บทที่ 521 ระดับเทพห้าพันคน เทพมารอนธการตนที่สอง

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 521 ระดับเทพห้าพันคน เทพมารอนธการตนที่สอง

เจ็ดสิบล้านล้านปี!

แปดสิบล้านล้านปี!

การสาปแช่งช่างผลาญอายุขัยเกินไปแล้วจริงๆ ใช้ระบบวิวัฒนาการก็ยังเสียอายุขัยไม่ถึงหลักล้านล้านปีเลย

การสังหารศัตรูกับการสืบข่าวเป็นคนละเรื่องกันเลยจริงๆ!

หานเจวี๋ยกัดฟันยืนหยัดไว้

รออายุขัยถึงหนึ่งร้อยล้านล้านปีค่อยหยุดแล้วกัน เจ้าพวกสุนัขเหล่านี้โหดเหี้ยมเกินไปแล้ว

หานเจวี๋ยคิดเงียบๆ

เก้าสิบล้านล้านปี!

เก้าสิบห้าล้านล้านปี!

[อริยะจินอันศัตรูคู่อาฆาตของท่าน อริยะจิตเกิดการแตกร้าวเนื่องจากคำสาปแช่งของท่าน ตกต่ำกลายเป็นอริยะคลั่ง]

หานเจวี๋ยหยุดมือทันที หน้าผากเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ

ตึงเครียดเหลือเกิน!

โชคดีที่ทำสำเร็จ!

หานเจวี๋ยบ่นในใจ ครั้งนี้สิ้นเปลืองมากเกินไปแล้ว

ครั้งหน้าไม่อาจสาปแช่งได้อีก มิสู้ลงมือโดยตรงเสียเลยดีกว่า!

หานเจวี๋ยนึกถึงข้อมูลของอริยะจินอันที่ตนเคยคัดลอกไว้ เขาเริ่มใช้แบบจำลองการทดสอบ ท้าสู้กับอริยะจินอัน

ผ่านไปไม่นานนัก หานเจวี๋ยลืมตาขึ้นอีกครั้ง

อริยะจินอันนับว่ามีฝีมืออยู่บ้าง!

เหนือกว่าฝูซีเทียน เกือบจะไล่ตามหลี่มู่อีทันแล้ว

หานเจวี๋ยใช้แบบจำลองการทดสอบต่อไป หาวิธีสังหารอริยะจินอันให้ได้ในเสี้ยววินาที

ผ่านไปหลายเดือน จนกระทั่งหลี่เต้าคงมาขอพบหานเจวี๋ย ความเร็วสูงสุดที่หานเจวี๋ยสังหารอริยะจินอันได้คือสามลมหายใจ

ไม่พอ!

ยังไม่เพียงพอ!

หากสังหารศัตรูในเสี้ยววินาทีไม่ได้ จะถูกศัตรูสังหารเอาได้ง่ายๆ!

หานเจวี๋ยถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง จากนั้นก็ให้หลี่เต้าคงเข้ามาในอารามเต๋า

“เจ้าสำนัก ระยะนี้พลังมรรคของข้าเพิ่มพูนขึ้นอีกครั้ง รู้สึกว่าในระดับครึ่งอริยะ ไม่มีผู้ใดสามารถทำอันใดข้าได้ ข้าสามารถเป็นตัวแทนของสำนักซ่อนเร้นออกไปท้าชิงตำแหน่งอริยะได้ ท่านคิดเห็นประการใดขอรับ” หลี่เต้าคงเอ่ยถาม

เขามีสีหน้าท่าทางจริงจัง จ้องมองหานเจวี๋ยดวงตาเป็นประกาย

หานเจวี๋ยเอ่ยถาม “เจ้าต้องการปราณม่วงอนธการหรือ”

หลี่เต้าคงพยักหน้า

หานเจวี๋ยชูมือขวาขึ้นมา ปราณม่วงอนธการสายหนึ่งปรากฏขึ้นในมือ เขากล่าวว่า “ข้ามี เจ้าไม่จำเป็นต้องออกไป อย่างไรก็ตามหากเจ้าพึ่งพาปราณม่วงอนธการพิสูจน์มรรคในยามนี้ วันหน้าจะไม่มีทางได้เป็นยอดฝีมือในหมู่อริยะ”

