ตอนที่ 580 มีตาแต่ไม่ประจักษ์ในมุกงาม
หากเฉาเซิ่งไหวเป็นเพียงหลานชายของเขาก็ยังพอว่า แต่อีกฝ่ายดันเป็นศิษย์ของสำนักหมื่นสรรพสัตว์ด้วย สำนักหมื่นสรรพสัตว์ไม่เคยเข้าไปข้องเกี่ยวกับการต่อสู้ระหว่างแคว้นมาก่อน สิ่งที่พวกเขามีอย่างเดียว นั่นคือค้าขายกับผู้บำเพ็ญเพียรทั่วหล้า
แต่หลานชายของเขากลับฝ่าฝืนกฎข้อนี้ แล้วจะให้ตัวเขาที่เป็นผู้อาวุโสของสำนักหมื่นสรรพสัตว์ไปอธิบายต่อคนทั้งสำนักอย่างไรเล่า?
โฉวซานเอ่ยปลอบใจ “ศิษย์พี่เฉา ตอนนี้โมโหไปก็ไม่มีประโยชน์ ข้าสอบถามเฉาเซิ่งไหวแล้ว เขาบังเอิญพบกับถูไหวอวี้ในช่วงที่เดินทางผ่านจินโจว ถูไหวอวี้เป็นฝ่ายเชิญให้เขาร่วมทางไปด้วยกัน ถูไหวอวี้บอกว่ารู้จักท่าน ยกเรื่องท่านมาเอ่ย เขาจึงไม่สะดวกจะปฏิเสธ ในช่วงที่เผชิญเหตุลอบสังหาร ตอนนั้นเขาก็ตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายมากเช่นกัน พยายามต่อสู้อย่างสุดชีวิต บังเอิญว่าเขาเคยเห็นหน้าของมือสังหารคนหนึ่งในกลุ่มนั้นมาก่อน”
“ท่านลองคิดดูสิ ตนเองเกือบต้องตาย ไม่ว่าผู้ใดก็คงโกรธเหมือนกัน ยามนั้นมีหรือจะทนไม่เปิดเผยตัวตนมือสังหารคนนั้นได้ ในมุมมองของเขาก็คงไม่รู้ว่าจะก่อให้เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ขึ้น กระทั่งถึงตอนที่สังเกตเห็นความผิดปกติ เขาก็รีบกลับคำทันทีว่าตนจำผิดไป แต่คณะราชทูตแคว้นซ่งกลับไม่ยอมให้เขาเปลี่ยนคำพูด เขาควบคุมตัวเขาในทันที เรื่องราวดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว เขาไม่รู้จริงๆ ว่าจะก่อให้เกิดปัญหาใหญ่โตถึงเพียงนั้นขึ้น”
ซีไห่ถังเอ่ยเสียงขรึม “ถึงพวกเรารู้ว่าเขาบริสุทธ์ไปก็เปล่าประโยชน์ ราชทูตแคว้นซ่งถูกลอบสังหารในช่วงวลานั้น เห็นได้ชัดว่าคิดจะปลุกปั่นแคว้นซ่งให้เข้าแทรกแซงแคว้นเยี่ยน เฉาเซิ่งไหวดันเสนอตัวขึ้นมาในยามนั้น จะไม่ให้คนเขานึกสงสัยสำนักหมื่นสรรพสัตว์เราเลยก็คงยากแล้ว”
เฉาจิ้งเอ่ยอย่างใช้ความคิด “หากว่าเฉาเซิ่งไหวมิพูดปด ก็หมายความว่าการตายของถูไหวอวี้อาจเป็นการล้างแค้นส่วนตัวของเกาเซ่าหมิงจริงๆ”
ซีไห่ถังเอ่ยว่า “มาพูดเรื่องนี้เอาตอนนี้แล้วจะมีประโยชน์อะไร? ราชสำนัก หอเทียมเมฆา โถงโลหิตเทวาและวังแยกนภาล้วนปักใจละโมบในแคว้นเยี่ยนแล้ว พวกเขาไม่มีทางยอมให้เฉาเซิ่งไหวเปลี่ยนคำพูดได้ง่ายๆ แน่ จะให้พวกเราเอาประเด็นนี้ไปงัดกับพวกเขาหรือ? ถึงอย่างไรสำนักหมื่นสรรพสัตว์ก็ยังอยู่ในแคว้นซ่งนะ!”
