ตอนที่ 577 ศิษย์หมอผี
หยวนกังเดินผ่านด้านนอกศาลา
ซางซูชิงสังเกตเห็นจึงเดินออกมาจากข้างกายอิ๋นเอ๋อร์ ออกมาจากศาลาริมน้ำ เดินไปขวางหยวนกังแล้วเอ่ยถาม “มีข่าวจากทางเต้าเหยี่ยหรือไม่?”
เรื่องที่ตอนนี้แคว้นเยี่ยนต้องการโจมตีมณฑลหนานโจวมิใช่ความลับอันใด นางย่อมทราบเช่นกัน ในใจกังวลเป็นอย่างมาก
หยวนกังมองออกถึงความกังวลในแววตาของนาง จึงเอ่ยปลอบว่า “หากว่าสถานการณ์ยากจะควบคุมได้จริงๆ ไม่มีทางที่เต้าเหยี่ยจะไม่เตรียมการให้ทางเรา ตอนนี้ยังไม่ได้รับแจ้งข่าวใดๆ จากเต้าเหยี่ย แปลว่าสถานการณ์ยังไม่หลุดจากควบคุม ท่านหญิงสบายใจได้พ่ะย่ะค่ะ ในเมื่อเต้าเหยี่ยเดินทางไปที่จินโจวด้วยตัวเองแล้ว เขาก็ไม่มีทางนิ่งเฉย ต้องหาทางควบคุมสถานการณ์ไว้ได้แน่นอน ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรก็ยังไม่แน่ชัด แต่เต้าเหยี่ยมิใช่คนไร้ความสามารถ ท่านหญิงต้องเชื่อในตัวเต้าเหยี่ยเข้าไว้พ่ะย่ะค่ะ”
นับตั้งแต่ได้มณฑลหนานโจวมาครอบครอง อีกทั้งขับไล่สำนักหยกสวรรค์ออกไปแล้ว เขาก็โล่งใจเช่นกัน เยือกเย็นขึ้นมาก ไม่ได้กังวลขนาดนั้นอีกต่อไป
เท่าที่เขารู้จักเต้าเหยี่ยมา ด้วยความสามารถของเต้าเหยี่ยแล้ว เต้าเหยี่ยที่มีช่องให้ขยับขยายมากขึ้นไม่มีทางแย่ลงไปกว่าที่ผ่านมา
ซางซูชิงคิดตามก็พบว่าจริงดั่งว่า เต้าเหยี่ยคนนั้น หากเกิดปัญหาขึ้นมาจริงๆ ล่ะก็ เขาไม่มีทางละเลยทอดทิ้งทางนี้แน่นอน ตอนนี้ทางนี้ยังคงเรียบร้อยไม่มีปัญหา ก็แปลว่าไม่มีปัญหาใดๆ…
….
ณ สวนไม้เลื้อย ภายให้หอสูงที่มีโต๊ะยาวตัวหนึ่งตั้งอยู่ อวี้ชางนั่งอ่านหนังสืออยู่หลังโต๊ะ
ตู๋กูจิ้งเดินขึ้นหอมา เข้าไปหยุดด้านข้างแล้วนั่งคุกเข่าลง “อาจารย์ ทางจินโจวลงมือเรียบร้อยแล้วขอรับ”
อวี้ชางถาม “ไม่ได้เผยพิรุธใดออกไปใช่หรือไม่?”
ตู๋กูจิ้งตอบว่า “อพยพล่าถอยอย่างหมดจดแล้วขอรับ ไม่ได้ทิ้งร่องรอยใดๆ ที่เชื่อมโยงกับพวกเราไว้ แต่คนผู้นั้นออกจะใจกล้าเกินไปแล้วกระมัง เขาไม่กลัวแคว้นซ่งจะสงสัยเขาแล้วมาคิดบัญชีกับเขาบ้างหรือ?”
อวี้ชางกล่าวว่า “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้าคิดว่าเขาไร้พิษสงหรือไร? เขายังไม่กังวลเลย แล้วเจ้าจะกังวลไปไย?”
ตู๋กูจิ้งเอ่ยว่า “ความหมายของศิษย์คือ หากเขาถูกแคว้นซ่งเล่นงานจะสาวมาถึงพวกเราด้วยหรือไม่ขอรับ?”