หลี่เต้าคงเบิกตากว้าง มองมือขวาของหานเจวี๋ยอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา

เขาเผยท่าทางเช่นนี้ออกมาน้อยครั้งยิ่ง

ครั้งนี้เขาตื่นตะลึงแล้วจริงๆ

เหตุใดหานเจวี๋ยถึงมีปราณม่วงอนธการได้

หรือว่าที่สำนักเต๋ามาล้อมโจมตีหานเจวี๋ยครั้งก่อน จะมิใช่การใส่ไคล้

หานเจวี๋ยเองก็มิได้ปิดบังอำพราง เล่าเรื่องที่หลี่มู่อีช่วยเหลือเซวียนฉิงจวินให้ฟัง

หลี่เต้าคงรู้สึกทอดถอนใจอย่างยิ่ง เขาเคยเคารพหลี่มู่อีที่สุด แต่ยามนี้พอมองดูหลี่มู่อีอีกครั้ง เขาพลันรู้สึกว่าอาจารย์ของตนช่างต่ำช้าโดยแท้ ไม่ได้ผ่าเผยชอบธรรมอย่างที่เห็นในฉากหน้า

“ฝึกบำเพ็ญให้ดี รอจนเจ้าบรรลุระดับครึ่งอริยะขั้นสมบูรณ์แล้ว จะยกปราณม่วงอนธการสายนี้ให้แก่เจ้า กลับกัน หากศิษย์คนอื่นตัดหน้า ชิงบรรลุถึงก่อน เจ้าก็อย่าหวังจะได้ไป” หานเจวี๋ยเอ่ยอย่างสงบ

เขาคาดหวังในตัวหลี่เต้าคงที่สุด แต่ไม่อาจแสดงออกอย่างชัดเจนเกินไปได้

หลี่เต้าคงสูดหายใจลึกๆ คราหนึ่ง ค้อมกายคารวะ จากนั้นจึงจากไป

หานเจวี๋ยนึกขึ้นได้ว่าตนยังมีปราณม่วงมหามรรคสายหนึ่งอยู่ในมือ

ตอนนี้เขายังไม่ได้ตัดสินใจจะยกให้ใคร รอดูท่าทีของเหล่าศิษย์ไปก่อน

จากนั้น หานเจวี๋ยก็ฝึกบำเพ็ญต่อ

หลังจากสำเร็จเป็นอริยะ หานเจวี๋ยยังไม่ได้ฝึกบำเพ็ญเลย

การบำเพ็ญของอริยะมิใช่การดูดซับอีกต่อไป แต่เป็นการตระหนักมหามรรค ทำความเข้าใจและควบคุมมหามรรคให้ลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ ให้พลังมรรคเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ

หานเจวี๋ยครอบครองมหามรรคต้นกำเนิด เพียงพอที่จะให้ใช้ฝึกบำเพ็ญไปได้ตลอด

ระดับเซียนทองต้าหลัวเบิกฟ้ามิใช่ขีดจำกัดของเขา!

ตอนที่เขาเริ่มฝึกบำเพ็ญ โลกอนธการที่อยู่ในส่วนลึกของวิญญาณเขา ปราณฟ้าบุพกาลและปราณอนธการเริ่มปั่นป่วนขึ้นมา

โลกดาราของเขาได้เปลี่ยนชื่อเป็นโลกอนธการแล้ว ปราณแห่งเทพมารยังคงอยู่ในระหว่างหล่อเลี้ยง ความเร็วในการผลิตปราณฟ้าบุพกาลของปฐมศิลาฟ้าบุพกาลก็เร็วขึ้นเรื่อยๆ

โลกเขย่าพิภพดูเล็กจ้อยอย่างเห็นได้ชัด ไล่ตามการพัฒนาของโลกอนธการไม่ทันอย่างสมบูรณ์

หากมิใช่เพราะมีพลังเวทของหานเจวี๋ยกางกั้นไว้ เกรงว่าโลกเขย่าพิภพคงถูกปราณอนธการของกายดาราอนธการขยี้จนแหลกเป็นผุยผง

