บทที่ 524 เทพแห่งโรคระบาด มารพันคลั่ง

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 524 เทพแห่งโรคระบาด มารพันคลั่ง

เทพมารอนธการ?

หานเจวี๋ยมีสีหน้าเรียบเฉย เอ่ยขึ้นว่า “ข้ามีทางช่วยเหลือเจ้า เจ้ามาเขตเซียนร้อยคีรีสักคราเถอะ”

ไม่มีข้อบกพร่องใดที่ความสามารถชำระล้างสมบูรณ์จัดการไม่ได้!

จี้เซียนเสินถามด้วยความสงสัย “ตอนนี้ตบะเจ้าอยู่ระดับใดแล้ว”

“มีตบะพอช่วยเหลือเจ้าได้เท่านั้น”

“หากเจ้าช่วยข้า เกรงว่าคงล่วงเกินอริยชน”

“ไร้สาระ เจ้าอยากได้ความช่วยเหลือหรือไม่เล่า”

หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยความหงุดหงิด เหตุใดคนผู้นี้ถึงทำตัวเหมือนยายแก่ๆ ไปได้

จี้เซียนเสินเม้มปาก รู้สึกคับข้องหมองใจ ความรู้สึกไม่เหมือนในปีนั้นอีกแล้ว

เขารีบตอบ “ข้าอยากได้! ให้เวลาข้าหน่อย หากข้าจัดการธุระในมือเรียบร้อยแล้วจะไปหาเจ้า!”

หานเจวี๋ยพยักหน้ารับ สลายแดนความฝันทันที

จากนั้น หานเจวี๋ยก็ไปเข้าฝันต่อ ครั้งนี้เขามาเข้าฝันมารสวรรค์เบิกฟ้า

ไม่ได้ติดต่อกันสามหมื่นปี ถึงแม้ค่าความประทับจะไม่ลดลง แต่หานเจวี๋ยกลับรู้สึกไม่มั่นใจ ครานั้นเพื่อเอาชีวิตรอด คนผู้นี้สะกดจิตตัวเองเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นค่าความประทับใจหกดาวที่มีต่อหานเจวี๋ยนั้น ช่างเลื่อนลอยยิ่งนัก

แดนความฝันก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว

ในอาณาเขตฟ้าบุพกาล หานเจวี๋ยมองเห็นมารสวรรค์เบิกฟ้า เขายังคงครอบครองสังขารของมนุษย์อยู่ เป็นพุทธองค์หล่อเหลางามสง่ารูปหนึ่ง นุ่งห่มจีวร เปิดเปลือยแขนขวา ลายเส้นกล้ามเนื้อเด่นชัด แผ่รัศมีขึงขังทรงอำนาจอย่างหนึ่งออกมา

เมื่อมารสวรรค์เบิกฟ้าเห็นหานเจวี๋ย ก็พลันตื่นตัวขึ้นมา แสงเทพจากหยินหยางพิทักษ์ตะวันจันทราบดบังใบหน้าหานเจวี๋ย ทำให้มารสวรรค์เบิกฟ้าจำเขาไม่ได้

“ความฝันหรือ”

มารสวรรค์เบิกฟ้าขมวดคิ้วครุ่นคิด เขาอยากทำลายแดนความฝัน ทว่าไม่สามารถทำได้

ตบะของอีกฝ่ายเหนือกว่าเขานัก!

ครึ่งอริยะ!

หานเจวี๋ยเอ่ยขึ้นว่า “จำข้าไม่ได้หรือ”

เมื่อวาจานี้ถูกเปล่งออกมา สีหน้าของมารสวรรค์เบิกฟ้าก็พลันแปรเปลี่ยน เขาไม่เคยลืมเสียงของหานเจวี๋ยเลย

เขาถามด้วยความระมัดระวัง “นายท่านหรือขอรับ”

หานเจวี๋ยเอ่ยว่า “ยินดีด้วยที่เจ้ากลายเป็นบรรพชนพุทธ เพียงแต่มิทราบแล้วว่าใจของเจ้านั้นภักดีต่อข้า หรือว่าสำนักพุทธ”

