ตอนที่ 165-2 ลบล้างมลทิน

เฉียวเวยกุมขมับ กลัวอะไรก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ โลกนี้นี่นะ!

หลังจากอากุ้ยได้ปิ่นปักผมไปแล้ว ก็ไปที่โรงงานทันที เขาเอ่ยกับชีเหนียงที่กำลังนับสินค้าอยู่ว่า “เจ้าออกมาหน่อย”

สีหน้าเขาน่ากลัวนัก ทุกคนเลยอดเหลือบมองไปทางชีเหนียงไม่ได้ ชีเหนียงพูดกับทุกคนว่า “ทุกคนทำงานในมือกันไปก่อน”

ทุกคนจึงก้มหน้าทำงานของตนไป ชีเหนียงเดินตามอากุ้ยออกจากโรงงาน แล้วเข้าไปในห้องของตน

“เจ้ามีอะไรหรือ กลางวันเช่นนี้กำลังทำงานกันอยู่นะ…” ชีเหนียงพลันสะอึกไปเมื่อเห็นปิ่นทองแดงที่อยู่ในมืออากุ้ย

ยามปกติอากุ้ยละเอียดลออราวกับเศษฝุ่น ครานี้จะพลาดสีหน้าที่แสดงอยู่บนใบหน้าอีกฝ่ายได้อย่างไร แค่เห็นสีหน้าตาโตอ้าปากค้างของนาง ก็รู้แล้วว่าเรื่องนี้ต้องมีอะไรผิดปกติ “เจ้ามีอะไรจะพูดหรือไม่”

ชีเหนียงแสร้งทำเป็นสงบนิ่ง “เจ้าหาเจอแล้วหรือ”

อากุ้ยเอ่ยประชดว่า “ไม่ใช่ว่าข้าหาเจอ แต่มีคนเดินทางไกลมาคืนเจ้าต่างหาก!”

ชีเหนียงได้ฟังใบหน้าก็พลันถอดสี เรื่องที่กังวลที่สุดเกิดขึ้นเสียแล้ว…

อากุ้ยมองนางดุๆ “ว่าอย่างไร ไม่มีอะไรจะพูดแล้วหรือ เจ้าอธิบายมาให้ข้าฟังเดี๋ยวนี้ เจ้าแอบออกไปหาผู้ชายคนอื่นลับหลังข้าตั้งแต่เมื่อไร!”

“ข้าไม่ได้ทำ” ชีเหนียงเถียงกลับ

อากุ้ยพูดโดยไม่ต้องคิดว่า “เจ้ายังไม่ยอมรับอีก?! คนเขาเอาเครื่องประดับเจ้ากลับมาส่งคืนแล้ว! ใช่ว่าต้องให้เขาเอาตู้โตวเจ้ากลับมาคืนหรือไร เจ้าถึงจะยอมรับ” อากุ้ยพูดพลางเดินไปเปิดหีบ ค้นดูเสื้อผ้าของชีเหนียง “ข้าขอดูหน่อยว่ามีอะไรหายไปบ้างหรือไม่!”

ชีเหนียงคว้าแขนอีกฝ่ายไว้อย่างไม่อยากเชื่อ “อากุ้ยเจ้าบ้าไปแล้ว! เจ้าไม่ฟังข้าอธิบายเลย!”

อากุ้ยสะบัดแขนนางออก หยุดมือที่กำลังค้นหีบอยู่ สองตามองอีกฝ่ายอย่างร้อนระอุ “ยังมีอะไรต้องอธิบายอีก เจ้าได้ไปที่บ้านผู้ดูแลฉิวหรือไม่”

“ข้า…”

“เจ้าได้รับการอนุญาตจากข้าหรือไม่”

“ข้า…”

“หากไม่ใช่ว่าข้าบังเอิญเจอปิ่นนี้ เจ้าคิดจะปิดข้าไปชั่วชีวิตใช่หรือไม่”

ชีเหนียงสูดหายใจเข้าออกลึกๆ อยู่หลายที ข่มกลั้นอารมณ์ที่ตีขึ้นมาไว้ “อากุ้ย เจ้าไม่ฟังที่ข้าจะอธิบายเลย เช่นนี้ไม่ยุติธรรมกับข้า ใช่ ข้าเคยไปหาผู้ดูแลฉิว แต่นั่นเพราะข้ามีเหตุผลที่จำเป็นต้องไป ข้าคิดจะปิดบังเจ้าจริงๆ ดูท่าทางเจ้าในตอนนี้สิ นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมข้าถึงต้องปิดบังเจ้า”

อากุ้ยไม่อาจยอมรับเหตุผลได้ ถึงขั้นรู้สึกว่าเหตุผลเหล่านั้นฟังไม่ขึ้นเอาเสียเลย “ความหมายของเจ้าก็คือ ต่อไปไม่ว่าเรื่องอะไรที่ทำให้ข้าโกรธได้ เจ้าก็จะแอบไปทำใช่หรือไม่ เหตุใดเจ้าถึงเป็นเช่นนี้ไปได้ ชีเหนียง?”

