บทที่ 528 มีความคิดบรรเจิดแล้วสินะ?
บทที่ 528 มีความคิดบรรเจิดแล้วสินะ?
หลังจากที่ได้ฟังคำพูดของเซี่ยเชียนแล้ว ในที่สุดหลินซือก็ตัดสินใจออกไปดูตามคำแนะนำของเซี่ยเชียน
หลินซือมีที่ดินในชนบทอยู่สองสามแห่งที่พอใช้ได้อยู่ในครอบครอง หลังจากนางกลับถึงตระกูลหลินก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดลำลองทันที
การแต่งกายของหลินซือสำหรับคนภายนอกเป็นเพียงแค่คุณหนูครอบครัวเล็ก ๆ เท่านั้น
แม้หลินซือจะไม่ได้แต่งกายด้วยเสื้อผ้าหรูหรา แต่ลักษณะนิสัยบ่มเพาะมาหลายปีมิใช่สิ่งที่ถูกเปลี่ยนได้ด้วยเสื้อผ้า
“คุณหนู…”
ครั้นสาวใช้เห็นเครื่องแต่งกายของหลินซือ ถึงกับชะงักอยู่หลายครา เมื่อเห็นหลินซือหมายจะแต่งกายเช่นนี้ออกไปข้างนอกจริง ๆ ก็อดเอ่ยปากถามไม่ได้ “เราจะแต่งกายเช่นนี้ออกไปจริง ๆ หรือเจ้าคะ?”
วันนั้น ขณะที่เหยาซูและหลินซือกำลังคุยกัน สาวใช้ไม่ได้อยู่ด้วย เพราะเหตุนี้จึงไม่รู้ ‘ปณิธานอันยิ่งใหญ่’ ของคุณหนูตน
สาวใช้คิดแค่ว่าคุณหนูอยากเล่นสนุกเท่านั้น ด้วยเหตุนี้พวกนางจึงค่อนข้างหวาดกลัวที่ต้องเผชิญหน้ากับเรื่องแบบนี้
หลินซือไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ แค่โบกมือและพูดให้สัญญาว่า “เจ้าวางใจเถิด ไม่มีปัญหาหรอก เรื่องเหล่านี้ท่านแม่ข้ารู้ดี”
แม้ว่าสาวใช้จะไม่กล้าขัดใจหลินซือ แต่นัยน์ตานั้นเต็มไปด้วยแววตาปฏิเสธ “คุณหนู อันตรายเกินไป คุณหนูน่าจะพาทั้งสองคนไปด้วยเจ้าค่ะ”
แม้ว่าสาวใช้จะมีท่าทีเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งบ้าง แต่ก็ต้องทอดถอนใจ ในชนบทจะมีอันตรายอะไรได้? แห่กันไปแบบนี้ไม่เป็นการเปิดเผยตัวกว่าหรือ?
เพื่อให้ตัวเองเป็นกังวลน้อยลง อาซือจึงตัดสินใจพาสาวใช้มาตรงหน้าผู้เป็นแม่
เหยาซูกำลังทำบัญชีอยู่ หลินซือโบกมือเป็นสัญญาณให้สาวใช้ที่กำลังจะทำความเคารพห้ามส่งเสียงดัง
หลังจากที่หลินซือเข้ามานางก็ให้สาวใช้ของเหยาซูออกไป อาซือยืนอยู่ข้างกายของมารดา เห็นมารดากระหาย จึงเดินไปรินน้ำด้วยตนเอง
แรกเริ่มเหยาซูไม่สังเกตว่าสาวใช้ของตัวเองถูกเปลี่ยนตัว ในตอนที่รับน้ำมาดื่มแล้วเตรียมจะถามออกไป ก็พบว่าสาวใช้หน้าตาสะสวยตรงหน้าเปลี่ยนเป็นบุตรสาวของตัวเอง
ครั้นเห็นการแต่งกายของหลินซือ เหยาซูก็ไม่ได้แปลกใจ
แม้ว่าวันนั้นนางจะเสนอความคิดเห็นไปเรื่อย แต่ความจริงแล้วนางต้องการบอกหลินซือว่าอย่าก้มหน้ายอมรับชะตากรรม ถึงจะใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ต่อไปได้
นางมองดูลูกสาวที่ยังคงสับสนในคืนนั้น กระทั่งวันนี้นางแต่งตัวพร้อมที่จะออกไปข้างนอก ตอนนี้เหยาซูเดาได้ว่าลูกสาวของตัวเองคงจะมีความคิดบรรเจิดแล้ว
ใบหน้าของเหยาซูยังไม่แสดงสีหน้าใด ๆ แต่ในใจรู้สึกภาคภูมิใจขึ้นมาลึก ๆ
เหยาซูวางสมุดบัญชีในมือลง เริ่มมองดูลูกสาวตรงหน้า “ดูจากที่เจ้าพร้อมจะออกไปข้างนอกแล้ว คงมีความคิดบรรเจิดในใจแล้วสินะ?”