มารสวรรค์เบิกฟ้ารีบตอบ “ย่อมอยู่กับท่านแน่นอน ข้าเฝ้ารอโอกาสอยู่นอกสวรรค์มาโดยตลอด ยามนี้กลายเป็นบรรพชนพุทธแล้ว ท่านมีคำสั่งใดหรือไม่ขอรับ”

“คำสั่งน่ะไม่มีหรอก เพียงมาเยี่ยมเจ้าเท่านั้น”

“ขอบพระคุณสำหรับความห่วงใยจากนายท่าน”

มารสวรรค์เบิกฟ้ารู้สึกประหม่ายิ่ง เขาไม่เคยลืมทัณฑ์ทรมานในครั้งนั้น

ในยามที่หลับใหล เขามักจะฝันถึงอดีตเสมอ

หานเจวี๋ยถาม “ยามนี้ใครคือผู้ดูแลสำนักพุทธ”

มารสวรรค์เบิกฟ้ากล่าว “บรรพชนพุทธเทวัญขอรับ เขาอยู่ระดับครึ่งอริยะแล้ว”

บรรพชนพุทธเทวัญ…

คนผู้นี้ยังมีชีวิตอยู่จริงๆ!

หานเจวี๋ยหลงนึกว่าบรรพชนพุทธเทวัญดับสูญไปยามสำนักพุทธล่มสลายแล้ว ไม่นึกเลยว่าจะยังมีชีวิตอยู่

เห็นทีว่าการล่มสลายของสำนักพุทธจะเป็นแค่การจัดฉากเล่นละครกันทั้งนั้น ฉิวซีไหลยังคิดจะหลอกเขาไปที่สำนักพุทธอีก

โชคดีที่ไม่หลงกลเข้าจริงๆ!

หากว่าไปก่อนที่จะพิสูจน์มรรค เกรงว่าคงจะไม่ได้กลับมาอีก

หานเจวี๋ยซักถามอีกฝ่ายหลายคำถาม มารสวรรค์เบิกฟ้าล้วนตอบไปตามจริง

หลังจากผ่านไปหนึ่งก้านธูป ความฝันถึงได้สิ้นสุดลง

หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น ขมวดคิ้วนิดๆ

ถึงแม้ท่าทางของมารสวรรค์เบิกฟ้าจะสงบยิ่ง ค่าความประทับใจก็ไม่ได้ลดลง แต่เขามักจะรู้สึกว่าเชื่อถือไม่ได้อยู่เสมอ

‘ข้าอยากรู้ว่ามารสวรรค์เบิกฟ้าภักดีต่อข้าหรือไม่’

[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งพันล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

ดำเนินการต่อ!

[ขณะนี้ยังภักดีอยู่ ขอเพียงท่านไม่ตาย เขาก็ไม่จำเป็นต้องเผชิญความทุกข์ยากในชีวิตเพราะมีท่านอยู่]

หานเจวี๋ยพูดไม่ออกเลย

คนผู้นี้ก็นับว่ามีความสามารถเช่นกัน

มีความสามารถในการจัดการความรู้สึกภักดีที่มีต่อตน!

สำหรับมารสวรรค์เบิกฟ้ายังคงไว้ใจอย่างสมบูรณ์ไม่ได้ ไม่แน่ว่าสักวันคนผู้นี้อาจจะทรยศเปลี่ยนฝ่าย

หานเจวี๋ยคิดเงียบๆ จากนั้นเริ่มฝึกบำเพ็ญ

….

ด้วยการเปลี่ยนผันของวันเวลา แดนเซียนมีชีวิตชีวามากขึ้นเรื่อยๆ หมื่นเผ่าพันธุ์ตั้งรกราก สำนักนิกายแห่งดวงชะตาตระเวนแสดงธรรมไปทั่วหล้า เรียกได้ว่าประชันขันแข่งกันปานมวลบุปผาเบ่งบาน

เผ่ามนุษย์ค่อนข้างอ่อนแอ เนื่องจากเป็นเผ่าพันธุ์ที่เหลือรอดจากมหาเคราะห์ครั้งก่อน ถูกจำกัดด้วยกฎเกณฑ์มรรคาสวรรค์ มนุษย์ปุถุชนมีเกิดมีดับ แต่เผ่าพันธุ์อื่นกลับต่างกันออกไป อายุขัยยืนนาน ส่วนใหญ่ตายในการต่อสู้แทบทั้งสิ้น