สิ่งที่ชีเหนียงเกลียดที่สุดก็คือประโยคที่บอกว่า “เหตุใดเจ้าถึงเป็นเช่นนี้ไปได้” นางนวดหน้าอก กดไฟโทสะในใจเอาไว้ “ข้าไม่ได้เด็กๆ เสียหน่อย ข้ากำลังทำอะไร ข้ารู้ดีแก่ใจ ครั้งนี้เพราะมีเหตุจำเป็นจริงๆ”

“ช่างเป็นเหตุจำเป็นที่ดีเหลือเกินนะ!” อากุ้ยพูดเสียงดังกว่าเดิม

“เดิมทีนางก็ไปเพราะจำใจ!” เฉียวเวยมาที่หน้าประตู มองอากุ้ยด้วยสายตาเยือกเย็น “เรื่องมีปากเสียงกันระหว่างเจ้าสองคนเดิมทีข้าไม่อยากก้าวก่าย แต่เรื่องนี้เพราะข้าเป็นเหตุ ข้าเป็นคนให้ชีเหนียงไปหาผู้ดูแลฉิวเอง ข้าเจอเรื่องยุ่งยากนิดหน่อย กลัวว่าตนเองจะคลี่คลายไม่ได้ จึงให้ชีเหนียงไปติดต่อผู้ดูแลฉิวกับนายท่านที่อยู่ด้านหลังเขา”

ในใจอากุ้ยกำลังประเมินว่าคำพูดของเฉียวเวยเป็นจริงหรือโกหก เขาถามด้วยความสงสัยว่า “ในเมื่อเจ้ามีเรื่องขอร้องให้เขาช่วย เหตุใดถึงไม่ให้ข้าไป”

“เจ้าหลับไปแล้ว” เฉียวเวยเอ่ยหน้านิ่ง

“เจ้าไม่รู้จักที่จะปลุกข้าตื่นหรือ” อากุ้ยถาม

สีหน้าเฉียวเวยยังคงปกติ “ชีเหนียงไม่ได้เรียกเจ้าหรือ เรียกแล้วแต่เจ้าไม่ได้ยิน! ชีเหนียงเห็นใจที่เจ้าตรากตรำทำงานในตอนกลางวัน ถึงได้ช่วยไปเป็นธุระให้แทนเจ้า!”

ชีเหนียงเรียกเขาแล้วจริงๆ เพียงแต่ว่า ที่นางเรียกไม่ใช่เพราะต้องการให้เขาตื่น แต่เพื่อให้มั่นใจว่าอากุ้ยหลับไปแล้วจริงๆ

สถานการณ์ในคืนนั้นออกจะซับซ้อนเล็กน้อย ฮูหยินไม่ได้คิดจะไปขอให้ใครช่วย แต่นางไม่สามารถเห็นฮูหยินเดินเข้าไปสู่อันตรายได้จริงๆ คนเดียวที่นางคิดออกว่าพอจะช่วยฮูหยินได้ก็คือผู้ดูแลฉิว แต่หากนางเอ่ยถึงผู้ดูแลฉิวกับอากุ้ย ด้วยนิสัยขี้ระแวงของเขา คงยากที่จะไม่สงสัยในความสนิทสนมระหว่างนางกับผู้ดูแลฉิว เช่นว่า เหตุใดนางถึงรู้ว่าบ้านอีกฝ่ายอยู่ที่ไหน

เฉียวเวยพูดต่อว่า “ชีเหนียงกับผู้ดูแลฉิวไม่เคยพูดคุยกันมากนัก หากไม่ใช่ข้าที่บอกว่าผู้ดูแลฉิวพักอยู่ที่ไหน เจ้าคิดว่าชีเหนียงจะหาพบหรือ”

ผู้ดูแลฉิวเอ่ยด้วยความหนักใจว่า “อากุ้ย ข้ากับชีเหนียงไม่ได้มีอะไรกันจริงๆ คืนนั้นชีเหนียงนำข่าวมาบอกข้าเสร็จก็กลับไปทันที นางรีบร้อนเกินไป จึงทำปิ่นหล่น หากข้าคิดอะไรกับนางจริงๆ คงไม่คืนปิ่นนี้ให้ฮูหยินของพวกเจ้าหรอก คงคืนให้นางกับมือแล้ว ไม่จริงหรือ”

พูดเช่นนี้ดูจะพอฟังขึ้นอยู่บ้าง อากุ้ยไม่ได้ว่าอะไรอีก เฉียวเวยปรายตามองทั้งสองคนทีหนึ่งแล้วพูดกับผู้ดูแลฉิวว่า “ข้าจะไปส่งเจ้าลงเขา”

ผู้ดูแลฉิวมองชีเหนียงที่น้อยใจจนตาแดง ก่อนจะพยักหน้าด้วยความจนใจ “ได้”

เมื่ออีกสองคนไปแล้ว ในห้องเหลือเพียงชีเหนียงกับอากุ้ย ชีเหนียงเก็บเสื้อผ้าที่อากุ้ยคุ้ยจนเกลื่อนพื้นขึ้นมา ปัดฝุ่นแล้วพับทีละตัวกลับลงหีบ