อวี้ชางกล่าวว่า “หากไม่เข้าตาจนจริงๆ เขาไม่มีทางทำเช่นนั้นแน่นอน ตอนนี้อย่างน้อยๆ ก็มีเรื่องที่พวกเราวางใจได้แล้ว มีจุดอ่อนเช่นนี้อยู่ในมือพวกเรา เขาไม่กล้าเปิดเผยฐานะของพวกเราส่งเดชแน่นอน เมื่อดูจากเรื่องนี้แล้ว ข้ากลับหวังอยากให้เขาครองอำนาจในหนานโจวอย่างเบ็ดเสร็จโดยเร็ว เสี่ยงหน่อยก็ไม่เป็นไร ในอนาคตจะเป็นประโยชน์ต่อพวกเรา ใช่แล้ว ทางพระนางกับคุณชายเป็นอย่างไรบ้าง?”
ตู๋กูจิ้งตอบว่า “สบายดีขอรับ ตามที่ศิษย์น้องสิงซานรายงานมา คุณชายตั้งใจศึกษาเล่าเรียน พระนางใช้ชีวิตอิสระเสรี ได้รับการปรนนิบัติดูแลเป็นอย่างดี อยู่ทางนั้นพระนางเข้าออกได้อย่างอิสระ ออกจากหุบเขาไปเที่ยวอยู่บ่อยครั้ง มีคนคอยติดตามอารักขาตลอดขอรับ”
“เฮ้อ! อันว่าสตรีล้วนอดทนต่อความเหงาโดดเดี่ยวไม่ไหว” อวี้ชางถอนหายใจ ไม่มีอารมณ์อ่านหนังสือต่อแล้ว โยนหนังสือลงบนโต๊ะ เอ่ยถามว่า “ศิษย์หมอผีคนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง?”
ตู่กูจิ้งส่ายหน้า “ยื่นเทียบด้วยนามของท่านอาจารย์แล้ว แต่อีกฝ่ายก็ยังคงไม่ยอมพบขอรับ ศิษย์สงสัยว่าอาจจะกินปูนจึงร้อนท้อง จะใช่ศิษย์ของหมอผีจริงหรือไม่ก็ยังต้องลองคุยดูก่อน”
อวี้ชางเอ่ยว่า “ประกาศฐานะว่าเป็นศิษย์หมอผีอย่างโจ่งแจ้งเปิดเผย น่าจะมิใช่ตัวปลอม เว้นแต่หน่ายจะมีชีวิตอยู่แล้วเท่านั้น ต่อให้เป็นการแอบอ้างแต่ก็คาดว่าคงมีความเกี่ยวข้องกับหมอผีอยู่เช่นกัน ยื่นเทียบต่อไป หากครบสามครั้งแล้วยังไม่ยอมให้พบ ข้าจะลองไปหาเขาด้วยตัวเองดู”
“ขอรับ!” ตู๋กูจิ้งพยักหน้ารับ จากนั้นก็เอ่ยอย่างค่อนข้างฉงน “ในเมื่อเขาวางท่าไม่ยอมพบ แล้วไยท่านอาจารย์ต้องยอมลดเกียรติไปพบให้ได้เล่าขอรับ?”
อวี้ชางปรายตามองเขาเล็กน้อย “โอสถเทพระทม! ข้าก็อยากเห็นเช่นกันว่าคนผู้นี้ออกมาท่องโลกเพื่อฝึกฝนประสบการณ์ หรือว่าอยากจะเข้ามามีส่วนร่วมในคลื่นมรสุมด้วย โลกหล้าลึกล้ำ หวังว่าศิษย์หมอผีคนนี้จะปกป้องตัวเองไว้ได้”
ตู๋กูจิ้งมีสีหน้าเคร่งขรึม กระจ่างขึ้นมาแล้ว มีคนมากมายในหอจันทร์กระจ่างที่ถูกควบคุมไว้ด้วยโอสถเทพระทม โอสถเทพระทมยังไม่มียาถอนพิษอย่างเด็ดขาดได้ หมอผีจะสามารถถอนพิษโอสถเทพระทมได้หรือไม่ ทางนี้ก็ยังไม่ทราบ แต่ขนาดพิษของกุมารแดงก็ยังแก้ได้ ทำให้จำเป็นต้องกังวลเอาไว้ก่อน หากสามารถถอนพิษโอสถเทพระทมได้จริง เช่นนั้นก็เป็นปัญหาใหญ่แล้ว
ที่ผ่านมาไม่ต้องกังวล เนื่องจากหาตัวหมอผีพบได้ยาก อีกทั้งหมอผีก็ไม่มีทางลงมือช่วยรักษาง่ายๆ ทุกคนต่างทราบกันดีว่าหมอผีเจรจาด้วยยาก แต่ตอนนี้ศิษย์ของหมอผีกลับเผยตัวออกมาอย่างโจ่งแจ้ง หากสามารถถอนพิษได้จริง อีกทั้งอีกฝ่ายก็เผยตัวโดดเด่นอยู่ในที่แจ้งเช่นนี้ คนที่หอจันทร์กระจ่างควบคุมเอาไว้อย่างลับๆ จะต้องไปขอความช่วยเหลือแน่นอน นี่จะส่งผลกระทบต่อหอจันทร์กระจ่างอย่างใหญ่หลวงเอาได้
อาจารย์ทำเช่นนี้เพราะอยากไปลองหยั่งเชิงดูว่าศิษย์หมอผีคนนี้จะยอมทำการรักษาให้ง่ายๆ หรือไม่ แล้วจะแก้พิษได้หรือไม่ เพื่อให้เตรียมรับมือได้สะดวก
….
