ตอนที่ 570 จับอู๋เสี่ยวเถา

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 570 จับอู๋เสี่ยวเถา

ถึงตอนนี้โรงงานจะเข้าสู่โหมดการทำงานล่วงเวลาอีกครั้ง แต่ในฐานะดีไซน์เนอร์แล้ว ความจริงเถาจืออวิ๋นไม่จำเป็นต้องทำงานล่วงเวลาเลย

หล่อนถูกขอให้ทำงานล่วงเวลาเป็นครั้งคราวเท่านั้น เว้นแต่ว่าจะอยู่เปลี่ยนเวรกับเหรินเป่าจูและโฮ่วซินอี้ที่เหนื่อยเกินไป

หลังจากเลิกงานในวันนี้ เถาจืออวิ๋นก็สะพายกระเป๋าเตรียมตัวกลับบ้าน

ทันทีที่เดินออกจากประตูโรงงานตัดเสื้อ หล่อนก็เห็นเด็กสาวสวมกระโปรงผ้าฝ้ายสีแดง ใช้ผ้าพันคอสีแดงพันปิดบังรอบศีรษะและใบหน้าเหมือนแม่ไก่

ใบหน้าของหญิงสาวคนนี้มีดวงตาคู่เดียวโผล่ออกมาเท่านั้น ไม่สามารถบอกได้ว่าหล่อนมีลักษณะอย่างไร

แต่เมื่อสังเกตจากเสื้อผ้าและรูปร่างของอีกฝ่าย เถาจืออวิ๋นก็จำผู้หญิงคนนี้ได้อย่างรวดเร็ว หล่อนเห็นผู้หญิงคนนี้มาเดินเตร็ดเตร่อยู่รอบโรงงานสามวันติดต่อกันแล้ว

ถึงอีกฝ่ายจะไม่ได้ทำอะไรเลย แต่เถาจืออวิ๋นก็รู้สึกไม่สบายใจทุกครั้งที่เห็นหล่อน และมักจะรู้สึกว่าหล่อนต้องมีเจตนาไม่ดีต่อโรงงานแน่

พอนึกขึ้นได้แบบนี้ เถาจืออวิ๋นก็เดินไปหาหญิงสาวที่ไม่ยอมเปิดเผยใบหน้าของตัวเองด้วยสีหน้าราบเรียบ

หญิงสาวกำลังเดินด้อม ๆ มอง ๆ ไปทางโรงงานเป็นครั้งคราว ทันใดนั้นก็เห็นว่าเถาจืออวิ๋นกำลังเดินตรงมาหาหล่อน

หล่อนนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินจากไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อเห็นแบบนั้น เถาจืออวิ๋นก็ตัดสินได้ทันทีว่าผู้หญิงคนนี้ต้องมีอะไรผิดปกติ

หล่อนร้องตะโกน “หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”

ยิ่งได้ยินแบบนั้นหญิงสาวก็ยิ่งวิ่งเร็วขึ้น

เถาจืออวิ๋นเริ่มกระวนกระวาย ร้องตะโกน “จับโจร! ใครก็ได้มาจับโจรเร็วเข้า!”

ลุงยามเฝ้าประตูก็ตะโกนเสียงดัง “จับโจร! ทุกคนมาช่วยกันจับโจรเร็ว!” จากนั้นเขาก็รีบวิ่งออกไปตะครุบตัวผู้หญิงคนนั้น

หญิงสาวเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นอีก แต่ถูกติงไห่เฟิงซึ่งรีบพุ่งตัวออกมาหลังจากได้ยินเสียงตะโกนวิ่งออกทางขวางไว้เสียก่อน

เมื่อเห็นว่าข้างหน้ามีคนขวาง ข้างหลังก็มีคนไล่ตามมา หญิงสาวจึงตัดสินใจหันหลังกลับ แล้ววิ่งไปทางซ้ายด้วยความสิ้นหวัง

ติงไห่เฟิงรีบวิ่งตาม เอื้อมไปคว้าแขนหล่อนไว้ได้ข้างหนึ่ง จากนั้นก็ฉุดกระชากลากตัวหล่อนเข้าไปในโรงงาน

หญิงสาวดิ้นรนสุดแรงพร้อมกับตะโกน “ไอ้บ้า ปล่อยนะโว้ย…”

ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อ ติงไห่เฟิงก็สับสันมือลงไปที่ต้นคอหล่อน ทำให้หญิงสาวล้มพับหมดสติไปทันที

