ตอนที่ 582 หัวของเซ่าผิงปอ
ทั้งสองแยกตัวออกมาจากกลุ่มคนเดินออกมาด้านข้างแล้วหยุดลง หนิวโหย่วเต้าเอ่ยถาม “ประมุขซือถูมีเรื่องใดจะชี้แนะหรือ?”
ตอนนี้ซือถูเย่ามีความจริงใจให้เป็นอย่างมาก เอ่ยอย่างสะท้อนใจอย่างยิ่ง “น้องหนิว ถึงแม้จะคลี่คลายวิกฤตกาณณ์ของหนานโจวและจินโจวลงได้แล้ว แต่ก็เป็นการทำงานผลประโยชน์ของคนบางจำพวกเข้า ถึงอย่างไรวงสวรรค์หมื่นวิมานก็เป็นสำนักที่ทรงพลังแห่งหนึ่ง ราชสำนักไม่กล้าก่อเรื่องยุ่ง แต่เจ้ากลับต่างออกไป”
เขายกนิ้วจิ้มไหล่หนิวโหย่วเต้าเล็กน้อย “รากฐานของเจ้าอย่างอ่อนด้อย สำนักเขามหายานก็ไม่มีทางยอมทุ่มเททุกสิ่งเพื่อเจ้า ตอนนี้หนานโวยังปลอดภัยดี แต่เกรงว่าเจ้าจะมีปัญหาแล้ว ซางเจี้ยนสยงจักรพรรดิแคว้นเยี่ยนไม่มีทางยอมละเว้นเจ้า ข้าได้ประจักษ์ในฝีมือของน้องหนิวมาแล้ว มีเจ้าอยู่ในหนานโวข้าก็วางใจ หากเป็นคนอื่นอาจจะต้านรับกลยุทธ์ของราชสำนักแคว้นเยี่ยนไม่ไหว ครั้งนี้ไห่อู๋จี๋เสียเปรียบแล้วไม่มีทางยอมรับโดยดีแน่ วังสวรรค์หมื่นวิมานต้องการหลังบ้านที่มั่นคง ดังนั้นข้าไม่อยากให้เกิดเหตุร้ายขึ้นกับเจ้า”
ไม่ว่าจะมาจากความจริงใจหรือไม่ แต่ครั้งนี้อีกฝ่ายทุ่มเทกำลังแก้ไขวิกฤตให้ทางเขาจริงๆ เมื่อได้ประสบเรื่องราวบางอย่างก็นับว่าได้บ่มเพาะรากฐานความไว้วางใจขึ้นแล้ว
หนิวโหย่วเต้าค้ำด้ามกระบี่ด้วยสองมือ เอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ย่ำม้าท่องทั่วหล้า ลมก็ดีฝนก็ช่าง แม้นเผชิญหมอกฝนชีวิตก็ยังต้องดำเนินต่อไป!”
ซือถูเย่าฟังแล้วส่ายหน้าทันที เอ่ยด้วยสีหน้าเจือแววชื่นชม “หากข้ายังหนุ่มกว่าอีกสักหลายสิบปีจะต้องผูกไมตรีร่วมสาบานกับเจ้าแน่นอน”
“ตอนนี้ก็ยังไม่สายเช่นกัน” หนิวโหย่วเต้าเปลี่ยนสีหน้า เอ่ยด้วยแววตาคาดหวัง “หากประมุขซือถูไม่รังเกียจ ข้าก็ยินดีจะสาบานเป็นพี่น้องต่างแซ่กับประมุขซือถู!”
“หยุด!” ซือถูเย่าผงะไปเล็กน้อยจากนั้นก็รีบยกมือห้ามไว้ “ข้าว่าเจ้าพูดง่ายไปหน่อยกระมัง? ลิ่งหูชิวที่ร่วมสาบานกับเจ้าถูกจับเข้าคุกหลวงแคว้นฉี เฟิงเอินไท่ที่ร่วมสาบานกับเจ้าผลสุดท้ายทั้งสำนักถูกเจ้าเตะส่งออกจากหนานโจวไป ตอนนี้ถึงตาข้าแล้วงั้นหรือ? ข้ารับวาสนานี้ไม่ไหวหรอก!”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ปัจจุบันต่างจากอดีต ประมุขซือถูไม่เหมือนกับพวกเขา พวกเราเป็นพันธมิตรกัน…”
“หยุด!” ซือถูเย่าโบกมือห้าม “ข้าต่างจากพวกเขาจริงๆ นั่นแหละ ข้ามีฐานะเป็นประมุขวังสวรรค์หมื่นวิมาน ทุกการกระทำของข้าคือตัวแทนของทั้งวังสวรรคืหมื่นวิมาน ทข้าไม่อาจตัดสินทุกเรื่องตามอารมณ์ได้ สรุปคือเรื่องนี้ข้าไม่อาจตัดสินใจเองได้ ข้าว่าแล้วไปเถอะ”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “ไม่เป็นไร ประมุขซือถูไปหารือกับพวกเขาดูก่อนก็ได้ หากว่าได้รับความเห็นชอบจากทุกคนเล่า?”