ณ เรือนหลังหนึ่งที่ดูไม่ค่อยโดดเด่นสะดุดตาในเมืองหลวงแคว้นฉี ทำเลที่ตั้งนับว่าเงียบสงบดี แต่ยามนี้กลับมีคนแห่มาหนาแน่น
นอกประตูใหญ่ที่ปิดสนิท มีข้ารับใช้ที่ถือเทียบนามของคหบดีชนชั้นสูงมายืนออกันอยู่เป็นกลุ่ม แต่ละคนจับตามองประตูบานใหญ่ที่ปิดสนิทอยู่
โดยรวมแล้วทุกคนยังคงรักษาความสงบไว้ ไม่ได้เสียงดังโวยวาย
มีเสียงฝีเท้าม้าแว่วดังมาจากหัวถนน บุรุษชุดม่วงเรือนร่างกำยำคนหนึ่งนั่งเหยียดตัวตรงอยู่บนหลังม้า ใบหน้าคมสันมีเหลี่ยมมุมชัดเจน บนศีรษะสวมกวานผมสีทองไว้
“เป็นซีย่วนต้าอ๋อง” ใครบางคนที่อยู่ในกลุ่มคนพึมพำออกมา
ซีย่วนต้าอ๋องเฮ่าอวิ๋นเซิ่งปรากฏตัวขึ้น ทำให้กลุ่มคนในตรอกพากันถอยแหวกออกเป็นสองฝั่ง เปิดทางให้
พอถึงหน้าประตูก็ลงจากม้า ขาข้างหนึ่งที่มีโครงโลหะดามไว้ ยามเดินเกิดเสียงดังกรอกแกรกๆ มองเห็นอาการเดินกะเผลกที่ผิดปกติได้ชัดเจน
คนที่มุงอยู่หน้าประตูก็หลบทางให้ทั้งสิ้น ยกที่พื้นที่ตรงหน้าประตูให้แก่เฮ่าอวิ๋นเซิ่ง
ผู้ติดตามคนหนึ่งของเฮ่าอวิ๋นเซิ่งก้าวขึ้นบันไดไปหมายจะเคาะประตู
เฮ่าอวิ๋นเซิ่งตวัดมือฟาดแส้เฆี่ยนม้าออกไปเสียงดังเพียะ! เฆี่ยนอาภรณ์ด้านหลังของเขาจนขาด ชี้แส้พลางตวาดว่า “ผู้ใดใช้ให้เจ้าวู่วามไปรบกวนท่านหมอ? ยื่นรออยู่หน้าประตูเสีย!”
