ภาค-3-คลื่นใต้น้ำถาโถม ตอนที่ 77 คลื่นยังมิสงบ (2)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

ข้าฉุกคิด พูดถึงคนข้างกายข้า เสี่ยวซุ่นจื่อโดดเด่นเหนือผู้อื่นแล้วยังตามติดข้าไม่ห่างตลอดเวลา ดังนั้นจึงไม่มีหน้าที่แท้จริง เฉินเจิ่นความจริงแล้วรับผิดชอบดูแลค่ายลับ หานอู๋จี้ดูแลกิจการหอกลไกสวรรค์ แม้แปดหัวหน้าของค่ายลับต่างมีฝีมือไม่เลว ทว่าแต่ละคนก็รับผิดชอบงานคนละด้าน ยิ่งไปกว่านั้นข้าไม่คิดจะซ่อนพวกเขาตลอดไป อนาคตมิว่าพวกเขาไปตั้งรกรากอยู่ที่ใด ล้วนต้องมีหัวหน้างานจิปาถะสักคนรับผิดชอบเรื่องจุกจิกหลังเกษียณ

ต่งเชวียผู้นี้เป็นตัวเลือกที่ไม่เลว แม้ว่าคนผู้นี้จะทำตัวลึกลับไปบ้าง แต่หากพูดถึงความลึกลับ น่ากลัวว่าข้ากับเสี่ยวซุ่นจื่อจะยิ่งกว่าเขาเสียอีก เมื่อมองเช่นนี้ ต่งเชวียก็มีค่าให้รับเอาไว้ แม้ในใจตกลงแล้ว แต่ข้ากลับคลี่ยิ้มเอ่ยว่า “แต่เจ้าคงรู้ว่าหากเจ้าเป็นหัวหน้างานจิปาถะให้ข้า ย่อมเลี่ยงไม่ได้ต้องพบผู้คนที่ตาแหลมชาญฉลาดบ่อยครั้ง เจ้ามิกังวลว่าจะถูกคนรู้ตัวตนเข้าหรือ”

ต่งเชวียกลับหัวเราะเอ่ยว่า “คุณชายมิได้บอกว่าห้าหกปีให้หลังก็ไม่มีปัญหาแล้วหรือ”

ข้าชะงักแล้วหลุดหัวเราะ “ก็ใช่ ในเมื่อเจ้ามีใจอยากติดตาม ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็คงมีวาสนาต่อกัน วันหน้าได้ปฏิบัติต่อกันเยี่ยงแขกกับเจ้าบ้าน มิรู้จักกันเสียเปล่า”

ต่งเชวียคำนับอีกครั้ง แม้ก่อนหน้านี้เขาจะทำตัวตามมารยาทไม่บกพร่อง แต่เป็นการทำตามมารยาทอย่างขุนนางใต้บัญชา ทว่าวันนี้การคำนับของเขากลับเป็นการคำนับเยี่ยงบ่าวรับใช้ ข้าก้าวเข้าไปประคองเขาขึ้นมา แม้มิทราบว่าเหตุใดเขาจึงต้องการรั้งอยู่ข้างกายข้า แต่ขอเพียงมิทำร้ายข้า ข้าก็ไม่ต้องการปล่อยลูกน้องผู้มีความสามารถเช่นนี้ไปเหมือนกัน

ทันใดนั้นคิ้วเรียวของเสี่ยวซุ่นจื่อก็ขยับ แล้วเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ปรมาจารย์ซือเจินมา”

ข้านึกฉงนในใจเล็กน้อย ยามนี้ปรมาจารย์ซือเจินสมควรไปพักผ่อนแล้วสิ ตอนค่ำยงอ๋องจะจัดเลี้ยงยอดฝีมือจากแต่ละสำนัก เหตุใดจู่ๆ ปรมาจารย์ซือเจินจึงมาที่นี่ ครู่หนึ่งก็มีองครักษ์เข้ามารายงานว่า “ใต้เท้า ปรมาจารย์ซือเจินขอเข้าพบ”

ข้าโบกมือให้เสี่ยวซุ่นจื่อกับต่งเชวีย ทั้งสองคนเข้าใจความนัย เสี่ยวซุ่นจื่อออกไปต้อนรับด้วยกันกับข้า ส่วนต่งเชวียหลบไปอยู่ห้องด้านใน แม้ปรมาจารย์ซือเจินไม่เคยพบต่งเชวียมาก่อน แต่อาศัยพลังสายตาของเขา ย่อมไม่ยากที่จะมองออกว่าต่งเชวียแปลงโฉมอยู่ แม้ยามนี้การใหญ่สำเร็จแล้ว แต่บางเรื่องก็เปิดเผยไม่ได้