เฉาจิ้งหัวเราะหยัน “ฮ่าๆ เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเกาเซ่าหมิงคนนั้นแอบล้างแค้นส่วนตัว ทำให้แคว้นเยี่ยนเสียงานใหญ่ ตอนนี้กลับโยนความผิดกลับมาว่าถูกเซิ่งไหวปรักปรำ ฉวยโอกาสฟอกตัวเองให้สะอาดเอี่ยมแล้วสาดน้ำครำใส่สำนักหมื่นสรรพสัตว์เรา ข้าว่าไอ้ชาติสุนัขผู้นี้คงหน่ายจะมีชีวิตอยู่แล้ว นึกว่าสำนักหมื่นสรรพสัตว์ของเราจะยอมให้รังแกได้ง่ายๆ?”
ซีไห่ถังเอ่ยเตือนทันที “เจ้าอย่าได้วู่วามเชียว เรื่องที่เกิดขึ้นกับเฉาเซิ่งไหวทำให้ทางฝั่งหอเทียมเมฆาจับตามองเราแล้ว หากคนระดับพวกเราเข้าไปพันพันกับปัญหานี้ ทางวังเหินเวหา วิมานม่วงทองและหุบเขากระบี่วิญญาณคงไม่อยู่เฉยแน่ เกรงว่าหอเทียมเมฆา โถงโลหิตเทวาและวังแยกนภาของทางนี้คงอยากจะขับไล่พวกเราออกไปจากแคว้นซ่งจะแย่แล้ว รอดูสถานการณ์ไปก่อนแล้วค่อยว่ากันเถิด”
โฉวซานเอ่ยว่า “และด้วยเหตุผลเดียวกันนี้ ต่อให้ตอนนี้ทางแคว้นเยี่ยนจะทราบความจริงแล้ว พวกเขาก็คงไม่มีทางยอมให้เกาเซ่าหมิงพูดความจริงเช่นกัน ต้องยืนกรานว่าถูกเซิ่งไหวปรักปรำแน่นอน เจ้าสำนักกล่าวไม่ผิดเลย เกรงว่าตอนนี้เซิ่งไหวคงกลับมาไม่ได้แล้ว แต่ศิษย์พี่เฉาก็อย่าได้กังวลไปเลย พวกเขาคงไม่ถึงขั้นจะลงมือกับเซิ่งไหวส่งเดช ที่ตอนนี้คุมตัวเซิ่งไหวก็เพราะไม่อยากให้เขากลับคำเท่านั้น”
เฉาเซิ่งไหวเอ่ยอย่างชิงชัง “กลับมาเพื่ออะไร? ข้าอยากจะให้ไอ้เดรัจฉานตัวนั้นตายๆ ไปเสียก็ดี!”
….
ณ วังหลวงแคว้นจิ้น บนหอสูงภายในอุทยานหลวง ไท่ซูสยงยืนเท้าราวกั้นทอดสายตามองออกไปไกล
เซ่าผิงปอเดินขึ้นมาบนหอ พอเดินมาถึงด้านหลังเขาก็คำนับพร้อมเอ่ยว่า “ฝ่าบาท”
“ทิวทัศน์ของที่นี่เป็นอย่างไรบ้าง?” ไท่ซูสยงวาดแขนเสื้อเล็กน้อย
เซ่าผิงปอกล่าวว่า “เสมือนได้ยลทั่วหล้าพ่ะย่ะค่ะ!”
“ฮ่าๆ!” ไท่ซูสยงเชิดหน้าหัวเราะดังลั่น ท่าทางสำราญอย่างยิ่ง ยิ้มหัวพลางตบสองมือบนราวกั้น “คนที่เจ้าพามาจากเป่ยโจวเหล่านั้นข้าตรวจสอบดูแล้ว ทุกคนล้วนเป็นผู้มีความสามารถ พอลองทดสอบดูก็ยิ่งรู้ว่าล้วนเฉียบแหลมปราดเปรื่อง หากให้เวลาสักระยะต้องสร้างประโยชน์ได้มากมายแน่!”
