วันถัดมาอลันก็นัดวาเทอร์ออกมาพบ วาเทอร์เห็นอลันก็รู้สึกสงสัยมาก

“สวัสดีครับ ไม่ทราบว่าผมรู้จักคุณเหรอครับ?”

อย่ามองว่าวาเทอร์นิสัยแย่อย่างเดียว เพราะเมื่อถึงเวลาที่ต้องเสแสร้งเขาก็แสดงเก่งมากเลยล่ะ

ถ้าหากอลันไม่ได้ตรวจสอบมาก่อนล่วงหน้า เห็นท่าทางเคร่งครัดของผู้ชายคนนี้ต้องคิดว่าเขาเป็นคนดีแน่นอน แต่ตอนนี้เพียงแต่รู้สึกดูถูกเขา

อลันผายมือออกไป เพื่อบ่งบอกให้วาเทอร์นั่งลง เขายิ้มแล้วพูดกับวาเทอร์ว่า :

“คุณไม่ต้องสนหรอกว่าผมเป็นใคร คุณรู้แค่ว่าผมสามารถหาผลประโยชน์ให้คุณได้ก็พอแล้ว”

วาเทอร์มองรอยยิ้มนี้ของอลัน ก็เหงื่อตก รู้สึกว่าคนคนนี้ร้ายกาจน่าดู แต่วาเทอร์ยังคงเสแสร้งทำท่าทางวางมาด

อลันเห็นท่าทางของวาเทอร์ ก็รู้สึกดูถูกเหยียดหยามเขามาก

“คุณวาเทอร์ ผมรู้ว่าตอนนี้คุณกำลังร่วมมือกับคนของบริษัทลี่ซื่อกรุ๊ปอยู่ อีกอย่างพวกเขายังรับปากด้วยว่าหลังจากงานสำเร็จแล้ว จะแบ่งกำไรให้คุณห้าเปอร์เซ็นต์”

วาเทอร์ได้ยินเรื่องที่ตัวเองทำข้อตกลงกับลี่หยูนห่วนและลี่หุย ก็ตกใจ ร้อนรนจนหน้าแดงขึ้นมา

“คุณเป็นใคร? ทำไมคุณถึงได้รู้เรื่องนี้?”

วาเทอร์พูดจบก็มองไปรอบ ๆ ด้วยความรีบร้อน กลัวมีคนอื่นมาได้ยินเข้า

“คุณไม่ต้องกลัวไปหรอก เรื่องนี้ไม่มีคนอื่นรู้ ที่ผมมาหาคุณ ก็แค่ต้องการเจรจากับคุณ ข้อตกลงระหว่างคุณกับพวกเขาสุดท้ายคุณจะได้ส่วนแบ่งแค่ห้าเปอร์เซ็นต์ แต่ผมให้คุณสิบห้าเปอร์เซ็นต์ ตอนนี้ผมจะให้คุณก่อนสิบล้านเป็นค่าปลอบขวัญ คุณคิดว่าไง?”

“สิบล้าน?” วาเทอร์อุทานออกมา แต่ก็ปรับสีหน้าให้เป็นปกติในทันที แล้วแสร้งทำเป็นจัดแจงเสื้อผ้า ทำท่าเหมือนไม่สนใจเท่าไหร่

“พูดมาสิ ว่าต้องการให้ผมทำอะไร”

“แกล้งทำเป็นหยุดร่วมงานกับบริษัทลี่ซื่อกรุ๊ป หรือไม่ก็คอยขัดขวางไม่ให้ร่วมมือกันได้สำเร็จ ผมเชื่อว่าคุณมีวิธี”

อลันยื่นข้อเสนอที่ดีขนาดนี้ให้ วาเทอร์ไม่มีทางปฏิเสธแน่นอน แต่ยังคงวางมาดเหมือนเดิม แสร้งทำเป็นตอบตกลงอย่างไม่เต็มใจ แต่ที่จริงในใจนั้นดีใจเหลือล้น

หลังจากที่วาเทอร์และอลันแยกย้ายกันแล้ว เขาก็โทรศัพท์ไปหาลี่หุย บอกลี่หุยว่าแผนงานมีปัญหา คงต้องยืดเวลาเรื่องความร่วมมือออกไปก่อน

ลี่หุยได้ยินที่วาเทอร์พูดก็รู้สึกเสียใจขึ้นมา และรู้สึกโกรธมากด้วย

ขณะเดียวกัน ลี่จุนซินก็กำลังพาเวียร์ไปเที่ยวทั่วเมือง

เมื่อคืนหลังจากลี่จุนซินกลับบ้าน ก็ได้รับสายจากเวียร์ เขาให้เธอพาเขาไปยังที่ที่เขาอยากไปมาตลอด