หานเจวี๋ยต้องคิดหาทางทำให้โลกเขย่าพิภพเข้ากับโลกอนธการอย่างสมบูรณ์ให้ได้

ต้องทำอย่างไรถึงจะใช้ได้กันนะ

หานเจวี๋ยนึกถึงพุทธะอาภรณ์ขาว

ตอนนี้พุทธะอาภรณ์ขาวครอบครองดวงชะตาของโลกเขย่าพิภพ สองฝ่ายคงอยู่ร่วมกัน หากพุทธะอาภรณ์ขาวผสานเข้ากับโลกอนธการได้ โลกเขย่าพิภพย่อมทำได้เช่นกันหรือไม่

ควรผสานรวมเช่นใดเล่า

หานเจวี๋ยนึกถึงซูฉีอีกครั้ง ไยไม่ลองให้พุทธะอาภรณ์ขาวเอาอย่างซูฉีดูเล่า

‘สังเกตการณ์ไปอีกสักพักก่อนแล้วกัน’

หานเจวี๋ยหลับตาลง ไม่คิดมากต่อไปอีก

….

เพียงพริบตาเดียว ผ่านไปห้าร้อยปี

หลังจากหานเจวี๋ยพิสูจน์มรรคสำเร็จ เหล่าอริยะล้วนไม่มาหาเรื่องเขาอีก ฉิวซีไหลถึงขั้นที่ไม่มาขอเข้าฝันเลยด้วยซ้ำ เขตเซียนร้อยคีรีได้เผชิญกับช่วงเวลาอันสงบสุขอีกครั้ง

หานเจวี๋ยเองก็ฝึกบำเพ็ญอยู่ตลอด

เผ่าเอกามีผู้บรรลุระดับเทพห้าพันคนแล้ว พื้นฐานคุณสมบัติของเผ่าเอกาเลิศล้ำอยู่แล้ว เพื่อที่จะรักษาความสามารถของพวกเขาเอาไว้ จักรพรรดินีผืนพิภพถึงขั้นที่ยอมสละความสามารถในการสืบพันธุ์ของพวกเขา ปัจจุบันนี้ไอเซียนในอาณาเขตเต๋าเข้มข้นที่สุดในมรรคาสวรรค์แล้ว ประกอบกับหานเจวี๋ยคอยแสดงธรรมอยู่เป็นระยะๆ ตบะของพวกเขาย่อมเปรียบดั่งน้ำขึ้นเรือลอยสูง แทบไม่เผชิญกับปัญหาติดขัดใดเลย

หลังจากพิสูจน์มรรค หานเจวี๋ยไม่เห็นระดับเทพอยู่ในสายตาอีก ตอนนี้มาตรฐานความต้องการที่เขามีต่อเหล่าศิษย์คือต้าหลัว

ในวันนี้

สิงหงเสวียนมาหาหานเจวี๋ย

เค้าคลอกันอยู่ครึ่งปี สิงหงเสวียนสวมเสื้อผ้าให้ดี จากนั้นก็นั่งลงข้างๆ หานเจวี๋ยและถามว่า “ท่านพี่ เหตุใดถึงรู้สึกว่าท่านเปลี่ยนไปกันนะ”

นางรู้สึกว่าหานเจวี๋ยมิได้เย็นชาเช่นในอดีตแล้ว บนตัวมีความเป็นมนุษย์เพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย

แน่นอน นางไม่อาจพูดออกมาตรงๆ ได้

หานเจวี๋ยคิดๆ ดู จากนั้นจึงเล่าเรื่องราวที่ตนไปหาประสบการณ์ในโลกมนุษย์ก่อนหน้านี้ออกมา

หลังจากสิงหงเสวียนได้ฟังก็มิได้รู้สึกขุ่นเคืองเลย หานเจวี๋ยมิได้มีนางเป็นสตรีเพียงหนึ่งเดียว หากนับดูแล้ว เทียบกับผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกัน หานเจวี๋ยนับว่ามีสตรีน้อยมากแล้ว

สิงหงเสวียนเอ่ยด้วยความสะท้อนใจ “ชิงหลวนเอ๋อร์ผู้นั้นดีร้ายอย่างไรก็มีวาสนากับท่าน ท่านไม่ประคับประคองตบะของนางหน่อยหรือ”