ปรมาจารย์ซือเจินผลัดเปลี่ยนอาภรณ์มาแล้ว แม้บาดเจ็บไม่เบาจนใบหน้าซีดขาว แต่สีหน้าของเขายังคงนิ่งสงบเช่นเดิม ข้าก้าวเข้าไปคำนับเร็วไว “สมควรขอบคุณปรมาจารย์ที่ช่วยเหลือสุดความสามารถตั้งแต่ก่อนหน้านี้ ทว่าร่างกายเจียงเจ๋ออ่อนแอจึงมิอาจเดินทางไปหาได้ กลับลำบากปรมาจารย์เดินทางมาหาเอง ขอปรมาจารย์อย่าได้ถือโทษ”

ปรมาจารย์ซือเจินเงยหน้ามอง เวลานี้เจียงเจ๋อใกล้จะอายุสามสิบปีแล้ว ทว่าใบหน้าขาวผ่องไร้หนวดเครา หน้าตาเกลี้ยงเกลา แม้ร่างกายป่วยออดแอดมาตลอด ทั้งยังเหนื่อยกายเหนื่อยใจจนวันนี้จอนผมสองข้างสีขาวประปราย แต่กลับยิ่งแลดูสง่างาม ท่วงท่าสุภาพภูมิฐาน ดวงตาทั้งสองสุขุมลุ่มลึก แววตานิ่งสงบ เทียบกับครั้งก่อนที่พบกันมีราศีเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ไม่ว่ามองอย่างไรล้วนรู้สึกว่าชายหนุ่มผู้นี้เป็นเพียงบัณฑิตผู้มีคุณธรรมสูงส่งคนหนึ่ง ผู้ใดจะคิดว่าคนผู้นี้เป็นเสนาธิการผู้จิตใจเหี้ยมโหดละเอียดลออกันเล่า

ปรมาจารย์ซือเจินถอนหายใจอยู่ในใจ วรยุทธ์ของเจ้าสำนักเฟิงอี้แข็งแกร่งกว่าเขาเล็กน้อย ยอดฝีมือระดับสุดยอดเช่นพวกเขาอาจเอาชนะกันได้ แต่หากต้องการฆ่าให้ตายย่อมไม่ง่ายเลย ต่อให้ตนกับจิงอู๋จี๋จะร่วมมือกันจนเจ้าสำนักเฟิงอี้สู้ไม่ได้ แต่นางก็ยังหลบหนีไปได้อย่างสบาย ทว่าบัณฑิตอ่อนแอผู้นี้กลับวางกลอุบายอำมหิตซ้อนต่อกันดั่งห่วงโซ่ บีบเจ้าสำนักเฟิงอี้ให้จนตรอก ในที่สุดก็ทำให้ยอดสตรีแห่งยุคผู้ไร้เทียมทานฝังร่างอยู่ในพระราชวังเลี่ยกง

เรื่องนี้ทำให้ปรมาจารย์ซือเจินพรั่นพรึงอยู่ในอก เมื่อครู่เขาเพิ่งทราบรายละเอียดมากมายจากปากของลูกศิษย์ ในห้วงเวลาวิกฤติ ชายหนุ่มผู้นี้ยอมเอาตัวเสี่ยงอันตรายเพื่อกู้สถานการณ์ ปราบกบฏช่วยเหลือองค์จักรพรรดิ เมื่อพินิจวิธีจัดการเรื่องราวของเขา จึงพบว่าคนผู้นี้ใช้กลอุบายได้ยืดหยุ่นพลิกแพลง ใช้ประโยชน์จากทุกช่องโหว่ ชวนให้คนรู้สึกหนาวสะท้านอยู่ในใจ

ยิ่งรู้จักเจียงเจ๋อมากขึ้น ปรมาจารย์ซือเจินก็ยิ่งกังวล ในอดีตเจ้าสำนักเฟิงอี้ก็เป็นผู้มีความสามารถโดดเด่นน่าตะลึง หากมิใช่เพราะเลือกเดินทางผิด ไฉนจะก่อภัยแก่ใต้หล้า คนผู้นี้สติปัญญาเหนือกว่าเจ้าสำนักเฟิงอี้ ยามนี้เห็นชัดแล้วว่ายงอ๋องคงกลายเป็นเจ้าแผ่นดินคนต่อไปของต้ายง ส่วนคนผู้นี้เป็นขุนนางคนสำคัญของยงอ๋อง ในมือย่อมกุมอำนาจมากมาย หากเลือกเดินทางผิดขึ้นมา สรรพชีวิตคงทุกข์เข็ญ เลือดนองเป็นสายน้ำอย่างเลี่ยงไม่ได้