“นายท่านที่อยู่ข้างหลังอากุ้ยเก่งกาจมากหรือ” จู่ๆ อากุ้ยก็ถามขึ้น

มือที่จัดการเสื้อผ้าอยู่ของชีเหนียงชะงักไป “ดูเหมือนจะเรียกกันว่านายท่านหก หมอนหยกมังกรของฮูหยินก็เป็นเขาที่ให้มา”

หมอนหยกมังกรประเภทนี้เคร่งครัดมาก หากไม่มีเส้นสายไม่สามารถหาซื้อได้ หากบอกเช่นนี้ นายท่านหกผู้นั้นก็คงเป็นใครสักคนจริงๆ

“หึ” อากุ้ยหัวเราะเสียงเย็น “ข้ารู้แล้วว่านางคิดอะไรอยู่ ข้าเห็นหมดแล้ว”

คิ้วเรียวของชีเหนียงขมวดเล็กน้อย “เจ้าไปเห็นอะไรมาอีกเล่า”

อากุ้ยยิ้มพลางนึกย้อนไป “สายตาที่ผู้ดูแลฉิวมองเจ้า เหมือนสายตาที่ข้ามองเจ้า เขาชอบเจ้า”

รูม่านตาชีเหนียงพลันหดตัว “เจ้าอย่าพูดเหลวไหล!”

อากุ้ยทำเหมือนไม่ได้ยินที่ชีเหนียงบอก เอ่ยประชดของตนเองต่อไปว่า “ฮูหยินให้เจ้าไปส่งจดหมายดึกๆ ดื่นๆ อันที่จริงเพราะต้องการส่งตัวเจ้าไปให้ผู้ดูแลฉิว”

ชีเหนียงปิดหีบเสียงดังปัง “ฮูหยินไม่ใช่คนเช่นนั้น!”

ที่อากุ้ยหงุดหงิดใจที่สุดก็คือ ทุกครั้งที่ตนตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับเฉียวซื่อ ชีเหนียงจะเข้าข้างเฉียวซื่อทุกครั้งไป “ข้าถามเจ้าแค่ว่า หากคืนนั้นผู้ดูแลฉิวเสนอเงื่อนไขว่า เขาจะไปช่วยฮูหยินก็ต่อเมื่อเจ้าไปอยู่กับเขา เจ้าจะไปหรือไม่ไป”

ชีเหนียงสะอึกไป

อากุ้ยมองตานาง “เจ้าจะไป”

ชีเหนียงหมุนตัวแล้วเปิดหีบที่จัดระเบียบเรียบร้อยแล้วขึ้นใหม่อีกครั้ง “ผู้ดูแลฉิวไม่ใช่คนเช่นนั้น เขาเป็นสุภาพบุรุษ ไม่มีทางหาผลประโยชน์จากคนลำบาก”

อากุ้ยบอกว่า “เจ้าเพิ่งเคยพบหน้ากับเขากี่ครั้งกัน ถึงได้รู้จักเขาดีเพียงนี้ คืนนั้นพวกเจ้าไม่ได้แค่คุยธุระกัน แต่ยังคุยเรื่องส่วนตัวกันด้วยไม่น้อยสิท่า”

“อากุ้ย!” ชีเหนียงตะคอกเสียงดัง

อากุ้ยยิ้มเย็น “เจ้าเองก็ชอบเขาสิท่า เขามีเงินมากกว่าข้า มีฐานะดีกว่าข้า ได้ยินว่าเขายังเป็นพ่อหม้ายเสียด้วย เจ้าไปก็ได้เป็นฮูหยินภรรยาเอกพอดี… พวกเจ้าสองคนมีใจให้กัน ฮูหยินแค่เพียงเป็นผู้เฒ่าจันทรา[1]ให้พวกเจ้าเท่านั้น”

ชีเหนียงโกรธบ้างแล้ว “เจ้าอย่าทำตัวไม่มีเหตุผลเช่นนี้!”

สายตาอากุ้ยพลันเปลี่ยนเป็นดุดัน “ใครกันแน่ที่ไม่มีเหตุผล มิน่าเล่า พี่ใหญ่ข้าตายได้ยังไม่ทันถึงปี เจ้าก็มาอยู่กับข้าเสียแล้ว ไม่ใช่เพราะข้าดีเด่อะไรหรอก แต่เนื้อแท้ของเจ้าเป็นสตรีใจง่ายเช่นนี้เอง!”

เพี๊ยะ!

ชีเหนียงสะบัดตบหน้าเขาทีหนึ่ง

“ข้าดูเจ้าผิดไปแล้วจริงๆ!”