หลินซือพยักหน้า ความคิดนี้มันไม่ง่ายอย่างที่คิดแน่นอน
เดิมทีนางไม่อยากให้ลูกสาวต้องเหนื่อยกับการแบกรับชื่อเสียง ด้วยเหตุนี้นางจึงต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เสมอ
แต่สุดท้ายแล้ว หลังจากที่หลินซือได้ยินคำพูดของผู้เป็นพ่อ ก็พลันรู้แจ้งทันใด
ชีวิตเป็นของนาง หากเป็นคนเข้มแข็ง ไม่ว่าใครจะพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ไม่มีทางทำลายนางได้
ด้วยเหตุนี้ หลินซือคิดว่าน่าจะเปิดสำนักศึกษาของสตรีสักแห่ง
แม้ว่าหลินซือจะไม่เคยไปสำนักศึกษามาก่อน แต่ภายในก็คงจะสอนเกี่ยวภาษิตสอนหญิงและความเป็นกุลสตรีแน่นอน
ของแบบนี้ในความเป็นจริงไม่มีประโยชน์ต่อหลินซือ ประกอบกับถ้าเปิดสำนักศึกษาสักแห่ง เงินทุนคงไม่น้อย แม้จะมีมารดาคอยสนับสนุน นางก็ไม่แน่ใจว่าจะทำออกมาได้ดีหรือไม่
หลังจากที่หลินซือครุ่นคิดอยู่ครึ่งค่อนวัน ในที่สุดก็ตัดสินใจว่าจะเริ่มเปิดเรือนการกุศลก่อน ประการแรกเพราะทุกเทศกาลวันปีใหม่ล้วนแต่มีตระกูลขุนนางชั้นสูงที่ออกมาบริจาค อาศัยประสบการณ์ก่อนหน้านั้น เรื่องเหล่านี้ก็คงไม่ยากตั้งแต่เริ่ม
ประการที่สอง อุปสรรคในการเปิดเรือนการกุศลไม่ได้ใหญ่โตนัก
หลินซือรู้ดี ต่อให้กิจการของผู้เป็นแม่จะไม่เลวนัก แต่เพราะมารดาของตนเป็นถึงฮูหยินของท่านแม่ทัพ ตระกูลขุนนางผู้มั่งคั่งโดยส่วนใหญ่จึงดูถูกดูแคลน แห่เข้ามากลั่นแกล้งกันทั้งนั้น
เรือนการกุศลที่อาซือทำนั้นไม่มีความลำบากเช่นนี้ คนคนหนึ่งสามารถช่วยเหลือคนที่ต้องการความช่วยเหลือได้โดยแท้จริง อีกอย่างก็ไม่มีขุนขางชั้นผู้ใหญ่คนไหนกล้านำเรื่องนี้กราบทูลองค์จักรพรรดิแต่อย่างใด
“ข้าอยากเปิดเรือนการกุศล…”
หลินซือนั่งอยู่ข้างกายของผู้เป็นแม่ ใบหน้าแต้มรอยยิ้ม ครั้นได้ยินเหยาซูเห็นด้วยกับเรื่องนี้ ก็ได้สติกลับมา เด็กสาวยังคงพูดเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา
แน่นอนว่า รวมทั้งเรื่องที่ท่านปู่คุยกับตน นางบอกเหยาซูทั้งหมดอย่างละเอียดถี่ถ้วน