พอตื่นขึ้นอีกครั้ง ก็พบว่าตัวเองถูกพาเข้าไปอยู่ในห้องทำงานของติงไห่เฟิง และถูกปล่อยให้นอนอยู่บนพื้นคอนกรีตเย็นเฉียบ

ติงไห่เฟิงนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน จ้องเขม็งมองเธอด้วยสายตาเย็นชา

สหายน้องชายของเขาที่อยู่รอบ ๆ ก็จ้องมองหล่อนราวกับเป็นสัตว์ร้ายที่พร้อมจะขย้ำกระต่ายขาวตัวน้อย ทำให้เส้นขนลุกชันไปทั้งร่าง

หญิงสาวถามด้วยความตื่นตระหนก “พวกแกเป็นใคร? ทำไมถึงจับฉันมาที่นี่?”

ติงไห่เฟิงตบโต๊ะข่มขวัญทันใด “พวกเราจะเป็นใครไม่สำคัญ เธออธิบายมาก่อนสิว่าตัวเองเป็นใคร ไม่งั้นก็อย่ามาหาว่าพวกเราหยาบคายกับเธอ!”

หญิงสาวยอมปริปากบอกชื่อตัวเองด้วยความอับอาย “ฉัน… ฉันชื่อหวังซิ่งฮวา”

หลินม่ายผลักประตูเปิดเข้ามาพร้อมกับพูดว่า “เธอใช้แซ่หวัง ชื่อซิ่งฮวางั้นเหรอ? ทำไมฉันถึงคลับคล้ายคลับคลาว่าเธอใช้แซ่อู๋ ชื่อเสี่ยวเถากันล่ะ เธอไม่ใช่ลูกสาวแท้ ๆ ของพ่อตัวเองหรอกเหรอ? อยู่ดี ๆ ก็เปิดเผยภูมิหลังของตัวเองออกมาซะอย่างนั้น ที่แท้เธอก็เป็นลูกสาวของลุงหวังเหล่าหวู่ที่อยู่ข้างบ้านสินะ?”

ทุกคนต่างหัวเราะขบขัน

หญิงสาวที่ถูกจับตัวได้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากอู๋เสี่ยวเถา

ทันทีที่ติงไห่เฟิงจับตัวหล่อนได้ เขาก็รีบโทรหาหลินม่ายทันที เพื่อแจ้งว่าเขาจับบุคคลที่น่าสงสัยได้แล้ว และขอให้เธอมาดูด้วยตัวเอง

พอหลินม่ายมาถึง ก็เห็นว่าบุคคลน่าสงสัยที่นอนสลบอยู่คนนั้นก็คืออู๋เสี่ยวเถานั่นเอง จึงเข้ามาเปิดโปงหล่อนทันที

อู๋เสี่ยวเถาตัวสั่นเทาเมื่อเห็นหลินม่าย

ติงไห่เฟิงรีบลุกยืนขึ้น คิดจะส่งมอบเก้าอี้ให้หลินม่ายนั่ง

หลินม่ายโบกมือ “ไม่ต้อง นายนั่งต่อเถอะ”

จากนั้นเธอก็ขอให้สหายน้องชายอีกคนช่วยเลื่อนเก้าอี้อีกตัวมาให้ แล้วนั่งลงข้างโต๊ะของติงไห่เฟิง

เธอพาดขานั่งในท่าไขว่ห้างอย่างสง่างาม ส่งสายตาเย็นชามองไปที่อู๋เสี่ยวเถาซึ่งตอนนี้เอาแต่หลบหน้าหลบตา “บอกมาซิ เธอมีความคิดชั่วร้ายอะไรอยู่ในใจ ถ้าสารภาพความจริงมาตั้งแต่ตอนนี้ บางทีฉันอาจจะหาทางออกให้เพราะเห็นแก่ความซื่อตรงของเธอ แต่ถ้าไม่ ฉันก็จะส่งเธอเข้าไปกินข้าวแดงกับพ่อแม่และพี่ชายของเธอในคุก”

ใบหน้าของอู๋เสี่ยวเถาซีดเผือดลงด้วยความตกใจ

หล่อนรู้ดีว่าหลินม่ายโหดเหี้ยมแค่ไหน เธอสามารถลงมือทำในสิ่งตัวเองพูดได้อย่างแน่นอน ทั้งพ่อแม่และพี่ชายของหล่อนที่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับหลินม่าย มีใครชนะบ้าง?

