บทที่ 519 ความรู้สึก
บทที่ 519 ความรู้สึก
กว่าไป๋หรูปิงจะวิ่งตามหลินซือทัน อีกฝ่ายก็เข้าไปในเรือนหลักแล้ว ไป๋หรูปิงดึงแขนเสื้อของเด็กสาวและถอนหายใจ
เห็นได้ชัดว่าไป๋หรูปิงไม่ได้เดินไปไหนมาไหนบ่อย ๆ เฉกเช่นหลินซือ “ไม่คิดว่าเจ้าจะเดินได้เร็วถึงเพียงนี้!”
“พี่ไป๋ ปกติแล้วท่านไม่ได้เดินบ่อย ๆ เหมือนกับข้า” ในขณะที่หลินซือเอ่ยขึ้นมานั้น ดูราวกับว่านางจะหายใจไม่ทันอยู่ขณะหนึ่ง
ทั้งสองต่างมองท่าทางของกันและกัน ก่อนจะหัวเราะออกมา “ผู้คนมักบอกว่าแม่เฒ่าหวังขายแตง ขายเองชมเอง พวกเราสองคนมาชื่นชมกันเองอะไรเช่นนี้”
ทั้งสองหยุดพักหายใจสักครู่หนึ่ง สีหน้าก็กลับมาเป็นปกติ เมื่อสักครู่ทั้งคู่เดินอย่างเร่งรีบจึงพบว่าตอนนี้ผมเผ้ายุ่งเหยิง หลังจากที่ทั้งสองจัดทรงผมให้กันและกันเสร็จ ทั้งสองก็จับมือเดินเข้าไปในห้องด้วยกัน
เห็นได้ชัดว่าสาวใช้ที่อยู่ข้าง ๆ ได้มาแจ้งข่าวแล้ว หลังจากที่หลินซือและไป๋หรูปิงเข้าไปในห้องก็พบว่าเหยาซูนั่งอยู่ตรงที่นั่งของเจ้าบ้าน
ยามที่เหยาซูอยู่บ้าน หญิงสาวจะไม่สนใจการแต่งกายเท่าไรนัก ดังคำกล่าวของนางที่ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดเวลาอยู่บ้านนั้นคือการสวมใส่เสื้อผ้าที่คล่องตัว ดังนั้นเวลาอยู่บ้านนางจึงสวมใส่เสื้อผ้าที่เรียบง่าย
แต่วันนี้นางไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้าเหมือนปกติที่หญิงสาวใส่ แต่กลับสวมใส่เสื้อผ้าที่จริงจังเป็นทางการ
เหยาซูสวมชุดหม่าเมี่ยน[1] สีเขียว และสวมเตี่ยนชุ่ย[2] ไว้บนศีรษะ การสวมเสื้อผ้าตัวใหญ่หลวมโพรกเช่นนี้ไม่ได้ทำให้นางดูมีอายุเลยแม้แต่น้อย กลับขับผิวของหญิงสาวให้ดูนุ่มนวลขึ้น ริมฝีปากที่ไม่ได้รับการแต่งแต้มดูแดงเรื่อ ทำให้ขณะที่นั่งอยู่นางดูสง่างามเป็นอย่างมาก
เมื่อเหยาซูในรูปลักษณ์เช่นนี้เห็นเด็กสาวทั้งสองคน นางจึงยิ้มขึ้น “เอ้อเป่ามาแล้ว”
หลินซือที่เดิมทีอารมณ์ฉุนเฉียวเมื่อเห็นฉากนี้เข้าก็ตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก การตัดสินใจเด็ดเดี่ยวของนาง เมื่อประสบเหตุการณ์นี้แล้ว กลับทำให้นางรู้สึกเขินอายเป็นอย่างมาก
“ท่านแม่เจ้าคะ ท่านจะทำอะไร” เห็นได้ชัดว่าหลินซือไม่เข้าใจสถานการณ์ของวันนี้ แต่เมื่อเห็นเหยาซูในสภาพนี้ เด็กหญิงจึงกล่าวอะไรไม่ออก “ไม่ใช่ว่าวันนี้พวกเราจะไป…”
คำพูดของหลินซือค่อย ๆ หายไปภายใต้สายตาของเหยาซูที่มองมา และในท้ายที่สุดนางก็ปิดปากเงียบลง
“บุตรีตระกูลไป๋เองก็มาแล้ว” เหยาซูเอ่ยทักทายไป๋หรูปิงที่สีหน้าเต็มไปด้วยความสับสน แม้ว่าเด็กสาวจะพยายามควบคุมอารมณ์ของตนเอาไว้แล้ว แต่ก็ยังสามารถมองเห็นบางสิ่งเมื่อมองดูอย่างละเอียด
“ท่านป้า” ไป๋หรูปิงคำนับทักทาย เห็นได้ชัดนางยังคงสับสน
ยังไม่ทันรอให้เหยาซูเอ่ยอะไร สาวใช้ก็เขามากระซิบบอกเหยาซูจากด้านข้าง “ฮูหยิน นายน้อยมาแล้วเจ้าค่ะ”
“พวกเจ้าทั้งสองไปที่ห้องเล็กก่อน” เหยาซูมองหลินซือและไป๋หรูปิง ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังงุนงง ก็ถูกสาวใช้ของเหยาซูพาไปห้องข้าง ๆ
ยังไม่ทันจะรอให้ทั้งสองคนนั่งลง สักพักก็พบว่าหลินจื้อก็พรวดเข้ามา “ท่านแม่ ท่านกำลังทำอะไร?”