เพราะคิดเช่นนี้ ปรมาจารย์ซือเจินจึงมาพบเจียงเจ๋อเป็นการส่วนตัว หลังจากสองฝ่ายคำนับกันเสร็จและนั่งลงแล้ว ปรมาจารย์ซือเจินก็ท่องอมิตาภพุทธคำหนึ่งแล้วกล่าวว่า “ประสกเจียงช่างวางแผนการได้ล้ำเลิศจนเจ้าสำนักเฟิงอี้ถูกบีบจนตัวตาย แม้อาตมาทุ่มสุดกำลังอันน้อยนิดของตนแล้ว แต่หากไม่มีแผนการของประสกเจียง สุดท้ายเจ้าสำนักเฟิงอี้คงหลบลี้หนีไปได้ ทว่าประสกเจียงใช้กลอุบายได้โหดเหี้ยมนัก วันนี้ประสกเป็นขุนนางคนสำคัญขององค์ชาย ข้างกายยังมีน้องหลี่ยอดฝีมือเช่นนี้ติดตามรับใช้ หากเลือกเดินทางผิดคงมีคนบริสุทธิ์นับพันหมื่นพบเภทภัย นับจากวันนี้ขอให้ประสกนึกถึงเจตจำนงสวรรค์ มีเมตตาต่อผู้คน อาตมากล่าวเตือนมากไปบ้าง ขอประสกอย่าได้ถือโทษ”

ตอนแรกในใจข้าคิดว่าพระรูปนี้ช่างยุ่งไม่เข้าเรื่องอยู่ แต่เมื่อเห็นสายตาที่ปรมาจารย์ซือเจินมองข้าเคร่งขรึมอย่างยิ่ง จึงเอ่ยตอบอย่างจริงจัง “สวรรค์กำหนดไว้ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ผู้เยาว์ระลึกอยู่ในใจทุกห้วงขณะ นับจากวันนี้หากกระทำผิดพลาด มีสิ่งใดมิถูกมิควร ขอปรมาจารย์โปรดตักเตือนผู้แซ่เจียงด้วย”

ปรมจารย์ซือเจินสะดุ้งโหยงในใจ แล้วคิดว่า หรือคนผู้นี้ต้องการฉวยโอกาสไม่ปล่อยให้ข้าตีตัวออกหาก หากข้าต้องคอยใส่ใจหรือคอยตักเตือนการกระทำของเขาอยู่ตลอดเวลา ไยมิใช่เป็นการติดค้างน้ำใจคนผู้นี้

แต่เมื่อมองให้ดีก็เห็นว่าใบหน้าของเจียงเจ๋อมีแต่ความจริงใจ จึงอดคิดขึ้นไม่ได้ว่า ช่างเถิด หากคนผู้นี้เป็นคนชั่วช้าสามานย์จริง สักวันหนึ่งย่อมเปิดเผยออกมา ยิ่งไปกว่านั้นยงอ๋องก็ปรีชาสามารถ ข้าไยต้องเป็นห่วงว่าฟ้าจะถล่มด้วยเล่า

เมื่อปรมาจารย์ซือเจินคิดเรื่องนี้ตกแล้วจึงไม่ตักเตือนเพิ่มอีก เพียงสนทนาสัพเพเหระสองสามประโยคก็ลุกขึ้นขอตัว ก่อนจากไปเขามองห้องด้านในนิ่งนาน เขาสัมผัสได้เลือนรางว่าด้านในห้องมีคนอยู่ ทว่าคนผู้นั้นลมหายใจเนิบนาบแผ่วเบา เห็นชัดว่าพลังภายในล้ำลึก ทั้งยังค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์ คนผู้นี้เร้นกายไม่ปรากฏตัว บางทีอาจมีข้อลำบากบางประการ มิว่าอย่างไร ในใจปรมาจารย์ซือเจินก็กังวลมิคลาย

หลังปรมาจารย์ซือเจินจากไปแล้ว เสี่ยวซุ่นจื่อก็หน้าเขียวเอ่ยว่า “พระเฒ่ารูปนี้ถึงกับกล้าว่ากล่าวคุณชาย มีอย่างที่ไหนจริงๆ คุณชายต้องสั่งสอนเขาเสียบ้าง”