ลี่จุนซินตอบตกลงด้วยความยินดี

หลังจากลี่จุนซินวางสาย ก็รีบวิ่งไปที่ห้องแต่งตัว แล้วเลือกเสื้อผ้าที่ตัวเองถูกใจออกมา ลองใส่ชุดแล้วชุดเล่า แล้วก็ลองกับเครื่องประดับต่าง ๆ ทีละชุดทีละชิ้น

หลังจากที่ลองรองเท้าส้นสูงและลองสวมใส่กระโปรงไปหลายตัว ก็คิดได้ว่าพรุ่งนี้ไปเที่ยวเป็นเพื่อนเวียร์ ต้องเดินเยอะแน่นอน ถ้าใส่รองเท้าส้นสูงคงเหนื่อยแย่เลย

จากนั้นลี่จุนซินก็หันไปมองมุมห้องแต่งตัว ตรงนั้นมีรองเท้าผ้าใบที่ตัวเองไม่ได้สวมใส่นานมากแล้ววางอยู่ ถึงแม้ตัวเองจะซื้อของใหม่ทุกฤดูกาล แต่ปกติก็แทบไม่มีโอกาสได้ใส่

ลี่จุนซินหยิบเอาชุดลำลองที่ตัวเองไม่ได้ใส่นานแล้วออกมา เอาพวกมันวางไว้ด้วยกัน เพื่อมองให้เห็นภาพเวลาสวมใส่เข้าชุด ก็รู้สึกว่าตัวเองเหมือนได้ย้อนไปยังสมัยวัยรุ่นอีกครั้ง เลยรู้สึกมีความสุขมาก

เช้าวันถัดมา ลี่จุนซินตื่นแต่เช้ามาแต่งหน้าแต่งตัว วันนี้แต่งหน้าอ่อน ๆ เพื่อให้เข้ากับเสื้อผ้าที่สวมใส่ในวันนี้ แล้วม้วนผมยาว ๆ ของตัวเองให้เป็นลอน ๆ ดูอ่อนวัยและสวยงามมาก

ตอนที่เวียร์เห็นลี่จุนซิน ดวงตาก็เป็นประกาย แล้วก้มหน้ามองเสื้อผ้าของตัวเองแวบหนึ่ง จากนั้นก็ยิ่งยิ้มมีความสุขมากขึ้นไปอีก

ลี่จุนซินเห็นเสื้อผ้าที่ทั้งสองคนสวมใส่ ก็อดหน้าแดงไม่ได้

ที่แท้เวียร์และลี่จุนซินก็ใส่เสื้อยืดสีขาวยี่ห้อเดียวกันแบบเดียวกัน เสื้อคลุมก็สีดำล้วนเหมือนกัน ท่อนล่างสวมกางเกงยีนสบาย ๆ เก้าส่วน และรองเท้าผ้าใบสีขาว

ทั้งสองคนแต่งตัวเหมือนคู่รักไม่มีผิด ลี่จุนซินเดิมทีก็ไม่ได้เตี้ย เมื่อยืนเคียงข้างเวียร์ที่ตัวสูงใหญ่ก็เหมาะสมกันมาก ในสายตาคนอื่นที่มองสองคนนี้ต่างก็รู้สึกว่าเหมาะสมกันมาก

เวียร์เห็นลี่จุนซินเขินอาย ก็ยิ่งดีใจมาก เขาค่อย ๆ โน้มตัวลงไป เอามือข้างหนึ่งไว้ด้านหลัง ส่วนมืออีกข้างยื่นไปตรงหน้าลี่จุนซินอย่างสุภาพบุรุษ

“คุณผู้หญิงคนสวยครับ คุณพร้อมที่จะออกไปข้างนอกเป็นเพื่อนผมหรือยังครับ?”

ลี่จุนซินหน้าแดงพยักหน้าตอบรับ แล้ววางมือตัวเองลงบนมือของเวียร์

เวียร์จูงมือของลี่จุนซิน เดินไปยังข้าง ๆ รถ แล้วเปิดประตูรถให้เธอ คอยประคองให้เธอขึ้นรถด้วยท่าทางที่ดูเป็นสุภาพบุรุษมาก จากนั้นตัวเองก็เดินอ้อมหน้ารถมายังฝั่งคนขับ

หลังจากที่เวียร์เข้ามานั่งแล้ว ก็จ้องลี่จุนซินตลอดเวลา แล้วจู่ ๆ เขาก็โน้มตัวเข้าไปใกล้ลี่จุนซิน ลี่จุนซินตกใจ คิดว่าเวียร์จะทำอะไรเธอ สายตาจึงมองไปรอบ ๆ อย่างลนลาน

เวียร์เห็นท่าทางลนลานของลี่จุนซิน ก็ยิ่งยิ้มกว้างออกมา

“เข็มขัดนิรภัยครับ”