แปดร้อยปีต่อมา

แดนเซียนปรากฏเทพแห่งโรคระบาดขึ้นรายหนึ่ง ไปถึงที่ใด โรคระบาดล้วนกล้ำกรายที่นั่น เกิดเสียงร่ำไห้โหยหวนดังระงมไปทั่ว

แดนเซียนเกิดคลื่นลมปั่นป่วนขึ้นชั่วขณะหนึ่ง

แต่เขตเซียนร้อยคีรีไม่ได้รับผลกระทบเลยสักนิด

ภายในดงไผ่ หานปาและหานตั้วเทียนร่ำสุรากันอยู่

หานตั้วเทียนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เป็นอย่างไร สุราที่พวกลูกน้องของข้ากลั่นไม่เลวเลยกระมัง”

หานปาพยักหน้านิดๆ เขามีตบะระดับเทพแล้ว แลดูเย็นชาเป็นอย่างยิ่ง ไม่ใช่หนุ่มน้อยขี้ขลาดเช่นในวันวานอีกต่อไป

แปดพี่น้องน้ำเต้าหานมีสถานะพิเศษในสำนักซ่อนเร้น เทียบกับศิษย์รุ่นที่สองแล้ว ถึงขั้นที่มีฐานะสูงกว่าอยู่รางๆ เนื่องจากพวกเขาทั้งแปดแซ่หาน ซ้ำหานเจวี๋ยยังตั้งชื่อให้ด้วยตัวเอง

พรสวรรค์ของพวกเขาก็ยอดเยี่ยมเช่นกัน แปดพี่น้องล้วนเป็นตัวตนระดับเทพแล้ว หานปาพรสวรรค์เลิศล้ำที่สุด มีพัฒนาการเป็นที่หนึ่งเสมอมา

หานปาถาม “มาหาข้าด้วยเรื่องใด ข้ายังต้องฝึกบำเพ็ญต่อ ในงานประลองใหญ่ประจำศตวรรษครั้งก่อนข้าพ่ายแพ้ต่อโจวฝาน ยอมไม่ได้”

หานตั้วเทียนเอ่ยยิ้มๆ “เรื่องเป็นเช่นนี้ ข้าอยากขอให้พวกเจ้าพี่น้องรับศิษย์ ไม่จำเป็นต้องแสดงธรรมเช่นเดียวกับอาจารย์เทียด แค่ถ่ายทอดพลังวิเศษสำหรับต่อสู้ให้บ้างเป็นครั้งคราว สิ่งมีชีวิตตนหนึ่งในสังกัดข้า สองเนตรทรงอิทธิฤทธิ์ตั้งแต่เกิด ส่องทะลวงเก้าชั้นฟ้าได้ เขาเห็นกลุ่มอิทธิพลของแดนสวรรค์เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ วันหน้าจะต้องเกิดการปะทะต่อสู้กันขึ้นแน่ พวกเราจะเอาแต่พึ่งพาอาจารย์ปู่เทียดให้คอยปกป้องไปตลอดไม่ได้”

หานปาได้ฟังก็ขมวดคิ้ว เขาไม่ได้ปฏิเสธ เขาก็อยากเป็นกำลังให้หานเจวี๋ยเช่นกัน

เหล่าศิษย์อย่างพวกเขาเพียรฝึกบำเพ็ญมาตลอด ยังมิเคยตอบแทนหานเจวี๋ยเลย ตามถ้อยคำบอกเล่าของหลี่เสวียนเอ้า ในสำนักนิกายแห่งอริยะเรื่องเช่นนี้ไม่มีทางเป็นไปได้เลย หานเจวี๋ยช่างการุณย์เหลือเกิน