ข้ายิ้มละไมเอ่ยว่า “คนดีย่อมทำดี คนชั่วย่อมทำชั่ว ปรมาจารย์มีจิตใจเมตตา นี่เป็นข้อดีของเขา แล้วอีกอย่าง เรื่องนี้ก็ช่วยเตือนพวกเราว่าเรื่องราวบนโลกมีเรื่องใดบ้างปิดบังได้ตลอดไป หลายปีมานี้ เพื่อแก้แค้น ข้าทำเรื่องโหดร้ายมามาก แม้ข้าไม่นึกเสียใจ แต่ก็ยากเลี่ยงมีคนเคียดแค้นข้า

เพียงเรื่องสำนักเฟิงอี้ครานี้ก็ไม่รู้เกี่ยวพันกับคนเท่าใด สร้างความเคียดแค้นกับผู้คนแล้วยังทำให้ผู้คนหวั่นเกรง ดูท่าข้าจะหยั่งเท้าเข้ามาในอันตรายเสียแล้ว หากเป็นเช่นนี้ เรื่องที่พวกเราหารือกันไว้คงต้องลงมือเร็วขึ้น

เอาละ ข้ายังต้องขบคิดว่าจะจัดการเช่นไร เจ้าก็อย่าถือสาหาความเลย ไปจัดการเรื่องหลี่หันโยวเถิด เรื่องนี้จัดการไม่สำเร็จ ข้าวางใจไม่ลง”

เสี่ยวซุ่นจื่อฟังเงียบๆ สีหน้าค่อยๆ อ่อนโยนลงแล้วเอ่ยว่า “คุณชายกล่าวได้ถูกต้อง แม้พระเฒ่าผู้นี้ไร้มารยาท แต่เคล็ดวิชาที่เขามอบให้คุณชายก็มีประโยชน์ทีเดียว หลายวันนี้คุณชายฝึกฝนแล้วร่างกายดีขึ้นอยู่บ้าง ข้าจะไม่สร้างความลำบากให้เขา ถือเสียว่าตอบแทนเรื่องนี้”

เดือนสิบวันที่สี่ จักรพรรดิเสด็จกลับเมืองหลวง ข้านั่งอยู่ในรถม้าติดตามขบวนทหารด้วยสีหน้าผ่อนคลาย หลังจักรพรรดิต้ายงเสด็จกลับเมืองหลวงจะต้องเกิดคลื่นลมครั้งใหญ่แน่ นี่เป็นเรื่องที่มิอาจหลีกเลี่ยง แม้หลี่หยวนต้องการจบเรื่องนี้ให้พ้นๆ ไป แต่ยงอ๋องคงไม่ยินยอมเด็ดขาด แม้ครั้งนี้ผู้ที่ช่วยองค์จักรพรรดิคือตระกูลฉิน ตามหลักแล้วสถานการณ์ภาพรวมสมควรยังอยู่ในการควบคุมของหลี่หยวน แต่สาเหตุเล็กน้อยบางอย่างกลับทำให้สถานการณ์ที่ควรเป็นเช่นนั้นเปลี่ยนไป

ประการแรก แม้ความตายของฉินชิงจะเกิดจากการกระทำของหลี่หันโยว ทว่าหากตอนแรกหลี่หยวนมิได้พระราชทานสมรสก็คงไม่มีวันนี้ แม้ฉินหย่งช่วยองค์จักรพรรดิได้ ทว่าทุกคนต่างรู้ว่าผู้ที่ส่งราชโองการลับออกไปคือผู้ใต้บังคับบัญชาของยงอ๋อง เมื่อเป็นเช่นนี้ ยงอ๋องทั้งมีความชอบใหญ่หลวงในการปราบกบฏ แล้วยังเป็นตัวเลือกที่คู่ควรกับตำแหน่งรัชทายาท ยิ่งกอปรกับชื่อเสียงบารมียามปกติของเขา ก็เห็นชัดยิ่งว่ากลบอำนาจบารมีของหลี่หยวนไปแล้ว และเหตุการณ์ครั้งนี้ ยงอ๋องยงเป็นผู้เสี่ยงอันตรายที่สุด ดังนั้นการมอบบทลงโทษหลังจากนี้คงเมินข้ามยงอ๋องมิได้แน่ ทว่ายงอ๋องคงเตรียมการเรื่องในเมืองหลวงไว้แล้ว เรื่องนี้ข้าจึงไม่ต้องกังวล