ครั้นเหยาซูได้ฟังเรื่องที่เซี่ยเชียนบอกกับลูกสาว ‘ให้ลองไปดู’ นางก็เข้าใจความหมายของเซี่ยเชียนทันที
แม้ว่าหลายปีมานี้นางจะไม่อยู่ในเมืองหลวง แต่การเติบโตของบุตรชายและบุตรสาวก็ยังคงทำให้นางเป็นห่วงอยู่เงียบ ๆ ในใจ
นางรู้ดีว่าอาซือได้รับการเลี้ยงดูอย่างตามใจจนเติบใหญ่ เพราะเรื่องที่นางประสบมาตั้งแต่วัยเยาว์ทำให้ค่อนข้างคิดมากและถี่ถ้วนมากกว่าคนทั่วไป แต่อาซือเติบโตมาจากการเลี้ยงดูแบบเอาใจใส่ ไม่เข้าใจความลำบากของผู้ตกทุกข์ได้ยาก แม้แต่ทิศทางในการเลือกกิจการในตอนแรกเริ่ม ก็ยังเลือกไปทิศทางที่เกี่ยวกับหยก
หลายปีมานี้ จะว่าไปแล้วเหยาซูยังไม่เห็นคนจนคนไหนมาซื้อหยกได้เลยสักคนเดียว
แต่การที่ลูกสาวไปเยือนชนบทครั้งแรก เหยาซูอดห่วงไม่ได้ และอยากตามไปดูด้วย
เหยาซูเก็บความคิดนั้นในใจ แตะปลายจมูกของหลินซือเล็กน้อย “แต่งตัวเรียบ ๆ เช่นนี้ น่าจะมีหนทางของตัวเองแล้วสินะ รอข้าจัดการบัญชีในมือให้เรียบร้อยก่อน ข้าจะไปดูกับเจ้าด้วย”
พอดีเลย ถ้านางได้เห็นว่าลูกสาวมีส่วนไหนที่ไม่ถูกต้อง ขาดความเหมาะสม นางจะได้หาโอกาสแก้ไขให้ถูกต้องได้ทันท่วงที
ลูกเขยที่เหยาซูภูมิใจที่สุดในใจคือเจี่ยงเถิง เจี่ยงฉีก็เป็นสหายคนสนิทของนางด้วย
หากเอ้อเป่าได้ออกเรือน นางไม่กังวลเรื่องเงิน แต่จะเป็นเรื่องศักดิ์ศรีเจ้าภาพในการจัดงานของลูกสาว การดูแลทุกสิ่งอย่างภายในบ้าน เรื่องนี้คือเรื่องใหญ่ จะให้เสียหายไม่ได้เด็ดขาด
หลินซืออ้าปาก หมายจะพูดว่าไม่ต้อง
ถึงกระนั้น วัยของนางก็โตพอแล้ว ให้ผู้เป็นแม่ตามไปจัดการเรื่องให้ทุกอย่าง ไม่ใช่เรื่องดี นางเคยมีประสบการณ์ทำธุรกิจมาก่อนแล้ว
อาซือคิดวกวนอยู่ในหัว บางทีอาจจะเป็นเพราะผู้เป็นแม่อยากชี้แนะตนจริง ๆ ก็ได้…
…………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
อาซืออยากโตเป็นผู้ใหญ่จริง ๆ แล้วสินะ แรกเริ่มก็ให้แม่ไปช่วยดูหน่อยก็ได้
ไหหม่า(海馬)