“พ่ะย่ะค่ะ!” ผู้ติดตามที่ถูกเฆี่ยนไม่กล้าบ่น ถอยลงมารอคอยอยู่ที่ด้านล่างบันไดทันที
เฮ่าอวิ๋นเซิ่งก็ยืนรออยู่หน้าประตูอย่างเป็นจริงเป็นจังเช่นกัน มีความอดทนเป็นอย่างมาก มีมาดของนายทหารผู้เปี่ยมมารยาทอย่างยิ่ง
ก่อนหน้านี้เขาก็เคยส่งคนมายื่นเทียบเข้าพบเช่นกัน แต่อีกฝ่ายกลับไม่ไยดีท่านอ๋องอย่างเขาเลย
เขาก็โมโหมากเช่นกัน แต่พอนึกถึงภูมิหลังของคนที่อยู่ในเรือนผู้นี้แล้ว เขาก็ล่วงเกินไม่ได้เช่นกัน ได้แต่ต้องมาด้วยตัวเอง
ข้ารับใช้ของจวนต่างๆ ที่อยู่ในตรอกล้วนไม่กล้าปริปาก ถึงแม้จะถูกเขาแซงแถว แต่ใครใช้ให้เขาเป็นถึงซีย่วนต้าอ๋องแห่งแคว้นฉีเล่า
รอก็รอสิ การรอคอยนี้ล่วงเลยไปถึงช่วงใกล้ค่ำแล้ว มีพนักงานร้านอาหารคนหนึ่งหิ้วกล่องอาหารเข้ามาส่ง แต่ตกใจกับขบวนของซีย่วนต้าอ๋องที่เฝ้าอยู่หน้าประตู ไม่ค่อยกล้าเข้าไปใกล้
มีคนเข้ามาเอ่ยกระซิบข้างหูซีย่วนต้าอ๋องครู่หนึ่ง เฮ่าอวิ๋นเซิ่งกวักมือเรียกพนักงานคนนั้นเข้ามา เอ่ยถามว่า “มาส่งอาหารให้คนด้านในหรือ?”
พนักงานตอบด้วยความประหม่า “เรียนท่านอ๋อง ใช่พ่ะย่ะค่ะ แขกด้านในผูกปิ่นโตไว้กับร้านของพวกเราสามมื้อต่อวัน กระหม่อมรับผิดชอบจัดส่งอาหารพ่ะย่ะค่ะ”
เฮ่าอวิ๋นเซิ่งมือโบกมือสื่อว่าให้เขาเข้าไปเคาะประตู
พนักงานเดินขั้นบันไดไปเคาะประตูอย่างกล้าๆ กลัวๆ
ไม่นานนัก ประตูเปิดออกดังแอ๊ด สตรีชุดเขียวนางหนึ่งเปิดประตูออกครึ่งบาน หน้าตางามพริ้มเพรา ถือกล่องอาหารมาด้วยแลกเปลี่ยนกับกล่องอาหารในมือของพนักงาน
ขณะที่กำลังจะปิดประตูลง เฮ่าอวิ๋นเซิ่งรีบเข้าไปที่หน้าประตู ดันตัวพนักงานคนนั้นออกไปด้านข้าง ประสานมือเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ได้ยินว่าท่านหมออู๋ซินอยู่ที่นี่ ข้าพเจ้าเฮ่าอวิ๋นเซิ่งอยากขอเข้าพบท่านหมอ มารอคอยอยู่หน้าประตูนานมากแล้ว แม่นางช่วยเป็นตัวแทนไปแจ้งให้ทีได้หรือไม่?”
ซีย่วนต้าอ๋องแห่งแคว้นฉีมาด้วยตัวเองเชียวหรือ? ฝ่ายสตรีตกใจเล็กน้อย พยักหน้ารับ “คอยสักครู่” จากนั้นก็ปิดประตูลงอีกครั้ง
ภายในสวนที่ไม่กว้างนัก ภาพวาดเก่าคร่ำคราแผ่นหนึ่งแขวนอยู่บนกิ่งไม้ เป็นภาพร่างบุคคลที่ไม่มีความวิจิตรใดๆ เป็นภาพร่างกายมนุษย์ที่ถูกถลกหนังออกไป ชั้นผิวกล้ามเนื้อใต้ผิวหนังถูกวาดไว้อย่างสมจริง ดูค่อนข้างน่ากลัว
