บทที่ 522 ย่างเนื้องู

บทที่ 522 ย่างเนื้องู

“ไม่เป็นไร!” ฉินเย่จือยังคงไม่ลืมที่จะปลอบกู้เสี่ยวหวาน

กู้เสี่ยวหวานไม่ได้เอ่ยเอื้อนสิ่งใด นางพยายามกลั้นน้ำตาไว้อย่างถึงที่สุด ค่อย ๆ หยิบสมุนไพรห้ามเลือดใส่ปาก เคี้ยวมันแล้วคายออกมาวางบนบาดแผลของเขา จากนั้นนางก็ฉีกเสื้อผ้าของตัวเอง และพันบนบาดแผลของฉินเย่จือ

เมื่อกู้เสี่ยวหวานเห็นบาดแผลบนสะบักของฉินเย่จือ มันลึกจนสามารถมองเห็นกระดูกข้างใน หัวใจของนางก็สั่นสะท้านและหน้าอกของนางก็สั่นอย่างรุนแรง ทั้งหมดเป็นเพราะนาง!

มือของกู้เสี่ยวหวานที่กำลังพันแผลให้ฉินเย่จือสั่นเทา หลังจากทำแผลให้เขาเสร็จ นางก็ทันไม่ไหวอีกต่อไป ยกมือปิดปากของนางและร้องไห้ออกมา “พี่ใหญ่ฉิน มันเป็นความผิดของข้า ถ้าไม่ใช่เพราะข้า เจ้าก็ไม่ต้องบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ ทั้งหมดเป็นเพราะข้า ทั้งหมดเป็นเพราะข้า!”

กู้เสี่ยวหวานรู้สึกผิดอย่างสุดซึ้ง และน้ำตาในดวงตาของนางก็ร่วงหล่นลงมาทีละหยดราวกับสร้อยไข่มุกที่ด้ายขาด

ฉินเย่จือเห็นแล้วพลันรู้สึกโศกเศร้า เขาหันหลังกลับมาและกอดกู้เสี่ยวหวานที่กำลังร้องไห้อย่างขมขื่น “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร คนโง่ ไม่ว่าอาการบาดเจ็บจะรุนแรงแค่ไหนข้าก็ทนได้ ข้าแค่กลัวเจ้าจะร้องไห้ พอเจ้าร้องไห้ ข้าก็…ข้าก็…” ฉินเย่จือเอ่ยตะกุกตะกักและไม่สามารถเอ่ยอะไรได้อีก

ไม่ใช่ว่าเขาพูดไม่ได้ เขาเพียงแค่กลัว

กู้เสี่ยวหวานเป็นแค่เด็ก ถ้าเขาพูดอะไรนอกขอบเขตหรือพูดเกินจริง มันคงจะทำให้นางตกใจ

ตอนนี้หยาดน้ำตาของกู้เสี่ยวหวานหลั่งริน ท่าทางทุกข์ใจเช่นนั้นของนางทำให้ฉินเย่จือทั้งมีความสุขและเศร้าใจไปพร้อมกัน

เขารู้สึกซาบซึ้งที่กู้เสี่ยวหวานรู้สึกเสียใจกับเขา แต่เขาก็รู้สึกแย่กับกู้เสี่ยวหวานที่ทำให้นางต้องร้องไห้

กู้เสี่ยวหวานร้องไห้อย่างหนัก และรู้สึกซาบซึ้งที่ฉินเย่จือได้ปกป้องตนโดยไม่คำนึงถึงอันตรายในชีวิตของเขา

เมื่อก่อน บางครั้งนางสงสัยว่าทำไมฉินเย่จือถึงมาพักที่บ้านของครอบครัวกู้และอยากรู้ว่าเขามีเจตนาอย่างไร

แต่ตอนนี้ แม้ว่าฉินเย่จือจะมีเจตนาอะไรก็ตาม นางรู้สึกว่ามันไม่สำคัญอีกต่อไป

คนที่เต็มใจใช้ชีวิตเพื่อปกป้องให้นางปลอดภัย แม้ว่าเขาจะมีเจตนา แต่นั่นก็ไม่นับว่าเป็นเจตนาแล้ว

