เสี่ยวหวานไม่มีทางเลือกนอกจากขึ้นไปที่ภูเขาอีกครั้ง คราวนี้เมื่อขึ้นไปบนภูเขา กู้เสี่ยวหวานก็ตื่นตระหนก

และคราวนี้เองที่กู้เสี่ยวหวานยิ่งมีความเชื่อที่แรงกล้าว่า ตราบใดที่ฉินเย่จือไม่ทิ้งพวกนาง กู้เสี่ยวหวานก็จะไม่ทิ้งฉินเย่จือ ไม่ว่าในอนาคตจะจนหรือรวยก็ตาม

ไม่ว่าฉินเย่จือจะมีภรรยาหรือมีลูก ตราบใดที่เขาไม่จากไป กู้เสี่ยวหวานก็จะปฏิบัติต่อฉินเย่จือในฐานะส่วนหนึ่งของครอบครัวกู้และเป็นพี่ชายของพวกเขาเสมอ

กู้เสี่ยวหวานทานอาหารกลางวันและพักผ่อนสักครู่ เมื่อเห็นว่าท้องฟ้าแจ่มใส นางจึงตามฉินเย่จือไปในภูเขาอีกครั้ง

กู้เสี่ยวหวานเคยคิดว่าการกลับขึ้นไปบนภูเขาในครั้งนี้ นางคุ้นเคยกับถนนหนทางและหลับตาเดินยังได้ การเดินทางครั้งนี้จะใช้เวลาครึ่งชั่วยาม อีกครึ่งชั่วยามสำหรับการตกปลา ไปกลับเพียงชั่วยามกว่า ๆ ก็เพียงพอ

อย่างไรก็ตาม คนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิต*[1] การเข้าไปในป่าของกู้เสี่ยวหวานในเวลานี้ ทั้งสองต้องประสบกับพายุฝนที่โหมกระหน่ำและฝูงหมาป่าก่อนที่พวกเขาลงมาจากภูเขา

ตอนที่พวกเขามาถึงสระน้ำลึก กู้เสี่ยวหวานและฉินเย่จือกำลังจับปลา ทันใดนั้น พระอาทิตย์ที่เมื่อครู่ดูปกติดี ตอนนี้กลับถูกเมฆมืดครึ้มปกคลุมในทันใด ในหุบเขามีลมพัดแรง ต้นไม้ต่างก็โดนลมพัดจนส่งเสียงกรอบแกรบดังไปทั่วหุบเขา

ฉินเย่จือมองอย่างตื่นตัวและร้องออกมาทันที “เสี่ยวหวาน รีบไปเถอะ เกรงว่าฝนจะตกหนัก”

ทันใดนั้น สายลมแรงพัดโหมกระหน่ำ กู้เสี่ยวหวานยืนโซเซและกำลังจะตกลงไปในสระลึก

สายตาของฉินเย่จือว่องไว เขารุดขึ้นหน้ากอดกู้เสี่ยวหวานและดึงนางกลับมา

ลมเมื่อครู่น่ากลัวมากจริง ๆ

*[1] วางแผนอย่างไรก็สู้โชคชะตากำหนดไว้ไม่ได้