“ก็ได้ ข้าจะกลับไปหารือกับพวกพี่ๆ ดู” หานปาตอบ

หานตั้วเทียนสีหน้าเบิกบานขึ้นมาในทันใด

ในเวลาเดียวกันนี้

หานเจวี๋ยพลันลืมตา เขาขมวดคิ้วแน่น แหงนหน้ามองไปทางขอบฟ้า

ห้วงอากาศเหนือเขตเซียนร้อยคีรีไม่ทราบว่ามีเมฆาทะมึนแปลกประหลาดกวาดม้วนก่อตัวขึ้นตั้งแต่เมื่อใด ไม่มีเสียงฟ้าร้อง เงียบสงัดนัก

สายตาหานเจวี๋ยมองทะลุผ่านชั้นเมฆ มองเห็นเงาร่างทะมึนสูงหมื่นจั้งตนหนึ่งอยู่ท่ามกลางกลุ่มเมฆครึ้ม

เขาสวมเกราะสีดำดูดุดัน รูปร่างคล้ายมนุษย์ มีแปดแขน ด้านหลังมีปีกหนึ่งคู่ ขยับกระพือนิดๆ ใบหน้าเขาดำทะมึน ทว่าดวงตากลับส่องประกายเจิดจ้ายิ่งนัก ทั้งยังซุกซ่อนเจตนาสังหารเอาไว้

ครึ่งอริยะ!

คนผู้นี้จับตามองเขตเซียนร้อยคีรีอยู่!

หานเจวี๋ยใช้แบบจำลองการทดสอบตรวจสอบ

[มารพันคลั่ง: ครึ่งอริยะระยะกลาง สืบทอดสายเลือดเผ่ามาร มารสวรรค์ฟ้าบุพกาล มหาจักรพรรดิไร้ขอบเขต]

มีศักดิ์ฉายามากกว่าหนึ่ง

หานเจวี๋ยเริ่มใช้แบบจำลองการทดสอบ ดูน่าตื่นตระหนกก็จริงอยู่ทว่ากลับไร้พิษภัย สังหารได้ในเสี้ยววินาที

อ่อนแอเกินไปแล้ว

ปัจจุบันนี้เขาเผชิญหน้ากับครึ่งอริยะ เพียงกระดิกนิ้วแค่นิ้วเดียวก็สามารถสังหารครึ่งอริยะได้

หานเจวี๋ยไม่รีบร้อนลงมือ เขาอยากดูสักหน่อยว่าคนผู้นี้คิดจะทำอะไร

ในหมู่เมฆ มารพันคลั่งขมวดคิ้ว

“ไม่ธรรมดาจริงๆ โชคดีที่ข้าไม่ได้รีบร้อนลงมือ”

มารพันคลั่งพึมพำกับตัวเอง ในชั่วขณะเมื่อครู่นี้ เขาสัมผัสถึงกลิ่นอายอันตรายสุดขีดประการหนึ่ง ทำให้เขามีความรู้สึกเสมือนเผชิญหน้ากับบรรพชนมาร

ดูเหมือนความคิดที่จะสยบเขตเซียนร้อยคีรี แทบไม่มีความเป็นไปได้เลย

มารพันคลั่งหันหลังกลับ เตรียมล่าถอย

“เจ้าคิดหนีหรือ เจ้ากลัวสินะ”

เสียงหนึ่งแว่วเข้าหูของมารพันคลั่ง มารพันคลั่งไม่ชะงักเลยแม้แต่น้อย ยังคงล่าถอยพลางตอบกลับไปด้วย “กลัวจริงๆ นั่นแหละ ภายในเขตเซียนร้อยคีรีมีอริยะที่น่าพรั่นพรึง แม้จะไม่ทราบว่าเหตุใดอริยะถึงปรากฏตัวในแดนเซียนได้ แต่สัญชาตญาณของข้าไม่มีทางพลาด”

เสียงนั้นยังแว่วตามมา “ขอเพียงเจ้าลงมือ ข้าจะถ่ายทอดพลังอริยะของข้าให้เจ้า ขอแค่เจ้าทำลายค่ายกลของเขตเซียนร้อยคีรีได้ มรรคาสวรรค์จะขับไล่อริยะที่อยู่ด้านในออกไปทันที รอจนเขาไปจากแดนเซียน เหล่าอริยะจะจัดการเขา หลังจากจบเรื่อง เจ้าจะได้รับปราณม่วงอนธการหนึ่งสาย”

………………………………………………………………