ซือถูเย่าไม่อยากเถียงเรื่องนี้กับเขาไม่รู้จบแล้ว บังคับเบี่ยงประเด็นสนทนาไป “ทางนี้ยังมีธุระอีกพอสมควร อีกทั้งข้าไม่อาจรั้งอยู่ที่นยี่ไปตลอดได้ น่าจะจากไปภายในวันสองวันนี้ น้องหนิวรักษาตัวด้วย” พูดจบก็ประสานมืออำลา หันหลังเดินออกไป
รอจนกลุ่มวังสวรรค์หมื่นวิมานจากไปแล้ว ก่วนฟางอี๋กระแวะเข้ามาหา “ทำตัวมีลับลมคมใน เขาพูดอะไรกับเจ้ากัน?”
หนิวโหย่วเต้าหัวเราะฮ่าๆ “ไม่มีอะไร เพียงบอกว่าซางเจี้ยนสยงไม่ยอมปล่อยข้าไปแน่ ให้ข้าระวังไว้บ้าง”
“เฮ้อ!” ก่วนฟางอี๋ถอนหายใจ
หนิวโหย่วเต้าหันไปมองนางเล็กน้อย “อย่าเอาแต่ทอดถอนใจเลย ได้ลูกกลอนวิญญาณสำหรับให้ข้าใช้บำเพ็ญเพียรมาหรือยัง?”
“วางใจเถอะ ไม่ขาดส่วนของเจ้าไปหรอก” ก่วนฟางอี๋กลอกตาใส่เขาทีหนึ่ง พลันเอ่ยถามด้วยสีหน้าเปี่ยมความสงสัยอีกครั้ง “เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าค่าใช้จ่ายในการบำเพ็ญเพียรของเจ้าผิดปกติขึ้นเรื่อยๆ เล่า? ปริมาณการบริโภคของเจ้าในตอนนี้ไม่คล้ายการบริโภคของผู้มีสภาวะระดับสร้างฐานเลย ระดับสร้างฐานต้องใช้ลูกกลอนวิญญาณมากขนาดนี้เชียวหรือ? ไฉนข้าถึงรู้สึกว่าคล้ายปริมาณการบริโภคของระดับโอสถทองเล่า หรือว่าเจ้าจะทะลวงถึงระดับโอสถทองแล้ว?”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยอย่างไม่นำพา “ข้าไม่รู้เรื่องการบำเพ็ญของคนอื่นๆ เท่าไร อาจเป็นเพราะเคล็ดวิชาบำเพ็ญเพียรของแต่ละคนต่างกันไป การบริโภคจึงแตกต่างกันกระมัง”
“งั้นหรือ?” ก่วนฟางอี๋ค่อนข้างสงสัย นางยื่นมือข้างหนึ่งออกมา ทำท่าว่าอยากจะสัมผัสหน้าท้องของเขา “กล้าให้ข้าตรวจสอบดูหรือไม่?”
หนิวโหย่วเต้าสงบนิ่ง เขาขยับแขนย้ายกระบี่ที่ค้ำอยู่ด้านหน้าออก “มีอะไรต้องไม่ไว้ใจเจ้ากัน จะตรวจก็ตรวจสิ”
จุดตันเถียนแหล่งรวมปราณคือรากฐานพลังปราณทั้งหมดของผู้บำเพ็ญเพียร ทันทีที่ถูกทำลายทิ้ง สภาวะทั้งหมดในร่างจะถูกทำลายไปด้วย เทียบเท่ากับอีกชีวิตหนึ่งของผู้บำเพ็ญเพียร โดยเฉพาะเมื่อมีคนถ่ายเทพลังปราณเข้าสู่หน้าท้องทำการตรวจสอบในระยะประชิด หากมีเจตนาร้ายจริงจะไม่มีเวลาตอบโต้กลับเลยด้วยซ้ำ ไม่ต่างอะไรกับถูกคนยกดาบพาดคอเลย
ในสถานการณ์ปกติ ผู้บำเพ็ญเพียรจะยินยอมให้คนแตะต้องจุดอื่นๆ ในร่างกายได้แต่ไม่ยอมให้คนอื่นมาแตะต้องบริเวณจุดตันเถียน เช่นนั้นจะยังพอมีเวลาได้ตอบสนองป้องกัน
เมื่อเห็นว่าเขาไว้วางใจตนถึงเพียงนี้ ก่วนฟางอี๋แสดงสีหน้าหมิ่นหยามแต่ในใจกลับรู้สึกดีใจอย่างยิ่ง ค่อยๆ ยื่นมือไปแตะท้องน้อยของหนิวโหย่วเต้า แผ่พลังปราณเข้าไปสำรวจจุดตันเถียนของเขาอย่างเนิบช้า
ผลคือตรวจสอบพบว่าปราณแท้ในทะเลปราณของหนิวโหย่วเค้าถึงจุดที่บริสุทธิ์ถึงระดับหนึ่งแล้ว เพียงแต่ในจุดตันเถียนก็ยังว่างเปล่าอยู่ แต่ก็ไม่ปรากฏว่ามีโอสถทองควบรวมขึ้นมาเลย
หลังจากนางถอนหลังปราณกลับไปแล้ว หนิวโหย่วเต้าเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มมิเชิงยิ้ม “เห็นแล้วกระมังว่าไม่ได้หลอกเจ้า คราวนี้เชื่อหรือยัง?”