“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?” เหยาซูขมวดคิ้วมองดูหลินจื้อที่มีท่าทีร้อนรน “เช้าเช่นนี้เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ”
หลินจื้อเห็นว่าเหยาซูไม่ได้แต่งกายอย่างเช่นทุกวัน “ท่านแม่ เหตุใดวันนี้ท่านจึงใส่ชุดสวยงามเช่นนี้เล่าขอรับ”
เหยาซูสบตากับหลินจื้อ “โตขนาดนี้แล้ว ยังจะพูดจาไม่รู้ความอยู่อีก เจ้าเองก็โตแล้ว ในตอนที่บิดาเจ้าอายุเท่าเจ้าก็แต่งงานแล้ว แต่เพียงเรื่องแต่งงานเจ้าเองก็ยังไม่คิดเลย ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไปหญิงสาวดี ๆ ก็โดนเลือกไปเสียหมด”
“ท่านแม่ ข้าไม่ได้รีบร้อน…”
เห็นได้ชัดว่าเหยาซูไม่ต้องการจะฟังข้ออ้างของหลินจื้อ “เจ้าไม่รีบร้อนแล้วจะได้ประโยชน์อันใด? เจ้าเองก็โตแล้วแต่ยังไม่แต่งงานแล้วจะเป็นเช่นไร? เจ้าดูคนรอบตัวที่อายุพอ ๆ กับเจ้าสิ มีที่ไหนที่ยังไม่แต่งงานบ้าง”
เห็นได้ชัดเจนว่าเหยาซูมีความเด็ดเดี่ยวต่อเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ว่าพลางหญิงสาวก็เอาสมุดรายชื่อด้านหน้าส่งให้หลินจื้อ “เจ้าดูก่อนสิ นี่ข้าไปถามแม่สื่อมา หากในนี้มีคนที่เจ้าชอบพอก็บอกแม่มา แม่จะได้ช่วยเจ้าดูให้”
ถึงแม้ว่านางจะไม่ได้รีบเร่ง แต่นางเห็นว่าเด็กสาวตระกูลไป๋ก็โตแล้ว ลูกชายบ้านตนเองยังไม่ลงมือทำอะไร ใจของนางเองจึงเป็นกังวลอยู่ไม่น้อย
หลินจื้อไม่คิดว่าเหยาซูได้รวบรวมรายชื่อไว้แล้ว เด็กหนุ่มเองก็มีความกังวลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ไม่กล้าไม่เชื่อฟังมารดา ดังนั้นเขาจึงต้องเปิดดูรายชื่อ
เหยาซูมองดูท่าทางของหลินจื้อ พลันรู้สึกขบขันอยู่ภายในใจแต่กลับไม่ได้แสดงสีหน้าใด ๆ ออกมา “เจ้าเลือกก่อนเถอะ ข้ามองว่าในนั้นมีเด็กสาวที่โดดเด่นอยู่ไม่กี่บ้าน เจ้าดูสิ…”
“ท่านแม่ ก่อนหน้านี้ท่านไม่ได้บอกว่าเรื่องของความรู้สึกให้เป็นไปตามธรรมชาติหรือขอรับ เหตุใดตอนนี้จึงได้รีบร้อนเช่นนี้?”
หลินจื้อพลิกดูสมุดรายชื่ออย่างไม่ใส่ใจ แต่เมื่อได้ยินเหยาซูเอ่ยเช่นนี้ เด็กหนุ่มจึงได้ถามออกไป
ท่าทีที่เปลี่ยนไปกะทันหันของเหยาซูเป็นสิ่งที่หลินจื้อเองก็ไม่เข้าใจ
เมื่อวานเด็กหนุ่มได้ยินน้องสาวของตนพูดว่าวันนี้จะไปจวนตระกูลไป๋ แต่ไม่รู้เหตุใดจึงเปลี่ยนเป็นเรื่องการแต่งงานของตน ตอนนี้เขาจึงอับจนหนทาง
“เด็กหนุ่มอย่างเจ้ามัวทำตัวกระมิดกระเมี้ยนอยู่ได้ ดูสิตอนนี้เป็นอย่างไร” เหยาซูมองดูอาจื้อที่เปิดสมุดรายชื่อราวกับว่ากำลังดูอะไรบางอย่าง แต่เหยาซูก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา หญิงสาวเพียงแค่ให้หลินจื้อรีบเร่งไป
“ถึงเจ้าจะไม่อยากแต่งงานอย่างไร แต่ก็ต้องคำนึงถึงเอ้อเป่า จะให้น้องสาวแต่งงานก่อนพี่ชายได้อย่างไร?”