ลี่จุนซินได้ยิน ก็อายจนโกรธ เลยยื่นมือดันเวียร์ออกไป จากนั้นตัวเองก็คาดเข็มขัดนิรภัยเอง

ท่าทางแบบนี้ของลี่จุนซิน ถูกใจเวียร์มาก เลยกลั้นหัวเราะไว้ไม่ได้ ลี่จุนซินจึงจ้องหน้าเขาแวบหนึ่ง แล้วไม่สนใจเขาตลอดทาง

ระหว่างทาง เวียร์ง้อลี่จุนซินอยู่นานมาก จนในที่สุดลี่จุนซินก็ยอมสนใจเขา

สถานที่แรกที่พวกเขามากันก็คือพระราชวังฤดูร้อนของเมืองจิ่งเฉิง เมืองจิ่งเฉิงเป็นเมืองหลวงของประเทศจีน เป็นเมืองกลุ่มแรกของประเทศที่มีชื่อเสียงด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม และเป็นเมืองที่มีมรดกโลกทางวัฒนธรรมมากที่สุดในโลกอีกด้วย มีสถานที่ที่มีชื่อเสียงมากมายที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่าสามพันปี เช่น พระราชวังต้องห้าม หอสักการะฟ้าเทียนถาน พระราชวังฤดูร้อน เป็นต้น

ถึงแม้เวียร์เป็นคนต่างชาติ แต่ก็สนใจในประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของประเทศจีนมาก

พระราชวังฤดูร้อนเป็นวังและสวนขนาดใหญ่ของราชวงศ์ในประเทศประเทศจีนสมัยโบราณ ได้เรียนรู้เทคนิคการออกแบบจากสวนเจียงหนานมาสร้างเป็นสวนขนาดใหญ่ที่มีภูมิทัศน์เป็นภูเขาและน้ำ

เวียร์และลี่จุนซินได้ไปล่องเรือในทะเลสาบด้านในก่อน ทั้งคู่นั่งอยู่บนเรือลำเล็ก ลอยไปมาอย่างสบายใจมาก

ทั้งสองคนหันหน้ารับสายลมอ่อน ๆ มองวิวทิวทัศน์รอบ ๆ ลี่จุนซินชี้นิ้วพลางอธิบายสิ่งก่อสร้างที่อยู่ริมทะเลสาบให้เวียร์ฟังอยู่เรื่อย ๆ ทั้งคู่ดูสนิทสนมกลมเกลียวกันมาก มีนักเรียนและช่างภาพหลายคนที่ยืนชมวิวอยู่รอบ ๆ เห็นเข้าก็อดไม่ได้ที่จะถ่ายรูปพวกเขาเก็บไว้

ทั้งสองคนทำให้สีสันของทิวทัศน์แห่งนี้ต่างไปจากเดิม

เมื่อใกล้ถึงตอนเที่ยง ลี่จุนซินก็พาเวียร์ไปยังถนนคนเดินที่ขึ้นชื่อมากสุดที่อยู่ใกล้ ๆ เมืองจิ่งเฉิง เพื่อทานอาหารดั้งเดิมของเมืองจิ่งเฉิง

ถนนคนเดิน เต็มไปด้วยผู้คนคับคั่ง เพื่อไม่ให้ตัวเองและเวียร์พลัดหลงกัน ลี่จุนซินจึงได้จับข้อมือของเวียร์ไว้แล้วเดินไปข้างหน้า เวียร์รู้สึกได้ว่าลี่จุนซินกำลังจูงข้อมือตัวเองอยู่ ถึงแม้ไม่ใช่มือ แต่ก็รู้สึกชอบใจเป็นอย่างมาก

แต่ว่า คนเยอะมากไป สุดท้ายทั้งคู่ก็ถูกเบียดจนพลัดหลงกันอยู่ดี

ลี่จุนซินร้อนใจมาก เธอหันไปมองรอบ ๆ เพื่อหาเวียร์

ทันใดนั้นก็มีคนเบียดลี่จุนซินเข้ามา จนทำให้เธอเซล้มไปในอ้อมกอดที่อบอุ่นของคนคนหนึ่ง เมื่อลี่จุนซินเงยหน้าขึ้นเพื่อจะขอบคุณเขา ก็พบว่าเป็นเวียร์นั่นเอง

เวียร์ยิ้มพลางก้มหน้ามองลี่จุนซินที่อยู่ในอ้อมกอดตัวเอง แล้วก็ได้กลิ่นหอมโชยมาจากตัวของลี่จุนซิน ช่างหอมสดชื่นมากเหลือเกิน

ทั้งคู่ต่างไม่ได้ขยับตัว รู้สึกเหมือนเวลาได้หยุดนิ่งลง เหมือนบนโลกนี้มีเพียงพวกเขาแค่สองคนเท่านั้น