อู๋ซินนั่งอยู่ด้านล่างภาพวาด กำลังเล่นดินเหนียวก้อนหนึ่งอยู่ กล่าวให้ชัดเจนคือกำลังใช้ดินเหนียวก่อเค้าโครงขึ้นตามร่างมนุษย์ในภาพ
“ท่านหมอ อาหารมาแล้วเจ้าค่ะ” หญิงสาวที่กลับมาถึงเอ่ยแจ้ง
สตรีนางนี้มีนามว่ากัวม่าน เป็นสตรีที่อู๋ซินช่วยเหลือไว้นางนั้น ระหว่างทางหลังจากที่พูดคุยทำความรู้จักกันไปเล็กน้อย อู๋ซินบอกว่าข้างกายยังขาดผู้ช่วยอยู่ ถามนางว่ายินดีจะติดตามเขาหรือไม่
แรกเริ่มกัวม่านค่อนข้างลังเล ภายหลังพอทราบว่าเขาคือศิษย์ของหมอผีก็รีบตอบรับทันที
เมื่อมาอยู่ในเมืองหลวงแคว้นฉีแห่งนี้ นับว่านางได้รู้ซึ้งถึงบารมีของหมอผีแล้ว ผู้ดีมีอำนาจมากมายอยากจะพบศิษย์หมอผีคนนี้ยังคงยากเย็นเหลือเกิน
อู๋ซินตอบอืมคำหนึ่ง กัวม่านเดินเข้าไปใกล้แล้วกล่าวว่า “ท่านหมอ ซีย่วนต้าอ๋องเฮ่าอวิ๋นเซิ่งแห่งแคว้นฉีมารอด้านนอกด้วยตัวเอง คอยอยู่นอกประตูนานแล้ว ต้องการเข้าพบท่านหมอเจ้าค่ะ”
อู๋ซินไม่ตอบ กัวม่านเข้าใจแล้ว ถือกล่องอาหารเดินเข้าไปในศาลาด้านข้าง ยกอาหารออกมาจัดวางไว้บนโต๊ะศิลา
จากนั้นนางก็ไปตักน้ำจากในบ่อมา “ท่านหมอ ล้างมือกินข้าวเถิดเจ้าค่ะ”
จู่ๆ อู๋ซินก็เอ่ยขึ้นว่า “ให้เขาเข้ามา”
“หือ?” กัวม่านผงะไปเล็กน้อย จากนั้นถึงได้เข้าใจความหมาย หันหลังเดินออกไป
ผ่านไปสักพักหนึ่ง มีเสียงดังแกรกๆ แว่วดังขึ้นภายในบ้าน เฮ่าอวิ๋นเซิงเข้ามาแล้ว เขาไม่ได้พาผู้ติดตามมาด้วยมากมายนัก อนุญาตให้เขาพาผู้ติดตามเข้ามาด้วยคนเดียวเท่านั้น
“ข้าพเจ้าเฮ่าอวิ๋นเซิง คารวะท่านหมอ” เฮ่าอวิ๋นเซิ่งเดินเข้าไปหยุดด้านข้างเอ่ยทักทายอย่างให้เกียรติ
อู๋ซินไม่สนใจ ตั้งใจขึ้นรูปงานปั้นดินเหนียวในมือต่อไป
ภาพนี้ทำให้เฮ่าอวิ๋นเซิ่งค่อนข้างกระอักกระอ่วน มองงานปั้นดินเหนียวในมืออีกฝ่าย จากนั้นก็มองภาพวาดที่แขวนไว้แผ่นนั้น ไม่มีอะไรจะพูดก็ยังสรรหาคำพูดมาชมเชยจนได้ “ฝีมือท่านหมอเลิศล้ำโดยแท้”
อู๋ซินเปิดปากแล้ว “อย่าพูดเรื่องไร้สาระเหล่านั้นเลย มีเรื่องใดก็ว่ามาตามตรง”
เฮ่าอวิ๋นเซิ่งก็ไม่กล้าแสดงความไม่พอใจใดๆ ออกมา เขาลูบขาที่พิการข้างนั้นของตน เอ่ยว่า “หลังจากได้รับบาดเจ็บ ขาข้างนี้ของข้าก็พิการไป ได้ยินว่าท่านหมอมีฝีมือรักษาน่าอัศจรรย์ รบกวนท่านหมอช่วยตรวจอาการให้ทีได้หรือไม่? ไม่ว่าจะสามารถกลับมาเดินเหินเป็นปกติได้หรือไม่ ขอเพียงท่านหมอยินดีตรวจรักษา เรื่องค่าใช้จ่ายไม่ใช่ปัญหาเลย!”