หล่อนไม่ต้องการเดินตามรอยเท้าพวกเขา

หล่อนนั่งลงกับพื้น พูดพึมพำว่า “ฉันไม่มีความคิดชั่วร้ายอะไรทั้งนั้น ฉันแค่อยากมาหาพี่ เพราะอยากให้พี่รับฉันเข้าทำงานโรงงานของพี่เท่านั้น”

คำพูดของหล่อนฟังดูมีน้ำหนักมากจนหลินม่ายเกือบหลงเชื่อหล่อนอยู่แล้วเชียว

แต่เพราะเธอได้เกิดใหม่อีกครั้ง มีหรือจะไม่รู้ว่าอู๋เสี่ยวเถาเป็นคนอย่างไร หล่อนก็ไร้คุณธรรมเช่นเดียวกับพ่อแม่และพี่ชายของหล่อนนั่นแหละ พวกเขาเหล่านี้ล้วนเป็นคนใจร้าย เอาความอาฆาตพยาบาทเป็นที่ตั้ง

ครั้งล่าสุดที่หล่อนมาขอร้องให้เธอรับซื้อผลผลิตทางการเกษตร แต่ถูกปฏิเสธ คนอย่างหล่อนหรือจะไม่คับแค้นใจ?

เพียงแต่หลินม่ายคาดไม่ถึงว่าหล่อนจะลงทุนดั้นด้นออกจากชนบทเข้าสู่ตัวเมืองเพื่อแก้แค้นเธอโดยเฉพาะ

ครอบครัวของอู๋เสี่ยวเจี๋ยนเป็นครอบครัวสุนัขบ้าอย่างแท้จริง พวกเขาไม่เคยอยู่เป็นสุขเลยถ้าไม่ได้กัดใครสักคนเกินหนึ่งวัน

หลินม่ายหัวเราะเยาะ “ความตายใกล้เข้ามาแล้วแท้ ๆ ยังมัวทำตัวเป็นเป็ดปากแข็งอยู่ได้ คิดว่าฉันไม่รู้จริง ๆ เหรอว่าเธอคือคนที่อยู่เบื้องหลังการพ่นสีแดงใส่ประตูโรงงานของเรา แถมยังเขียนคำแช่งตัวโตแบบนั้น?”

เมื่อเธอเห็นว่าอู๋เสี่ยวเถาใช้ผ้าพันคอสีแดงพันรอบศีรษะตัวเองจนเหลือแค่ดวงตา เธอก็พอจะปะติดปะต่อเรื่องของผู้หญิงที่บงการอยู่เบื้องหลังผู้ชายที่มาพ่นสีแดงจากคำบอกเล่าของเขาได้แล้ว

ผู้หญิงคนนั้นยังอยู่ในช่วงวัยรุ่น ตัวไม่สูง แถมยังใช้ผ้าพันคอสีแดงโพกศีรษะ ที่แน่ ๆ คือภาษาจีนกลางของหล่อนสำเนียงไม่ได้มาตรฐาน

เพราะก่อนหน้านี้เธอไม่ยอมช่วยอู๋เสี่ยวเถา หล่อนเลยรู้สึกว่าเธอเป็นคนรวยที่ไร้ความเมตตา และสาปแช่งว่าเธอจะไม่ตายดี

ทุกเบาะแสนั้นพ้องต้องตรงกันกับอู๋เสี่ยวเถาอย่างสมบูรณ์แบบ ดังนั้นคนที่อยู่เบื้องหลังจะเป็นใครไปได้?

อีกอย่าง การสร้างปัญหางี่เง่าอย่างการพ่นสีแดงและเขียนคำแช่งตัวโต ๆ คงมีแต่คนไร้สมองอย่างหล่อนเท่านั้นแหละที่จะทำอะไรแบบนี้

อู๋เสี่ยวเถาไม่ใช่คนฉลาดมาตั้งแต่ไหนแต่ไร นั่นคือเหตุผลที่พี่ชายของหล่อนส่งหล่อนไปขึ้นเตียงผู้ชายคนหนึ่งเพื่อเอาเงินมาปรนเปรอหลินเพ่ย

เมื่ออู๋เสี่ยวเถาได้ยินว่าหลินม่ายรู้แล้วว่าตัวเองคือผู้บงการอยู่เบื้องหลังการพ่นสีแดงและเขียนคำแช่งเป็นตัวอักษรขนาดใหญ่ที่หน้าประตูโรงงาน หล่อนก็ตกใจมากจนหน้าซีด

ถึงอย่างนั้นก็ยังปฏิเสธ “ฉันไม่รู้ว่าพี่หมายถึงอะไร อย่ามาใส่ร้ายฉันนะ!”