“ฝ่าบาททรงชมเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เซ่าผิงปอพูดจาถ่อมตัวเล็กน้อย แต่ในใจกลับทราบดี
คนเหล่านั้นล้วนเป็นคนที่เขาเลือกเฟ้นมาด้วยตัวเอง ตอนที่สำเร็จการศึกษาในช่วงที่ออกไปฝึกหาประสบการณ์พื้นที่ต่างๆ ก็มีคนถูกคัดทิ้งไปหลายต่อหลายกลุ่ม ยามที่หลบหนีออกจากมณฑลเป่ยโจว คนที่ได้รับการจัดสรรให้อพยพโยกย้ายล้วนเป็นหัวกะทิในหมู่หัวกะทิอีกที ต่อให้เขาต้องหนีเอาชีวิตรอดก็ไม่อาจหักใจทิ้งคนเหล่านั้นได้ แล้วจะเป็นคนที่มีความสามารถดาษดื่นไปได้อย่างไรเล่า
แต่ถึงอย่างไรที่นี่ก็มิใช่มณฑลเป่ยโจวที่เขามีอำนาจสั่งการได้ หลังจากจัดให้คนกลุ่มนี้ไปอยู่ตามเขตต่างๆ แล้วล้วนต้องเผชิญอุปสรรคนานาชนิด ทำให้ไม่สามารถแสดงศักยภาพอย่างเต็มที่ได้
ไท่ซูสยงถอนหายใจเอ่ยไปว่า “ในโลกอันวุ่นวายใบนี้ ชาวบ้านราษฎรที่รู้หนังสือมีไม่มาก ส่วนลูกหลานตระกูลสูงศักดิ์ร่ำรวยก็…ไหนเลยจะเฟ้นหาคนมีความสามารถมาได้มากมายปานนี้ ไม่ง่ายเลยจริงๆ ใช่แล้ว ข้าได้ยินว่าคนเหล่านี้ล้วนเป็นนักเรียนที่เจ้าสั่งสอนขึ้นมาด้วยตัวเองอย่างนั้นหรือ?”
เพียงเขาเอ่ยออกมาเช่นนี้ เซ่าผิงปอก็ตระหนักได้แล้วว่าอะไรคือสิ่งที่เรียกว่าอยู่กับกษัตริย์นั้นเหมือนอยู่กับพยัคฆ์ร้าย เขาเอ่ยตอบไปว่า “ในช่วงแรกเริ่มที่ก่อตั้งเป่ยโจวขึ้นมาใหม่ มีสิ่งเสื่อมโทรมมากมายที่ต้องได้รับการปฏิรูป แต่กระหม่อมขาดแคลนบุคลากรมีความสามารถ จึงจำเป็นต้องทุ่มเทกำลังและเวลาจัดตั้งสำนักศึกษาขึ้นมาเพื่อสั่งสอนพวกเขาด้วยตัวเองพ่ะย่ะค่ะ”
“วิธีนี้ไม่เลวเลย ข้ากำลังวางแผนให้ให้แคว้นจิ้นทำตามบ้าง เจ้ามีประสบการณ์มาก่อน ยกให้เจ้ารับผิดชอบดีหรือไม่?” ไท่ซูสยงเอ่ยถาม
เซ่าผิงปอเงียบไปครู่หนึ่ง เอ่ยเนิบๆ ขึ้นมา “ฝ่าบาท เป่ยโจวถูกทำลายมาก่อนแล้วถึงก่อตั้งขึ้นใหม่ ไร้แรงต่อต้าน แต่ถ้าเปิดสำนักศึกษาขึ้นทางแคว้นจิ้น หากจะคัดเลือกผู้เข้าเรียนโดยไม่ยึดติดกับขนมธรรมเนียมเดิมคงเป็นไปได้ยากมากพ่ะย่ะค่ะ ตามความเห็นของกระหม่อม ควรจะชะลอไปก่อนดีกว่า รอจนได้โอกาสเหมาะสมแล้วค่อยทบทวนเรื่องนี้อีกครั้งก็ยังไม่สายพ่ะย่ะค่ะ”
ไท่ซูสยงตกอยู่ในห้วงความคิด ทราบถึงความหมายที่แฝงอยู่ในวาจาของเขาดี หากจัดตั้งสำนักศึกษาขึ้นมาในยามนี้ ทุกคนที่ทราบข่าวล้วนจะรู้ว่าเขากำลังเฟ้นหาผู้มีความสามารถอยู่ เกรงว่าคงจะพากันหาทางยัดเยียดคนของตัวเองเข้ามา อย่าว่าแต่ผู้มีความสามารถเลย เกรงว่าคงมีจำนวนไม่พอต่อความต้องการของเหล่าเชื้อพระวงศ์และขุนนางที่อยากจะยัดเยียดบุตรหลานของตนเข้ามาเหล่านั้น และจะเป็นเขาที่ต้องออกหน้ารับมือกับเหล่าเชื้อพระวงศ์ขุนนางทั้งหมด หรือจะให้เซ่าผิงปอผู้ที่ยามนี้ไร้ศักดิ์อำนาจออกไปรับมือกันเล่า? หากขัดขวางเรื่องการใช้เส้นสายยัดคนเข้ามาไม่ได้ เช่นนั้นยังมีความจำเป็นที่จะต้องจัดตั้งสำนักศึกษาอันใดขึ้นมารับรองพวกคุณชายเสเพลเหล่านั้นด้วย?