อู๋ซินเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย จ้องมองขาข้างนั้นของเขาที่ต้องมีโครงโลหะช่วยพยุงถึงจะสามารถยืนอยู่ได้ เขาชูนิ้วเปื้อนโคลนขึ้นมานิ้วหนึ่งชี้ไม้ชี้มือส่งสัญญาณ
เฮ่าอวิ๋นเซิ่งตอบสนองไม่ทัน จนกระทั่งกัวม่านยกเก้าอี้ตัวหนึ่งเข้ามาแล้วส่งสัญญาณบอก เขาถึงได้เข้าใจว่ามีความหมายอย่างไร รีบกวักมือเรียกผู้ติดตามมาช่วยทันที นั่งลงบนเก้าอี้แล้วถอดโครงโลหะบนขาออก ถอดรองเท้าและถุงเท้าออก พับขากางเกงขึ้นไป
กัวม่านตักน้ำเข้ามาช่วยล้างมือทั้งสองข้างของอู๋ซินจนสะอาด จากนั้นก็ไปหยิบแผ่นหนังม้วนหนึ่งเข้ามาตามที่อู๋ซินสั่ง
เมื่อกางม้วนหนังออก อู๋ซินเลือกหยิบเข็มเงินเล่มหนึ่งขึ้นมา ยื่นมือไปลูบๆ บีบจับขาข้างนั้นของเฮ๋าเซิ่งที่มีรอยแผลเป็นชวนให้ตกใจ จากนั้นเตรียมตัวลงเข็ม ก่อนจะฝังเข็มได้เอ่ยเตือนว่า “หากรู้สึกเจ็บให้บอก”
“ตกลง!” เฮ่าอวิ๋นเซิ่งพยักหน้ารับถี่ๆ
พอเอ่ยจบ อู๋ซินก็ปักเข็มลงไปทันที
เฮ่าอวิ๋นเซิ่งเอ่ยว่า “เหมือนมดกัด ไม่ถึงขั้นเจ็บ”
อู๋ซินดึงเข็มออกแล้วปักลงไปอีกครั้ง ปักๆ ดึงๆ อยู่สิบกว่าที เฮ่าอวิ๋นเซิ่งล้วนบอกว่าไม่เจ็บเลย
ขณะที่เขากำลังแปลกใจว่าเหตุใดตนถึงไม่รู้สึกเจ็บปวดใดๆ ในบริเวณที่ฝังเข็มลงไปเลย ผู้ใดจะคาดว่าในตำแหน่งถัดไปที่ทำการฝังเข็มพลันเกิดความรู้สึกเจ็บปวดรุนแรงแล่นพล่านขึ้นมาในทันใด อยากจะสะบัดถีบขาขึ้นมาวูบหนึ่ง จนใจที่หลังจากขาข้างนี้พิการก็ไม่สามารถยกถีบได้อีก เขารีบร้องขึ้นว่า “เจ็บ ท่านหมอ เจ็บ!”
อู๋ซินถอนเข็มแล้วลุกขึ้นยืน เอ่ยว่า “กระดูกและเส้นประสาทส่วนหนึ่งเสียหายไปแล้ว ปล่อยทิ้งไว้นานเกินไป คิดจะฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ หากอยากรักษาให้หายดีต้องเชื่อมเส้นประสาทส่วนหนึ่งให้กลับมาประสานกันอีกครั้ง ยากจะฟื้นฟูให้หายดีภายในระยะเวลาสั้นๆ ได้ ต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งปี”
พอได้ยินว่าสามารถรักษาให้หายดีได้ เฮ่าอวิ๋นเซิ่งดีใจอย่างยิ่ง รีบลุกขึ้นมาด้วยการพยุงของผู้ติดตาม ประสานมือกล่าวว่า “ขอเพียงรักษาให้หายได้ก็พอ ข้าเฝ้ารอมานานหลายปีขนาดนี้ได้ ไหนเลยจะใส่ใจระยะเวลาเพียงครึ่งปี ท่านหมอโปรดช่วยรักษาให้ข้าด้วยเถิด!”
อู๋ซินตอบว่า “รักษาให้ท่านน่ะได้ แต่นอกประตูบ้านข้าเสียงดังเอะอะเกินไป ข้าไม่ชอบที่มีคนมากมายขนาดนี้มาขวางอยู่หน้าประตูบ้านข้า”
เฮ่าอวิ๋นเซิ่งพลันเอ่ยด้วยสีหน้าขุ่นข้องคล้ายอยากจะผดุงความยุติธรรม “มันจะมากเกินไปแล้ว มาออกันอยู่หน้าบ้านคนอื่นทั้งวันมันใช้ได้เสียที่ไหน? ท่านหมอโปรดวางใจ นับจากวันนี้ไป ข้ารับประกันว่าไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีกเด็ดขาด!”