หานเจวี๋ยกล่าวอย่างสงบ “ไม่จำเป็น นางคิดว่าข้าเป็นเพียงปุถุชนคนหนึ่ง แต่ข้าได้เก็บวิญญาณของนางไว้แล้ว วันหน้าค่อยวางแผนกันอีกที”

เดิมทีหานเจวี๋ยคิดจะให้ชิงหลวนเอ๋อร์กลับชาติไปเกิดใหม่ตรงๆ แต่พอนางจะสิ้นใจลงเขากลับใจอ่อน

เขานึกถึงหานทั่ว

อย่างน้อยหากหานทั่วหลงเหลือญาติใกล้ชิดสักคนก็คงดี

อืม ข้าคิดว่าเช่นนี้

หานเจวี๋ยคิดเงียบๆ

“เช่นนั้นบุตรชายของท่านเล่า ไม่รับกลับมาที่สำนักซ่อนเร้นด้วยหรือ ท่านพี่ เหตุใดท่านไม่มีลูกกับข้าบ้างล่ะ ไม่ได้นะ ข้าก็อยากมีเหมือนกัน!”

สิงหงเสวียนถามขึ้น ถามไปถามมาก็เริ่มหิวกระหาย ยื่นมือไปถอดเสื้อผ้าหานเจวี๋ย

หานเจวี๋ยถลึงตาใส่นางแวบหนึ่ง เอ่ยด้วยความฉุนเฉียว “ตบะเจ้าเพิ่งระดับใดกัน ยังไม่ยอมฝึกบำเพ็ญให้ดี หากมีลูก เจ้ายังจะยอมฝึกบำเพ็ญดีๆ หรือ ”

สิงหงเสวียนเบะปาก เอ่ยขึ้น “เช่นนั้นข้าต้องมีตบะระดับใดถึงจะให้กำเนิดลูกของพวกเราได้”

หานเจวี๋ยเอ่ย “ความหมายของทายาทคือการสืบเชื้อสาย พวกเรายังใช้ชีวิตต่อไปได้เรื่อยๆ เรื่องทายาทไม่สำคัญ หากเจ้าอยากมีจริงๆ รอจนเจ้าบรรลุต้าหลัวแล้ว ข้าจะมอบลูกชายให้เจ้าสักคน”

“จริงหรือ”

“แน่นอน!”

เมื่อได้รับคำมั่นจากหานเจวี๋ย สิงหงเสวียนแย้มยิ้มไปถึงดวงตา

จิตใจของนางเกิดความเปลี่ยนแปลง รู้สึกว่าต้าหลัวก็มิได้ไกลเกินเอื้อมนัก

สิงหงเสวียนถามต่อว่า “แล้วหานทั่วเล่า ท่านจะเลี้ยงเขาไว้ด้านนอกจริงๆ หรือ หากพากลับมาไม่ได้จริงๆ ข้าช่วยท่านดูแลได้นะ ไม่ว่าพูดกันอย่างไรเขาก็เป็นบุตรชายของท่าน”

หานเจวี๋ยส่ายหน้าเอ่ยว่า “ผ่านมาเนิ่นนานปานนี้ เขาเติบใหญ่นานแล้ว ไม่จำเป็นต้องดูแลเขาอีก สักวันหนึ่ง ยามที่เขาต้องการข้า ข้าจะให้ความช่วยเหลือ แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสม”

หานทั่วสืบทอดสายเลือดจากเขา มีความเป็นไปได้สูงที่จะกลายเป็นเทพมารอนธการตนที่สอง

เมื่อว่างเว้นจากการบำเพ็ญ หานเจวี๋ยยังคงใส่ใจสอดส่องหานทั่วอยู่

ระยะก่อนเด็กคนนี้เพิ่งจะพบพานประสบการณ์รัก น่าเสียดายที่จบลงไม่สวยนัก เพราะมีพลังไม่เพียงพอ ปกป้องภรรยาของตนไว้ไม่ได้ เขาจึงเริ่มมานะบำเพ็ญ นับว่าเป็นเรื่องดีเช่นกัน

หานเจวี๋ยหวังว่าหลังจากหานทั่วได้พบเห็นโลกกว้างแล้ว จะยังคงมีจิตใจมานะบำเพ็ญอันผ่องแผ้วเช่นเดียวกับเขา

………………………………………………………………