เมื่อเอ่ยด้วยความผิดหวังจบ ชีเหนียงก็เช็ดน้ำตาแล้วเดินออกจากห้องไปทันทีโดยไม่หันกลับมามอง

เฉียวเวยไปเห็นชีเหนียงที่ตาบวมแดงอยู่ตรงหน้าโรงงาน “ชีเหนียง”

“ฮูหยิน” ชีเหนียงฝืนข่มความชอกช้ำ หันมาส่งยิ้มพร้อมเอ่ยทักทายอีกฝ่าย

เฉียวเวยจับปรอยผมตรงหลังหูให้นาง “ไปนั่งที่ห้องข้าเถอะ ให้เจ้าลาครึ่งวัน ไม่หักเงิน”

ชีเหนียงยิ้มออกมาอย่างอดไม่อยู่ ฮูหยินผู้ขี้เหนียวต้องเป็นห่วงนางเพียงใดหนอถึงพูดออกมาได้ว่าจะไม่หักเงิน จู่ๆ ในใจนางก็คล้ายได้รับการปลอบประโลม “ข้าไม่เป็นอะไร ฮูหยินไปทำงานเถอะ ข้านับของเสร็จแล้วจะไปพักเอง”

เฉียวเวยพยักหน้า ตบมือชีเหนียงเบาๆ แล้วให้นางไป

ทุกคนล้วนกำลังเติบโต ชีเหนียงก็เช่นกัน ครั้งแรกที่ถูกเสี่ยวอิงตบหน้า ชีเหนียงเสียใจไม่ยอมออกจากห้องอยู่หลายวัน ครานี้ทะเลาะกับอากุ้ยถึงขั้นนี้ นางกลับกลืนน้ำขมๆ ลงไปได้อย่างเข้มแข็ง

เพียงแต่อากุ้ย ความเติบโตของเจ้าอยู่ที่ไหน

ในวันที่ชีเหนียงเปลี่ยนเป็นดีเลิศขึ้นทุกวัน เจ้ากลับย่ำอยู่กับที่ เคยคิดหรือไม่ว่าอาจมีสักวัน ที่บางทีเจ้าอาจไม่คู่ควรกับชีเหนียงอีก

ชีเหนียงส่งยิ้มให้แล้วเดินเข้าไปในโรงงาน ทุกคนถามว่านางเป็นอะไร หน้าตาเหมือนคนร้องไห้มา นางบอกว่าอากุ้ยมาบอกข่าวนาง ว่าญาติของนางที่บ้านเดิมเสีย นางเลยเสียใจมาก ทุกคนปลอบโยนนาง ทั้งยังถามว่าอากุ้ยไปไหน นางบอกว่าอากุ้ยไม่สบาย กลัวว่าจะเอาโรคมาให้ทุกคนติดไปด้วย เลยจะไม่เข้ามาแล้ว สีหน้าทุกคนดูเข้าใจ

ละครจำอวดฉากสั้นๆ ทำให้อารมณ์ของเฉียวเวยปั่นป่วนไปหมดเช่นกัน ตอนนางกลับไปที่ห้อง เฉียวเจิงเก็บของที่นางต้องเก็บจนเรียบร้อยแล้ว เขากำลังมัดห่อผ้า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ”

เฉียเวยถอนหายใจ “สามีภรรยาทะเลาะกัน อากุ้ยไปแล้ว”

เฉียวเจิงเลยบอกว่า “สามีภรรยาทะเลาะกันเป็นเรื่องธรรมดา พอหายโกรธแล้วก็ไม่มีอะไรหรอก”

“ข้าว่าอาจจะไม่เป็นเช่นนั้น” ครั้งนี้ทะเลาะกันไม่ใช่รุนแรงธรรมดา อากุ้ยยังโกรธจนหายไปเลยด้วย เฉียวเวยถามว่า “ท่านกับท่านแม่ก็เคยทะเลาะกันหรือไม่”

เฉียวเจิงคิดแล้วตอบว่า “ไม่เคย แม่เจ้าไม่ทะเลาะกับใคร”

ตัวนางถึงขั้นลงไม้ลงมือด้วยซ้ำ

ไม่มีใครสู้นางได้

พ่อลูกสองคนหอบเอาห่อผ้าและขวดโหลเดินเคียงกันลงเนินไป พวกเขาไปหาจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูที่บ้านเอ้อร์โก่วจื่อกันก่อน พอได้ยินว่าจะไปเมืองหลวง ทั้งสองก็ดีใจใหญ่ พากันก้าวขึ้นรถม้าของตาเฒ่าซวนจื่อไปโดยมีสายตาอิจฉาของเด็กๆ ที่บ้านเอ้อร์โก่วจื่อมองตาม

พวกเขาไปเช่ารถของสารถีกวนเข้าเมืองเช่นเดิม

เมื่อก่อนที่ไม่ซื้อรถเพราะคิดว่าวุ่นวาย แต่มาวันนี้เมื่อเฉียวเจิงฟื้นแล้ว นางเลยคิดที่จะซื้อรถม้าสักคัน และจ้างคนสักหนึ่งคน เวลาเฉียวเจิงไปไหนมาไหนจะได้สะดวก

“ท่านตา นี่พวกเรากำลังจะไปไหนกันหรือ” จิ่งอวิ๋นมองทิวทัศน์ด้านนอกแล้วถามขึ้น นี่ไม่ใช่ทางไปบ้านสี่ประสาน และไม่ใช่ทางไปซื้อถังหูลู่หรือร้านขายของเล่น เป็นเส้นทางที่พวกเขาไม่เคยไปมาก่อนเลย