เขาพยักหน้ารับ “นั่นสิ ยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสม ต้องรอจนมีเหตุผลที่เหมาะสม กำหนดกฎเกณฑ์ที่ทำให้คนไม่อาจต่อต้านได้ขึ้นเสียก่อน เป็นข้าที่วู่วามไปเอง แล้วค่อยว่ากันแล้วกัน!” ว่าพลางโบกมือไปมา ตอนนี้จำเป็นต้องล้มเลิกความคิดนี้ไปก่อน “ใช่แล้ว เจ้าได้เห็นข่าวจากสี่แคว้นทางฝั่งตะวันออกหรือยัง?”
เซ่าผิงปอเอ่ยว่า “เห็นแล้วพ่ะย่ะค่ะ เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นล้วนต้องพะวงถึงกันหมด เกรงว่าคงไม่สู้กันแล้ว”
ไท่ซูสยงเอ่ยว่า “ข้าอยากจะเห็นพวกเขากัดกันเองเสียจริง จนใจที่หากสู้กันขึ้นมามันจะไม่เป็นผลดีต่อต่อข้า จะเป็นพวกเขาที่ได้ประโยชน์ไป”
เซ่าผิงปอเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อย่างน้อยก็ทำให้ฝ่าบาทได้เห็นแจ้งแล้วว่าสี่แคว้นตะวันออกก็เป็นเพียงท่อนฟืนราดน้ำมัน ทันทีที่จุดไฟก็ทำให้พวกเขาลุกไหม้ได้ รอเพียงให้ฝ่าบาททรงจุดไฟขึ้นในภายหน้าเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”
ไท่ซูสยงหัวเราะฮ่าๆ ดังลั่น “กล่าวถูกแล้ว แต่มีบางเรื่องที่เราไม่ค่อยเข้าใจ ไฉนสำนักหมื่นสรรพสัตว์ถึงเข้ามาพัวพันในเรื่องนี้ได้?”
เซ่าผิงปอเอ่ยอย่างเย็นชา “มิใช่ว่าสำนักหมื่นสรรพสัตว์อยากเข้ามาพัวพัน แต่มีคนเล่นลูกไม้อยู่เบื้องหลังพ่ะย่ะค่ะ เฉาเซิ่งไหวคนนั้นเป็นคนของหนิวโหย่วเต้า หลังจากได้ทราบเรื่องนี้ กระหม่อมก็มั่นใจแล้วว่าเฉาเซิ่งไหวคนนั้นถูกหนิวโหย่วเต้าบงการแล้วแน่นอน ทุกเรื่องล้วนมีหนิวโหย่วเต้าบงการอยู่เบื้องหลัง!”