เมื่อฉินเย่จือเห็นว่าตนเองไม่สามารถปลอบโยนนางได้เลย จึงปล่อยให้นางร้องไห้ต่อไป

แต่เขากอดกู้เสี่ยวหวานไว้แน่น และปล่อยให้นางร้องไห้อยู่ในอ้อมแขนของตนเอง

หลังจากร้องไห้เป็นเวลานาน ในที่สุดเมื่อเสียงร้องไห้ของนางเบาลง ฉินเย่จือกล่าวด้วยเสียงต่ำว่า “รู้สึกดีขึ้นแล้วหรือไม่?”

หลังจากพูดก็มองไปที่ดวงตาบวมแดงของกู้เสี่ยวหวาน ไม่ต้องพูดถึงว่าฉินเย่จือรู้สึกไม่สบายใจแค่ไหน

เขาใช้ปลายนิ้วเช็ดน้ำตาของกู้เสี่ยวหวานอย่างอ่อนโยนและปลอบโยน “คนโง่ หยุดร้องไห้ได้แล้ว เจ้าหิวแล้วหรือไม่? ข้าจะได้ย่างอะไรให้เจ้ากิน!”

เมื่อได้ยินว่านางต้องกินงู กู้เสี่ยวหวานก็กลัวจนขนลุกซู่ “ข้าไม่กินงู!”

ฉินเย่จือไม่ได้คิดเกี่ยวกับมันเลย เมื่อเห็นขนที่ชี้ฟูของลูกแมวตัวนี้ เขาก็เคาะที่จมูกของกู้เสี่ยวหวาน และหยอกเย้าว่า “ได้ เช่นนั้นก็อย่ากินเลย! ข้าจะพักก่อนสักครู่ ถ้าเจ้าหิวเมื่อไรก็เรียกข้าแล้วกัน!”

เมื่อครู่ ฉินเย่จือใช้พลังงานไปมาก และเนื่องจากเสียเลือดมากมาย เขาจึงเริ่มเวียนหัว

“ได้ เจ้าพักผ่อนไปก่อนก็แล้วกัน” เมื่อเห็นว่าฉินเย่จือต้องการพักผ่อน กู้เสี่ยวหวานก็พยุงฉินเย่จือให้ขยับมาพิงข้างผนังถ้ำ

หลังจากรอเป็นเวลานาน ท้องของกู้เสี่ยวหวานก็ส่งเสียงร้องด้วยความหิว

ฉินเย่จือนั่งพิงผนังและหลับตาพักผ่อน ในขณะที่กู้เสี่ยวหวานนั่งข้าง ๆ และไม่รบกวนเขา

เมื่อได้ยินเสียงท้องของกู้เสี่ยวหวาน ฉินเย่จือก็ลืมตาขึ้น ความจริงเขารู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย “เจ้าหิวแล้วหรือ? ข้าจะไปดูว่าข้างนอกมีอะไรกินหรือไม่!”

หลังจากที่เขาพูดจบและกำลังจะลุกขึ้นยืน กู้เสี่ยวหวานกุลีกุจอกดเขาลงและพูดว่า “เจ้าอยากตายหรือ! เจ้าได้รับบาดเจ็บขนาดนี้ และข้างนอกก็มืดมาก เจ้าออกไปไม่ได้”

กู้เสี่ยวหวานไม่ใช่คนไม่มีเหตุผล และในสถานการณ์เช่นนี้ หากไม่กินงูก็ต้องทนหิว

เมื่อเปรียบเทียบความกลัวและความอดอยาก กู้เสี่ยวหวานยังคงเลือกที่จะเติมเต็มท้องของตน

หลายคนชอบกินงู งูจึงไม่น่ากลัวนัก

คนอื่นกินได้ ทำไมนางจะกินไม่ได้เล่า!

กู้เสี่ยวหวานตัดสินใจและพูดกับฉินเย่จือ “อย่าขยับ เจ้าพักผ่อนต่ออีกหน่อย ข้าจะไปทำอะไรกิน!”