เฉียวเวยยิ้มบอกว่า “เขาความจำดี ถนนหนทางแค่ไปครั้งเดียวก็จำได้แล้ว”

“ข้าก็จำได้ ข้าก็จำได้!” วั่งซูยกมือน้อยๆ ของตนขึ้นบ้างอย่างไม่ยอมน้อยหน้า

เจ้าจำได้สิแปลก เจ้าเด็กขี้ตู่

เฉียวเจิงเอ่ยด้วยสีหน้าใจดีและมีความสุขว่า “ตาจะพาเจ้ากลับบ้านเรา”

วั่งซูกะพริบตาด้วยความแปลกใจ “บ้านพวกเราไม่ได้อยู่บนเขาหรือ อ๋อ ข้ารู้แล้ว บนเขาเป็นบ้านของท่านแม่ เวลานี้จะไปบ้านท่านตา”

เฉียวเจิงขยี้ศีรษะเล็กๆ ของนาง “บ้านของตาก็คือบ้านของท่านแม่และพวกเจ้า”

วั่งซูเบิกตาโตด้วยความตื่นเต้น “ว้าว! เช่นนั้นข้ากับพี่ชายก็มีบ้านสองหลังแล้วสิ!”

เฉียวเจิงยิ้ม “วั่งซูเหมือนเจ้าตอนเด็กๆ มาก”

ถึงแม้จะพลาดตอนที่เจ้ายังเด็กไป แต่ได้มองนางก็เหมือนได้ช่วงเวลาที่ขาดหายไปกลับคืนมา

รถม้าหยุดลงที่หน้าประตูจวนเอินปั๋ว

พ่อลูกลงกันมาจากรถม้า ซาลาเปาน้อยก็กระโดดลงมาตาม พวกเขาเห็นบ้านหลังใหญ่ที่โอ่อ่าตระการตาแล้วก็ร้องว้าวออกมาด้วยความตกใจ

ปากของวั่งซูอ้ากว้างจนเป็นรูปตัว O “ท่านตา! บ้านท่านใหญ่จังเลย!”

เฉียวเจิงพาบุตรสาวและหลานๆ เข้าไปในบ้านตระกูลเฉียว กลิ่นที่คุ้นเคยพัดเข้ามาต้อนรับ ประตูแห่งความทรงจำเปิดออก เรื่องราวต่างๆ แวบเข้ามาในหัวเป็นฉากๆ ความทรงจำเกี่ยวกับภรรยา กับบุตร กับมารดา หรือแม้กระทั่งกับน้องชายปรากฏขึ้น พาให้รู้สึกติดขัดในลำคอ

เขาหลับตาลง คล้ายว่าพอลืมตาขึ้น ภรรยาก็จะมารอเขาอยู่ที่หลันย่วน

มารดาก็ยังอยู่ที่ฝูโซ่วย่วน กำลังมองมาที่เขาอย่างมีเมตตา

ฉากยังเป็นฉากเดิม แต่คนต่างหากที่เปลี่ยนไป

“ท่านพ่อ” เฉียวเวยเห็นสีหน้าเขาดูไม่ดี จึงตบแขนอีกฝ่ายเบาๆ

เฉียวเจิงเก็บอารมณ์ของตนลง “ข้าไม่เป็นอะไร ไปกันเถอะ”

เฉียวเจิงกลับจวนมาอย่างปลอดภัยทุกอย่าง ทำให้คนทั้งบ้านตระกูลเฉียวตกใจกันถ้วนทั่ว ฮูหยินสี่รีบให้คนไปเชิญนายท่านสี่จากหอหลิงจือกลับมา

เฉียวปี้พอเห็นเฉียวเจิงก็ทรุดเข้าไปคุกเข่าทันที “พี่ใหญ่…”

เฉียวเจิงประคองอีกฝ่ายลุกขึ้น “เจ้านั่งเถอะ เรื่องของเจ้ากับน้องสะใภ้ เสี่ยวเวยเล่าให้ข้าฟังแล้ว ลำบากพวกเจ้าแล้ว”

เฉียวปี้เอ่ยเสียงสะอื้น “พี่ใหญ่ ท่านด่าว่าข้าเถอะ ข้าไม่มีหน้าจะสู้หน้าท่าน ไม่หน้าไปสู้หน้ายัยหนู…”

เฉียวเจิงเอ่ยด้วยความหนักใจว่า “เรื่องก็ผ่านไปแล้ว ไม่ต้องพูดถึงอีก พวกเจ้าก็มีความลำบากของพวกเจ้า”

โจวอี๋เหนียงถูกเรือนรองบีบอยู่ในมือ ถึงแม้เรือนสี่คิดจะทำอะไร ก็ทำได้ไม่เต็มที่ ทุกคนล้วนมีจุดอ่อนของตัวเอง บุตรสาวคือจุดอ่อนของเขา มารดาก็คือจุดอ่อนของน้องสี่