“คนของหนิวโหย่วเต้าหรือ?” ไท่ซูสยงหันมาด้วยความตกใจ ดวงตาเจือแววสอบสวนอยู่นิดๆ ประกายความคลางแคลงฉายวาบขึ้นมา สงสัยว่าอีกฝ่ายกำลังคิดจะยัดเยียดเรื่องเลวร้ายทุกอย่างว่าเป็นฝีมือหนิวโหย่วเต้า
“ในงานชุมนุมสัตว์วิเศษก่อนหน้านี้ กระหม่อมส่งคนไปลอบสังหารหนิวโหย่วเต้า เป้าหมายแรกที่เขาใช้แผนหลอกล่อให้ไปลงมือกับหนิวโหย่วเต้าก็คือเฉาเซิ่งไหว…” เซ่าผิงปอทราบถึงความคลางแคลงในใจเขาดี จึงเล่าต้นสายปลายเหตุออกมาให้ชัดเจน “หลังจากมองย้อนกลับไป ไม่ใช่เพียงเฉาเซิ่งไหวที่ถูกหนิวโหย่วเต้าบงการ ผู้บำเพ็ญเพียรสองคนที่อยู่ข้างกายกระหม่อมเองก็มีปัญหาเช่นกัน ซ่งซูถูกสังหารไปแล้ว ที่เหลืออยู่ก็มีเพียงเฉินกุยซั่วคนนั้น”
“กระหม่อมคิดไม่ถึงเลยแม้แต่น้อยว่าคนผู้หนึ่งที่เป็นศัตรูคู่แค้นกับหนิวโหย่วเต้ามาก่อนที่จะรู้จักกับกระหม่อม จะกลายเป็นสายสืบที่หนิวโหย่วเต้าจัดวางไว้ข้างตัวกระหม่อมได้ ทำให้กระหม่อมประสบความพ่ายแพ้อย่างน่าอนาถตอนอยู่ในเป่ยโจว หากมิใช่เพราะครั้งนี้หนิวโหย่วเต้าคิดว่าสามารถเล่นงานกระหม่อมให้ตายได้แน่นอน เกรงว่าจนถึงตอนนี้กระหม่อมก็คงยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนใกล้ชิดของกระหม่อมคือสายสืบของหนิวโหย่วเต้า หลังประสบเรื่องนี้เข้า กระหม่อมถึงได้เข้าใจแล้วว่าม้าศึกสามหมื่นตัวในครั้งนั้นถูกหนิวโหย่วเต้าปล้นไปได้อย่างไร”
พอเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เขายังคงชิงชังคั่งแค้นอยู่ ความพ่ายแพ้ทั้งสองครั้งนั้นเรียกได้ว่าพ่ายแพ้อย่างหมดรูปเลยจริงๆ
“ม้าศึกสามหมื่นตัวหรือ? เรื่องเป็นมาอย่างไร?” ไท่ซูสยงไม่ทราบเรื่องนี้ จึงถามด้วยความอยากรู้
“ในตอนนั้นเป่ยโจวต้องการม้าศึกอย่างเร่งด่วน กระหม่อมเตรียมการประสานกับทางแคว้นฉีไว้เรียบร้อยแล้ว…” เซ่าผิงปอเล่าเรื่องราวที่เคยประสบออกมาอย่างละเอียด แต่ไม่ได้เผยเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับหอจันทร์กระจ่างออกไป
“อย่างนี้นี่เอง!” ไท่ซูสยงพยักหน้านิดๆ เรื่องในตอนนั้นที่จู่ๆ ซางเฉาจงก็ได้รับม้าศึกจำนวนมากเขาก็เคยได้ยินมาแล้ว แต่ไม่คิดเลยว่าจะเป็นการปล้นชิงไปจากเซ่าผิงปอ การค้านี้ได้กำไรงามนัก ไม่ต้องเสียต้นทุนเลยแม้แต่นิดเดียว
เซ่าผิงปอเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ดังนั้นการที่ให้เฉาเซิ่งไหวเข้าไปพัวพันกับเรื่องนี้ก็เป็นเพราะฐานะภูมิหลังของเฉาเซิ่งไหว คนอื่นไม่มีทางเข้าใกล้ถูไหวอวี้ได้ หากเข้าร่วมขบวนไม่ได้ก็หมดหนทางไปเป็นพยานชี้ตัว นี่คือแผนร้ายที่สมคบคิดกันไว้แล้ว จู่ๆ เฉาเซิ่งไหวก็โผล่มากะทันหัน หากมิใช่ฝีมือหนิวโหย่วเต้าที่เล่นเล่ห์แล้วยังจะเป็นผู้ใดไปได้อีกพ่ะย่ะค่ะ?”