“ฉันใส่ร้ายเธอเนี่ยนะ?” หลินม่ายหันไปหาติงไห่เฟิงพร้อมกับพูดว่า “ไปพาตัวผู้ชายที่มาพ่นสีแดงและเขียนคำแช่งตัวใหญ่ที่หน้าประตูโรงงานเรามาชี้ตัวคนร้ายคนนี้ซิ”

ติงไห่เฟิงโบกมือสั่งให้สหายน้องชายไปจัดการตามนั้น

จากนั้นหลินม่ายก็หันกลับมาจ้องมองไปที่อู๋เสี่ยวเถา “แค่เธอพูดออกมาคำเดียวว่าพยานคนนี้ปรักปรำเธอ ฉันจะส่งตัวเธอไปที่สถานีตำรวจทันที คราวนี้เธอจะได้กินข้าวในคุกกับพ่อแม่และพี่ชายตัวเองอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา อบอุ่นจะตายไปว่าไหม?”

“อย่ามาขู่กันซะให้ยาก ตำรวจเขาไม่มาสนใจคดีเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้หรอก!”

หลินม่ายยิ้ม “หมายความว่าเธอยอมรับแล้วสินะว่าตัวเองเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลังจริง ๆ”

สีหน้าท่าทางของอู๋เสี่ยวเถาแข็งทื่อไปทันใด คงเหลือไว้แค่ความสำนึกผิด

หลินม่ายแค่นเสียงตะคอกอย่างเย็นชา “ตำรวจไม่สนใจคดีเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้จริงหรือเปล่า? เดี๋ยวฉันส่งตัวเธอขึ้นโรงพักก็รู้เอง อยากรู้เหมือนกันว่าตำรวจเขาจะจับเธอเข้าคุกไหม! ตอนนี้อยู่ในช่วงปราบปรามอันธพาล เธอจ้างคนมาพ่นสีแดงและเขียนตัวอักษรตัวใหญ่ที่ประตูโรงงาน ถือเป็นการมุ่งร้ายต่อองค์กรเอกชนอย่างชัดเจน คิดว่าตำรวจจะนั่งดูอยู่เฉย ๆ หรือไง? ลืมไปแล้วเหรอว่าทำไมพ่อแม่กับพี่ชายตัวเองถึงได้ติดคุก”

รอบนี้อู๋เสี่ยวเถาหวาดกลัวหลินม่ายจากห้วงลึกของหัวใจ

พ่อแม่และพี่ชายของหล่อนยังไม่ทันได้ทำเรื่องเลวร้าย แต่พวกเขาทั้งหมดก็ยังถูกตัดสินลงโทษอย่างรุนแรง ดังนั้นแม้แต่หล่อนก็… อาจจะติดคุกจริง ๆ

ความจริงแล้วคดีเล็ก ๆ ที่หล่อนลงมือทำ อย่างมากทางตำรวจก็แค่จับไปอบรมและภาคทัณฑ์เบื้องต้น ไม่ถึงขั้นสั่งจำคุกโดยทันที

แต่เพราะหล่อนเป็นสาวบ้านนอก เพิ่งย้ายมาอยู่ในเมืองได้ไม่นาน จึงไม่เข้าใจบทลงโทษอะไรเทือกนี้ หลินม่ายเลยสามารถข่มขู่ให้หล่อนกลัวได้

ชั่วขณะนั้นอู๋เสี่ยวเถาก็เพิ่งจะรู้ตัวว่าตัวเองถูกหลินม่ายซ้อนแผน

ผู้ชายคนที่หล่อนจ้างวานมาบอกหล่อนว่า เขาไปที่โรงงานตัดเสื้อจิ่นซิ่วเพื่อพ่นสีแดงใส่ประตูเป็นครั้งที่สองได้อย่างราบรื่น แถมยังประสบความสำเร็จในการเขียนคำแช่งตัวใหญ่

นี่ทำให้หล่อนเข้าใจผิดคิดว่าระบบการรักษาความปลอดภัยของโรงงานตัดเสื้อจิ่นซิ่วนั้นหละหลวม หล่อนถึงได้กล้าเดินเตร่ไปรอบ ๆ โรงงานเป็นเวลาสามวันติดต่อกัน