“พี่ใหญ่…” เฉียวปี้สะอื้นไห้อย่างหนัก

เฉียวเจิงบอกว่า “เจ้าไปเรียกพวกน้องรองน้องสามมาที กับพวกผู้อาวุโสของตระกูลด้วย ข้ามีเรื่องจะบอกพวกเขา”

“ขอรับ” เฉียวปี้กับฮูหยินสี่แยกกันไปตาม

เฉียวเย่ว์ซานตามตัวไม่ยาก เขาอยู่ที่สำนักหมอหลวง เฉียวเย่ว์เฟิงกลับไม่รู้ว่าไปสิ่งสถิตย์อยู่ที่ไหน ปีๆ หนึ่งไม่ค่อยได้เห็นตัว คนที่มาเป็นฮูหยินสาม

แน่นอนว่าสวีซื่อก็มาด้วย เพียงแต่ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในโถงรับแขก ได้แต่เดินวนไปวนมาอยู่ข้างนอกด้วยความร้อนใจ

เฉียวเจิงนั่งลงตรงตำแหน่งประธาน เฉียวเวยยืนอยู่ข้างกายเขา ส่วนเด็กทั้งสอง ฮูหยินสี่ให้สาวใช้คนสนิทมาพาไปจับกระต่ายในสวนดอกไม้ เฉียวเย่ว์ซานกับฮูหยินสามยังคงนั่งอยู่ทางด้านซ้าย ส่วนทางขวาเป็นผู้อาวุโสทั้งเจ็ดของตระกูล

ในบรรดาผู้อาวุโสทั้งเจ็ดนี้ นอกจากผู้อาวุโสรองที่ตอนนั้นเคยลงแรงช่วยเฉียวเวยไว้แล้ว คนอื่นที่เหลือล้วนเคยฉกฉวยทรัพย์สมบัติของเรือนใหญ่ รวมถึงใส่ร้ายเฉียวเวยกันทั้งสิ้น

ภายในห้อง เงียบจนน่าอึดอัด

เฉียวเจิงเดินไปตรงหน้าผู้อาวุโสรองแล้วย่อเข่าลง ทุกคนพากันตกใจ ผู้อาวุโสรองรีบจับเขาไว้ “เจิงเอ๋อร์! นี่เจ้าจะทำอะไร”

“ต่อให้เฉียวเจิงคุกเข่า ก็ไม่เพียงพอที่จะตอบแทนบุญคุณของท่านลุงรองได้ ขอท่านลุงรองได้โปรดอย่ารังเกียจ”

เฉียวเจิงพูดพลางโขกศีรษะคำนับให้ผู้อาวุโสรองสามที

เสียงโขกในทุกครั้งที่ดังขึ้น กระแทกเข้าไปถึงหัวใจของทุกคน และกระแทกถูกหัวใจของเฉียวเวยด้วย

แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีใครออกหน้าแทนนางเช่นนี้มาก่อน เพราะความซาบซึ้งที่อีกฝ่ายดีต่อนาง ถึงได้ยอมคุกเข่าอันแสนมีค่าเช่นนี้

ความรู้สึกที่ได้รับความรักจากคนในบ้าน ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง?

เฉียวเจิงโขกศีรษะเสร็จ หน้าผากก็เห็นเป็นรอยเขียวอมม่วงทันที ผู้อาวุโสรองน้ำตาหลั่งริน “เจ้าเด็กนี่… จริงๆ เลย…”

เฉียวเจิงกลับไปนั่งประจำที่ท่าทางไม่ดูจริงใจอย่างยามอยู่ต่องหน้าผู้อาวุโสรองอีก สายตาเต็มไปด้วยความเคร่งขรึม “วันนี้ที่เรียกทุกคนมา ก็เพราะมีบางเรื่องจะประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน”

เฉียวเย่ว์ซานบอกว่า “พี่ใหญ่ ท่านเพิ่งหายจากป่วยหนัก มีเรื่องอะไรไว้รอท่านหายดีก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะ”

เฉียวเจิงเอ่ยด้วยสีหน้าซับซ้อนว่า “เจ้าเป็นห่วงข้าเพียงนี้ แต่ยามนั้นกลับต้องขับไล่บุตรสาวข้าออกจากตระกูลเฉียว ลำบากเจ้าแล้วจริงๆ”

ลมหายใจเฉียวเย่ว์ซานพลันหยุดชะงัก พี่ใหญ่เปลี่ยนไป! พี่ใหญ่เป็นคนซื่อตรงที่สุดแล้ว ยามเอ่ยขึ้นมาที เหตุใดถึงซ่อนเข็มไว้ในทุกคำพูดไปได้

หัวหน้าตระกูลคนก่อนหน้าถูกเหน็บแนม พวกผู้อาวุโสทั้งหลายที่ “สมรู้ร่วมคิด” กับเฉียวเย่ว์ซานพากันหันมองหน้ากัน