ทุกเรื่องที่ได้รับฟังทำให้ไท่ซูสยงอกสั่นขวัญแขวน ปล้นม้าศึก คลี่คลายวิกฤตการณ์ในสำนักหมื่นสรรพสัตว์ ตอบโต้กลับจนทำให้เซ่าผิงปอต้องหลบหนีออกมา ปลุกปั่นให้เกิดข้อพิพาทระหว่างแคว้นซ่งและแคว้นเยี่ยน ล้วนมิใช่เรื่องง่ายๆ เลย นี่ยังไม่รวมถึงเรื่องที่เขี่ยสำนักหยกสวรรค์ออกจากมณฑลหนานโจว รวมไปถึงเรื่องที่รับหลานชายอวี้ชางเป็นศิษย์ด้วย
หากเปลี่ยนเป็นลูกน้องใต้บัญชาของเขา ขอเพียงทำเรื่องใดสำเร็จสักเรื่องก็ล้วนถือเป็นความดีความชอบอันใหญ่หลวง เขาต้องตกรางวัลให้อย่างงามแน่นอน แต่เรื่องเหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นจากฝีมือของคนผู้เดียว
เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย “ซางเฉาจงมีคนผู้นี้คอยเกื้อหนุนอยู่ เป็นเหมือนดั่งพยัคฆ์ติดปีก ไม่แปลกเลยที่สามารถผงาดขึ้นมาได้ในระยะเวลาไม่กี่ปี หนิวโหย่วเต้าคนนี้อันตรายเหลือเกิน หากได้ตัวมาทำประโยชน์ให้ข้ายังพอว่า มิเช่นนั้นเขาจะต้องกลายเป็นตัวปัญหาตอนที่ข้าเคลื่อนทัพสู่ฝั่งตะวันออกแน่ เก็บไว้ไม่ได้เด็ดขาด!”
สีหน้าเซ่าผิงปอเรียบเฉย เขาจงใจเผยเรื่องม้าศึกสามหมื่นตัวออกมา ฉวยโอกาสเผยเรื่องราวออกไปเรื่องแล้วเรื่องเล่าก็เพื่อให้ไท่ซูสยงตระหนักถึงความอันตรายของหนิวโหย่วเต้า
เขายังลงหลักปักฐานไม่มั่นคง ไม่สามารถใช้งานกำลังของแคว้นจิ้นเพื่อจัดการหนิวโหย่วเต้าได้ แต่มีคนที่สามารถใช้กำลังของแคว้นจิ้นไปจัดการได้ นั่นก็คือคนที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้
เพื่อสลายความคลางแคลงสงสัย เขาจึงทำเป็นเอ่ยโน้มน้าวไปว่า “ไม่จำเป็นต้องให้ฝ่าบาทลงมือหรอกพ่ะย่ะค่ะ มองจากสถานการณ์ตอนนี้ ซางเจี้ยนสยงจะเป็นคนแรกที่ยอมไม่ปล่อยให้เขารอดไปได้พ่ะย่ะค่ะ!”
ไท่ซูสยงส่ายหน้าพลางโบกมือ สื่อว่าไม่ได้มีความหมายเช่นนี้ เขาทอดสายตามองไปไกล เอ่ยด้วยสีหน้าเสียดาย “นับเป็นอัจฉริยะที่หาตัวจับได้ยากอย่างแท้จริง! หากได้คนเช่นนี้มา ไหนเลยจะต้องพะวงว่าใต้หล้าจะไม่สงบสุขอีก? ข้ารู้เรื่องเขาช้าเกินไป มีตาแต่ไม่ประจักษ์ในมุกงาม น่าปวดใจเหลือเกิน! ไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างซางเฉาจงไหนเลยจะคู่ควรพอให้เขาทำงานให้? ม้าดีย่อมต้องคู่กับอานที่ดี นกย่อมต้องรู้จักเลือกไม้ทำรัง ข้าจะสู้ไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนนั้นไม่ได้เชียวหรือ?”
เขาพลันหันกลับมา เอ่ยว่า “หากข้าต้องการรับเขาเข้ามา ไม่ทราบว่าผิงปอจะทนรับได้หรือไม่ ยินดีจะละวางความแค้นแต่หนหลังหรือไม่? หากว่าไม่ยินดี ข้าก็จะไม่คิดเรื่องนี้อีก”
เซ่าผิงปอพลันตีสีหน้าเคร่งขรึม เอ่ยอย่างจริงจังว่า “ขอบังอาจทูลถามฝ่าพระบาท การครอบครองใต้หล้าสำคัญหรือว่าการล้างแค้นส่วนตัวสำคัญกว่าพ่ะย่ะค่ะ? เมื่อเทียบกับใต้หล้าแล้ว การสูญเสียมณฑลเป่ยโจวเพียงแห่งเดียวไปไม่นับเป็นอันใดเลย หรือว่าในสายตาฝ่าพระบาทกระหม่อมเป็นคนใจแคบถึงเพียงนั้น? ขอเพียงหนิวโหย่วเต้ายินยอมสยบต่อฝ่าพระบาท กระหม่อมก็ยินดีจะละวางแค้นแต่หนหลังกับเขา ยินดีทำงานร่วมกับเขาเพื่อรับใช้ฝ่าพระบาทพ่ะย่ะค่ะ!”