“เจ้าจะไปไหน?” ฉินเย่จือดึงกู้เสี่ยวหวาน สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกังวลอย่างยิ่ง

“พี่ใหญ่ฉิน ไม่ต้องกังวล ข้าไม่ได้ไปไหน ข้าเพียงจะย่างงูตัวนี้” กู้เสี่ยวหวานกล่าว

“เจ้าไม่…ไม่กินมันไม่ใช่หรือ!” ฉินเย่จือกังวลเล็กน้อย เมื่อครู่เพิ่งได้ยินกู้เสี่ยวหวานบอกว่านางกำลังจะกินงู ความกลัวและความขยะแขยงในสายตาของนางไม่ได้หลอกลวง

น่าเสียดายที่ตอนนี้เขาได้รับบาดเจ็บ และมันก็เจ็บมากจริง ๆ แต่ฉินเย่จือยังคงระงับตัวเองเพื่อที่นางจะได้ไม่ต้องร้องไห้เพราะกลัวว่าจะทำให้นางกลัว ไม่ว่าตอนนี้เขาจะเจ็บแค่ไหน เขาไม่สามารถล้มลงได้ เว้นแต่จะกลับถึงบ้าน ถ้าตนเองล้มลงตอนนี้กู้เสี่ยวหวานจะทำอย่างไร!

ฉินเย่จือรู้สึกหวาดกลัว

เขาต้องเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานปลอดภัยก่อน เขาถึงจะล้มลงได้

ดวงตาของเขามองลึกไปที่กู้เสี่ยวหวาน และเห็นกู้เสี่ยวหวานจ้องไปที่งูอย่างรังเกียจ

ในถือของกู้เสี่ยวหวานกริชที่ฉินเย่จือมอบในนางไว้เมื่อครู่ นางอยากจะเอื้อมมือออกไป แต่ก็ไม่กล้า

ฉินเย่จือไม่ต้องการทำให้นางเป็นทุกข์ ดังนั้นเขาจึงเข้ามาทันทีและพูดด้วยเสียงต่ำว่า “เสี่ยวหวาน ข้าทำเอง!”

เขาหยิบกริชในมือของกู้เสี่ยวหวาน ผ่าท้องของงูออก และขูดเกล็ดงูออกอย่างหมดจด

จากนั้นฉินเย่จือก็นำไม้สองสามท่อนมา ลับยอดไม้ด้วยกริช ตัดงูออกเป็นท่อนๆ แล้วเอาไม้เสียบ

วางงูไว้บนกองไฟ แล้วลงมือย่างเนื้อของมัน

การเคลื่อนไหวทั้งหมดดำเนินไปอย่างคล่องแคล่วและรวดเร็วราวกับว่าเขาทำมาหลายร้อยครั้งอย่างชำนาญ

กู้เสี่ยวหวานรีบก้าวไปข้างหน้าและคว้าของจากมือของฉินเย่จือ “ส่งมาให้ข้า เดี๋ยวข้าจะย่างมันเอง เจ้าไปพักผ่อนเถอะ!”

ใบหน้าของฉินเย่จือเริ่มซีด เกรงว่าเมื่อครู่เขาใช้พลังงานมากเกินไปในการต่อสู้กับหมาป่า ในขณะนี้เขาจึงไร้เรี่ยวแรง

กู้เสี่ยวหวานมองไปที่ฉินเย่จืออย่างทุกข์ใจและกล่าวว่า “ไปพักผ่อนเถอะ เมื่อทำเสร็จแล้วข้าจะเรียกเจ้าเอง!”

ฉินเย่จือพยักหน้าและมองออกไปข้างนอก ตอนนี้เขาทำได้แค่สะสมพลังงานเพื่อให้อาการดีขึ้นโดยเร็วที่สุด เพื่อที่กู้เสี่ยวหวานจะได้ไม่ต้องกังวลกับเรื่องนี้ และเพื่อปกป้องนางไม่ให้ได้รับอันตรายใด ๆ อีก