ผู้อาวุโสใหญ่เอ่ยว่า “เจิงเอ๋อร์เอ๋ย พวกเราตอนนั้นก็เพราะเชื่อในสิ่งที่เรือนรองใส่ร้าย คิดว่าเจ้าตายไปแล้วจริงๆ ข้าวของที่เรือนรองให้พวกเราด้วยความเคารพกตัญญู พวกเราก็คืนกลับไปให้จนหมดสิ้นแล้ว จริงหรือไม่ แม่หลานสาว”

ประโยคสุดท้าย แน่นอนว่าย่อมเอ่ยกับเฉียวเวย

เฉียวเวยยิ้มบางๆ “เวลานี้รู้ว่าข้าเป็นหลานสาวแล้วสินะ ตอนนั้นที่ขับไล่ข้าออกจากตระกูล เหตุใดถึงจำไม่ได้กันนะ”

ผู้อาวุโสใหญ่ถึงกับตอบไม่ถูก

เฉียวเจิงเอ่ยด้วยสีหน้าเป็นการเป็นงานว่า “ต่อให้ข้าตายไปแล้วจริงๆ แต่สมบัติของข้าก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกท่านบอกจะแบ่งก็แบ่งกันตามอำเภอใจได้ เหนือข้ามีมารดา ถัดจากข้าลงไปมีบุตร จะแบ่งอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับพวกนาง ใช่เรื่องที่พวกท่านจะตัดสินใจหรือ”

“ล้วนเป็นเพราะน้องคนรองของเจ้า…” ผู้อาวุโสสี่กระแอมให้ลำคอโล่ง “พวกเราเองก็ถูกบังคับจนทำอะไรไม่ได้”

เฉียวเจิงเอ่ยว่า “จะใช่เพราะถูกบังคับจนทำอะไรไม่ได้หรือไม่นั้น ข้าไม่สนใจ ข้าพูดถึงแค่เรื่องนี้ พวกท่านตัดสินใจผิดพลาด บกพร่อมต่อหน้าที่ผู้อาวุโส ข้าในฐานะประมุขตระกูล ขอตัดพวกท่านออกจากหน้าที่ผู้อาวุโส”

ผู้อาวุโสสี่พลันหน้าถอดสี “อะไรนะ เจ้า… เจ้าจะไล่พวกข้าออกจากตำแหน่งผู้อาวุโส?”

ผู้อาวุโสหกและเจ็ดเคยได้รับความเมตตาจากสองสามีภรรยาเฉียวเจิงมามาก แต่กลับตอบแทนด้วยการกระทำเช่นนี้ เวลานี้จึงไม่กล้ามีปากมีเสียงใดๆ

ผู้อาวุโสห้ากับเรือนใหญ่ มี “บุญคุณ” ต่อกันไม่มากนัก จึงลุกขึ้นยืนด้วยความไม่พอใจ “เฉียวเจิง พวกเราเป็นลุงของพวกเจ้ากันทุกคน เจ้าทำเช่นนี้ถือว่าไม่ถูกแล้วนะ เจ้าบอกว่าพวกเราตัดสินใจผิดพลาด ขอถามเจ้าว่าตัดสินใจผิดพลาดที่ตรงใดกัน ตรงที่เชื่อว่าเจ้าตายไปแล้วจึงจะแบ่งทรัพย์สมบัติของเจ้า หรือการที่ขับไล่บุตรสาวเจ้าออกจากตระกูล หากเป็นประการแรก ก็เพราะพวกเราถูกเรือนรองปิดหูปิตา อีกอย่างพวกเราก็คืนเงินทุกอย่างให้ไปตามที่ได้มาจนหมดสิ้น ซ้ำยังต้องแบกรับความกดดันมหาศาลเพื่อชิงตำแหน่งประมุขตระกูลกลับมาแทนเจ้า จากเรื่องเหล่านี้ เฉียวเจิง พวกเราไม่ได้ติดค้างอะไรเจ้าเลยนะ!”

หน้าไม่อาย! ใครที่ทนรับแรงกดดันเพื่อชิงตำแหน่งประมุขตระกูลกลับมาให้เฉียวเจิงกัน หากไม่ใช่นางที่ออกไปต่อสู้แทบตาย พวกเขาเหล่านี้จะยอมปล่อยให้หรือ

เฉียวเจิงรู้เรื่องที่ผ่านมาทั้งหมด จึงไม่ถึงขั้นถูกผู้อาวุโสห้าชักจูงไปได้ “ดี เรื่องสมบัติของข้า ข้าจะไม่พูดถึงอีก ข้าตายไปแล้ว แบ่งกันอย่างเท่าเทียบก็เป็นเรื่องสมควร”

“ก็ใช่น่ะสิ!” ผู้อาวุโสห้าได้ใจ

“แต่ว่า” เฉียวเจิงเอ่ยว่า “สินเดิมของภรรยาข้า พวกท่านไม่มีสิทธิ์ยุ่งเกี่ยว ถึงแม้จะขับไล่บุตรสาวข้าออกจากตระกูลไปแล้ว แต่สินเดิมส่วนนั้นก็ควรจะติดตัวนางออกจากตระกูลเฉียวไปด้วย เงินของนาง ร้านยาของนาง หอหลิงจือของนาง เลี้ยงดูปลิงดูดเลือดอย่างพวกท่านมาเป็นสิบปี พวกท่านไม่ใช่แค่ไม่ซาบซึ้งใจ แต่ยังไล่บุตรสาวนางออกไปอีก! เวลานี้พวกเรามาคุยเรื่องบุตรสาวของข้ากัน บุตรสาวของข้าเป็นผู้บริสุทธิ์ นางไม่เกี่ยวข้องอันใดกับยิ่นอ๋อง คืนวันนั้นนางอยู่กับใคร ข้ารู้ดีทุกอย่าง”