จุดประสงค์ที่หล่อนมาเดินเตร่ไปมา ก็เพื่อทำให้หลินม่ายเข้าใจผิด คิดว่าคนที่มาพ่นสีแดงและเขียนคำแช่งตัวใหญ่คือสามีของอู๋ซู่เฟิน

สัญชาตญาณของหลินม่ายที่มีต่อธาตุแท้ของอู๋เสี่ยวเถานั้นถูกต้อง หล่อนเป็นคนชั่วร้ายไม่ต่างจากพ่อแม่และพี่ชายของตัวเอง

ถึงอู๋ซู่เฟิน ลูกชาย และลูกสะใภ้คนโตของหล่อนจะถูกตัดสินโทษแล้ว แต่นั่นก็ยังไม่สาสมต่อความเคียดแค้นชิงชังของอู๋เสี่ยวเถา

หล่อนคอยสนับสนุนให้อาเขยของตัวเองไปแก้แค้นหลินม่าย

จากนั้นก็รอดูหลินม่ายกับอาเขยของหล่อนฉีกหน้ากันไปมา ผลสุดท้ายทั้งสองฝ่ายจะต้องสูญเสียไม่แพ้กัน

นอกจากหล่อนจะแก้แค้นหลินม่ายได้แล้ว ยังสามารถใช้อาเขยของตัวเองเป็นมือปืนอีกด้วย โดยให้หลินม่ายจัดการเขา ทีนี้หล่อนก็จะยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว

สมาชิกในครอบครัวถึงสามคนถูกตัดสินจำคุกไปแล้ว อาเขยของอู๋เสี่ยวเถาต้องหวาดกลัวมากเป็นธรรมดา

เขาหรือจะถูกอู๋เสี่ยวเถายั่วยุให้ไปล้างแค้นหลินม่ายได้ง่าย ๆ ต่อให้หาที่หลบซ่อนก็ยังสายเกินไป ดังนั้นเขาจึงไม่ถูกหล่อนหลอกใช้

อู๋เสี่ยวเถาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากลงมือทำด้วยตัวเอง จ่ายเงินจ้างผู้ชายคนนั้นให้ไปพ่นสีแดงและเขียนคำแช่งตัวโต ๆ ที่หน้าประตูโรงงานของหลินม่าย

หล่อนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าหลินม่ายจะสงสัยว่าเป็นฝีมือของสามีอู๋ซู่เฟิน คราวนี้หล่อนก็จะได้รับชมมหรสพใหญ่

แต่หลินม่ายไม่ใช่คนโง่เขลา เธอไม่สงสัยสามีของอู๋ซู่เฟินเลยแม้แต่นิด

เรื่องนี้ทำให้อู๋เสี่ยวเถากังวลมาก ถึงขั้นริเริ่มออกไปข้างนอกด้วยตัวเอง หมายทำให้หลินม่ายสงสัยอาเขยตัวเองให้ได้

แต่ยังไม่ทันที่หล่อนจะคิดแผนการดี ๆ ออก ก็มาถูกจับได้เสียก่อน

อู๋เสี่ยวเถาคลานไปอยู่แทบเท้าหลินม่าย พยายามกอดขาเธอไว้ ก่อนจะร้องห่มร้องไห้อย่างขมขื่น “ขอร้องล่ะ อย่าจับตัวฉันขึ้นโรงพักเลย ฉันจะสารภาพ ฉันจะสารภาพความจริงทั้งหมด!”

หลินม่ายเหวี่ยงขาเตะหล่อนกระเด็นออกไป จนหล่อนม้วนกลิ้งไปกับพื้นหลายตลบ

ไม่ว่าใครในครอบครัวของอู๋เสี่ยวเจี๋ยนมาแตะเนื้อต้องตัวเธอ เธอก็รู้สึกขยะแขยงทั้งนั้น

เธอหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาบรรจงเช็ดถูบริเวณที่อู๋เสี่ยวเถาเคยกอด แล้วพูดช้า ๆ ว่า “งั้นก็บอกมาตามตรง เธอมาเดินทำลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่แถวประตูโรงงานฉันสามวันติดกันแล้ว กำลังวางแผนชั่วช้าอะไรอยู่กันแน่?”

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ร่วงไปอีกหนึ่ง คิดจะมาใส่ร้ายคนอย่างม่ายจื่อเหรอ ยังเร็วไปร้อยปีจ้ายัยหนู

ไหหม่า(海馬)