เห็นได้ชัดว่าเหยาซูได้มองเรื่องนี้ไว้เช่นนี้
หลินซือที่กำลังฟังบทสนทนาของทั้งสองจากด้านในก็อดปวดหัวไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าสำหรับเรื่องนี้ต่อให้ต้องพ่ายแพ้ นางก็จะไม่ยอมเลิกรา แต่ในขณะเดียวกัน นางก็เข้าใจแล้วว่ามารดาของตนนั้นต้องการทำสิ่งใด
เดิมทีหลินซือต้องการจะบอกไป๋หรูปิง แต่เด็กสาวไม่ได้คาดคิดว่าไป๋หรูปิงจะถูกดึงดูดโดยชายที่อยู่ตรงหน้าเพียงนี้ นางจ้องมองเหตุการณ์ตรงหน้าตาไม่กะพริบ จึงไม่เห็นการกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ ของหลินซือ
เนื่องจากหลินจื้อมีวาทศิลป์ดีเลิศและท่าทีที่มั่นคงในราชสำนัก ในสำนักฮั่นหลินเองก็มีผู้คนไม่มากที่จะต่อกรกับเด็กหนุ่มได้ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเหยาซู ทักษะของเด็กหนุ่มกลับดูไม่เพียงพอเสียอย่างนั้น
เวลานี้เด็กหนุ่มรู้สึกอับจนหนทาง ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี
“ท่านแม่…”
เหยาซูจ้องมองหลินจื้อด้วยความละอายใจ นางมองเรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าขบขันแต่กลับทำอะไรไม่ได้ ถ้าหากว่าลูกชายของตนกล่าวอย่างกระจ่างกว่านี้อีกหน่อยก็คงจะไม่เป็นเช่นนี้ แต่เหยาซูยังคงแน่นิ่ง “รายนามเด็กสาวในเมืองหลวงล้วนว อยู่ในนั้น มันไม่เพียงพอจะให้ลูกเลือกหรือ?”
“ไม่พอขอรับ ยังขาดไปหนึ่งคน” ไม่รอให้เหยาซูกล่าวจบ หลินจื้อก็รีบเอ่ยขึ้น
เมื่อหลินจื้อตระหนักได้ถึงสิ่งที่ตนพูดออกไปมันก็สายไปแล้ว แต่เขาก็ยังกัดฟันอธิบายจนจบ “ข้าหมายความว่าข้ามีคนในใจแล้ว”
เมื่อรู้ว่าตนเองไม่สามารถปิดบังได้ต่อไป หลินจื้อจึงทำได้แต่เพียงเอ่ยต่อไป แต่เมื่อประโยคนี้ได้ถูกเอ่ยออกไป จิตใจของหลินจื้อก็สงบลง “ลูกชอบแม่นางไป๋มานานแล้วขอรับ”
…………………………………………………………………………………………………..
[1] 马面 หม่าเมี่ยน เป็นเครื่องแต่งกายจีนโบราณประเภทกระโปรง จับจีบ ตัดเย็บด้วยผ้ามันวาว สวมโดยการพันรอบเอว ต่างจากกระโปรงทั่วไปคือกระโปรงหม่าเมี่ยนมีผ้าผืนหลักที่ไม่จีบปิดทั้งด้านหน้าและด้านหลังกระโปรง ผ้าหลักผืนดังกล่าวอาจปักลายสวยงามให้เห็นเด่นชัดหรือจะเป็นลายเดียวกับรอบๆ ชายกระโปรงก็ได้ ทั่วไปแล้วกระโปรงชนิดนี้มักสวมใส่กับเสื้อที่เรียกว่า อ่าว (袄) รวมเรียกว่า อ่าวฉวิน (袄裙)
[2] 点翠 เตี่ยนชุ่ย คือการใช้ขนนกกระเต็นสีฟ้าสดตัดเป็นชิ้นๆ ประดับลงบนโครงโลหะ ทำเครื่องประดับจำพวกปิ่น หวีสับ ศิราภรณ์กะบังกระจังมงกุฎทั้งหลาย ชนิดของขนที่เอามาใช้ยังแบ่งเป็นสองแบบคือ ‘อิ้งชุ่ย’ หรือขนปีกขนหางที่เป็นชิ้นใหญ่ กับ ‘หร่วนชุ่ย’ หรือขนส่วนเล็ก ๆ เทคนิคการใช้ขนนกกระเต็นประดับนี้นำไปสร้างสรรค์เป็นงานฝีมืออื่นได้อีกหลายชนิด เช่น พัด ฉากกั้นห้อง บังตา
สารจากผู้แปล
เป็นแผนของอาซูนี่เอง ไม่ใช้แผนนี้ก็คงไม่ทำให้ลูกชายปากหนักพูดได้ว่าชอบใครอยู่
ไหหม่า(海馬)