“อะไรนะ” ในโถงรับแขกพลันแตกตื่น

เฉียวเจิงเอ่ยด้วยความปวดใจว่า “บุตรสาวข้าถูกคนใส่ร้าย พวกท่านเพื่อรักษาตัวรอด จึงผลักนางออกไปรับผิดคนเดียว นี่ใช่สิ่งที่ผู้อาวุโสของตระกูลใหญ่ควรทำอย่างนั้นหรือ”

ผู้อาวุโสห้าหน้าซีด “เจ้า… เจ้าอย่าได้กล่าววาจาว่าร้ายกันนะ! ใครใส่ร้ายนางกัน ตอนนั้นบุตรสาวเจ้าเป็นคนยอมรับเอง!”

เฉียวเวยเอ่ยเรียบๆ ว่า “ข้ายอมรับหรือว่าถูกพวกท่านบังคับกันแน่ พวกท่านมีกันตั้งหลายคน คิดอยากเห็นข้าตกอับ ข้าบอกว่าข้าบริสุทธิ์ มีใครเชื่อหรือ ท่านเชื่อหรือ หรือว่าท่านเชื่อ หรือว่าท่าน? ท่าน? ท่าน? นอกจากผู้อาวุโสรองแล้ว มีใครบ้างที่ไม่บอกว่าข้าเป็นฝ่ายยั่วยวนยิ่นอ๋อง พวกท่านไม่อยากเห็นข้าได้ดี! พวกท่านใช้โอกาสนี้รุกไล่ข้า! พวกท่านขับไล่ข้าออกจากตระกูล จะได้ถือโอกาสฮุบสมบัติพ่อแม่ข้าเสีย!”

ผู้อาวุโสหกถูกนางต่อว่าจนหน้าหูแดงไปหมด

เฉียวเจิงเอ่ยอย่างเคร่งขรึมว่า “บุตรสาวข้ากับยิ่นอ๋องเป็นผู้บริสุทธิ์ ตั้งแต่ต้นจนจบมา นางไม่ได้ทรยศต่อการหมั้นหมายของนางเลย ข้าขอใช้ฐานะความเป็นประมุขตระกูล เพิกถอนตำแหน่งผู้อาวุโสของพวกท่าน”

ผู้อาวุโสใหญ่ทนดูต่อไปไม่ไหว “นี่มันเกินไปแล้วนะ! แต่ไหนแต่ไรมาตระกูลเฉียวไม่เคยมีการปลดออกจากหน้าที่ของผู้อาวุโสของตระกูลมาก่อน!”

“เวลานี้มีแล้ว” เฉียวเจิงบอก

ผู้อาวุโสใหญ่ “เจ้า…”

เฉียวเจิงเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “พวกเจ้าไม่มีสิทธิ์จัดการเรื่องต่างๆ ในจวนอีกต่อไป จะมอบตราคำสั่งผู้อาวุโสออกมาเองดีๆ หรือจะให้ข้าส่งคนไปเอามาให้”

ผู้อาวุโสสี่ตบโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืน “เฉียวเจิง เจ้าอย่าทำเกินไปนะ! พวกเราสามารถร่วมมือกันแต่งตั้งเจ้าได้ ก็มีสิทธิ์เอาเจ้าลงได้เช่นกัน! ผู้อาวุโสทุกท่าน พวกเจ้าว่าจริงหรือไม่”

ผู้อาวุโสห้า “ถูกต้อง! ปลดเจ้าลง! พวกเราจะตั้งเย่ว์ซานเป็นประมุขตระกูล!”

“เย่ว์ซานเป็นประมุขตระกูล!” ผู้อาวุโสสามตะโกนรับ “พวกข้าจะปลดเจ้า!”

เฉียวเจิงมองไปทางเฉียวปี้ “น้องสี่ รบกวนเจ้าไปแจ้งต่อทางการที”

ผู้อาวุโสสี่เอ่ยข่มขู่ “เจ้ากล้าไปแจ้งทางการหรือ!”

เฉียวเจิงมองอีกฝ่ายอย่างไม่มีเกรงกลัว “พวกท่านฮุบสินเดิมของภรรยาข้าไปเป็นของตน มีค่าเท่ากับการขโมย ไว้รอไปกินข้าวแดงในคุกเถอะ ผู้อาวุโสสี่”

[1] ผู้เฒ่าจันทรา เป็นเทพตามความเชื่อของลัทธิเต๋า เชื่อว่าเป็นเทพที่นำด้ายแดงมาผูกคนสองคนให้ได้มาเจอกัน