ก่อนเดินทางมาช่วยจักรพรรดิที่พระราชวังเลี่ยกง ยงอ๋องส่งองครักษ์คนสนิทไปแจ้งข่าวแก่สืออวี้ที่เมืองหลวงแล้ว หลังจากสืออวี้ได้รับข่าวก็จัดการอย่างรอบคอบ เฝ้าจับตาขุนนางใหญ่คนสำคัญทั้งหมดไว้ แม้เหวยกวนกับเจิ้งเสียผู้รับผิดชอบงานทหารและงานปกครองในเมืองหลวงจะมิใช่คนธรรมดา ทว่าแผนการที่ยงอ๋องเตรียมมาหลายปีไฉนจะธรรมดาได้ หลายปีนี้ยงอ๋องแผ่ขยายอำนาจจนลอบควบคุมขุนนางระดับกลางกับระดับล่างมากกว่าครึ่งได้นานแล้ว แม้มิอาจควบคุมทั้งราชสำนัก แต่การเฝ้าจับตาทำนองนี้ทำได้ง่ายดุจยกฝ่ามือ

อีกประการหนึ่ง แต่เดิมสืออวี้ก็จัดการงานในฉางอันอยู่หลายปี ดังนั้นข่าวสารระหว่างพระราชวังเลี่ยกงกับฉางอันจึงถูกสืออวี้ปิดกั้นอย่างไม่รั่วไหลสักหยด ฝั่งพระราชวังเลี่ยกงเผชิญหน้ากับความเป็นความตาย ทว่านครฉางอันกลับสงบสุข หลังจากเหล่าลูกศิษย์สำนักเฟิงอี้หนีออกไป มิใช่ว่าพวกเขาไม่เคยคิดส่งข่าวสาร ทว่าพวกนางมิกล้ากลับฉางอันไปพบความตาย ดังนั้นคนที่ส่งมาจึงมีแต่ผู้ส่งสารที่เป็นศิษย์ธรรมดาจำนวนหนึ่ง บ้างก็ถูกสืออวี้จับ บ้างก็ถูกสังหารจนหมดสิ้น

เมื่อเจ้าสำนักเฟิงอี้สิ้นแล้ว ยงอ๋องจึงส่งคนกลับเมืองหลวงไปแจ้งสถานการณ์กับสืออวี้ สืออวี้ยิ่งมิกล้าประมาท สำนักเฟิงอี้มีพรรคพวกในราชสำนักอยู่มาก เหวยกวนยิ่งมีลูกศิษย์มิตรสหายอยู่เต็มราชสำนัก หากเกิดเหตุไม่คาดฝันก่อนที่องค์จักรพรรดิกับยงอ๋องจะกลับถึงเมืองหลวง เกรงว่ารากฐานของแผ่นดินต้ายงคงสั่นคลอน ดังนั้นสืออวี้จึงตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวเดินทางไปพบซื่อจงเจิ้งเสีย

เจิ้งเสียเป็นผู้ยุติธรรมไม่เอนเอียงมาตลอด แม้เหวยกวนมีประวัติการทำงานและตำแหน่งสูงกว่า แต่เจิ้งเสียเป็นขุนนางคนสนิทของจักรพรรดิต้ายง หลังจากเจิ้นเสียเห็นราชโองการลับของฝ่าบาทกับสารลายมือของยงอ๋องก็ไถ่ถามอย่างละเอียดกว่าจะเชื่อคำพูดของสืออวี้

เขาทำงานเด็ดขาดยิ่งนัก ร่วมมือกับสือวอี้คุมตัวเหวยกวนไว้ในจวนทันที หลังจากนั้นจึงควบคุมสถานการณ์ในฉางอันได้ง่ายดายดั่งยกฝ่ามือ มีเจิ้งเสียออกหน้า ขุนนางบุ๋นในราชสำนักล้วนทำตามคำสั่งอย่างยำเกรง ส่วนแม่ทัพฝ่ายบู๊เหล่านั้นแม้สังกัดคนละพรรคคนละพวก แต่เมื่อเจิ้งเสียกับสืออวี้ออกหน้า ย่อมหมายความว่าเป็นคำสั่งของฝ่าบาทกับยงอ๋อง ผู้ใดเล่าจะกล้าฝ่าฝืน

ฝ่ายลูกน้องของฉีอ๋อง ประการแรกเพราะตกอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบ อีกประการหนึ่งฉีอ๋องไม่เคยส่งคำสั่งอันใดมา ดังนั้นพวกเขาจึงยอมรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นโดยปริยาย ทุกคนล้วนกำลังรอคอยการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่หลังจักรพรรดิต้ายงเสด็จกลับเมืองหลวง พายุฝนกำลังตั้งเค้าแล้ว

ตอนต่อไป