ก่วนฟางอี๋พึมพำด้วยความฉงน “ประหลาด หรือว่าจะเกี่ยวข้องกับเคล็ดวิชาบำเพ็ญเพียรของเจ้าจริงๆ?”
เขาไม่ได้หลอกนางเลย ยังไปไม่ถึงขั้นก่อโอสถจริงๆ แต่นางไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไร ยังไม่ต้องพูดถึงปริมาณการบริโภคลูกกลอนวิญญาณที่ผิดปกติไปเลย แต่ระดับความบริสุทธิ์ของปราณแท้กลับมิใช่สิ่งที่ระดับสร้างฐานจะเทียบชั้นได้ แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่จะบรรลุเป็นโอสถทองได้ นางจึงตั้งข้อสงสัยได้เพียงว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเคล็ดวิชาบำเพ็ญเพียรของเขา
จะใช่เคล็ดบำเพ็ญเพียรของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์หรือไม่ นางก็อยากลองถามหนิวโหย่วเต้าเช่นกันว่าบำเพ็ญเพียรด้วยเคล็ดวิชาใด แต่นี่คือข้อมห้ามใหญ่หลวงของโลกบำเพ็ญเพียร
คนที่มีสังกัดสำนักแค่มองสำนักก็ทราบแล้วว่าบำเพ็ญเคล็ดวิชาใด ไม่จำเป็นต้องถามมากเลย ถามเช่นนี้จะเหมือนคลางแคลงว่าคนเขาทรยศต่อสำนัก เป็นการหมิ่นประมาทคนอื่น
ส่วนคนที่ไร้สังกัดสำนักก็ยังไม่อาจถามได้ ในเมื่อเป็นความสามารถที่ใช้รักษาชีวิตไว้ไหนเลยจะปล่อยให้คนนอกมาทราบจุดอ่อนได้ง่ายๆ
ก็เหมือนที่หนิวโหย่วเต้าไม่เคยซักถามเลยว่าเคล็ดวิชาบำเพ็ญของนางได้รับถ่ายทอดมาจากผู้ใด
ในเวลานี้เอง มีองครักษ์คนหนึ่งของจวนผู้ว่าการเดินเข้ามารายงาน “ฝ่าซือ ฉู่เซียงอวี้ราชทูตแคว้นจิ้นมาขอเข้าพบขอรับ”
ก่วนฟางอี๋มึนงง หนิวโหย่วเต้าก็ค่อนข้างแปลกใจเช่นกัน “ราชทูตแคว้นจิ้นมาพบข้าด้วยเรื่องใด?”
องครักษ์ตอบว่า “ไม่ทราบขอรับ เขารออยู่นอกจวน ฝ่าซือจะยอมพบหรือไม่ขอรับ?”
หนิวโหย่วเต้าใคร่ครวญดูเล็กน้อย ท้ายที่สุดก็ตัดสินจะไปดูอีกฝ่ายคิดจะทำอะไรกันแน่ “เชิญเข้ามา”
องครักษ์เดินออกไป ก่วนฟางอี๋กระซิบเสียงเบา “เจ้าสังหารราชทูตไปสองรายติดแล้ว ยังมีคนกล้ามาหาถึงที่อีกหรือ?”
หนิวโหย่วเต้ากลอกตาใส่นางทีหนึ่ง “ข้าก็ไม่ได้สังหารคนมั่วซั่ว จะสังหารเขาอย่างไม่มีสาเหตุไปไยเล่า?”
ก่วนฟางอี๋อดไม่ได้ที่จะแอบหัวเราะออกมา
ไม่นานนัก ฉู่เซียงอวี้ราชทูตแคว้นจิ้นก็มาถึง ตัวคนยังไม่ทันเดินมาถึงตรงหน้าก็ประสานมือปลกๆ พลางเอ่ยว่า “เต้าเหยี่ย พวกเราได้พบกันอีกครั้งแล้ว”
หนิวโหย่วเต้าโบกมือเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อยู่ต่อหน้าใต้เท้าฉู่ คำว่าเต้าเหยี่ยนี้ข้าไม่กล้ารับไว้”
ฉู่เซียงอวี้หัวเราะฮ่าๆ เอ่ยไปว่า “ได้ยินว่าคนใกล้ชิดเต้าเหยี่ยล้วนเรียกขานกันเช่นนี้ ข้าจึงเรียกตามทุกคน”
ทั้งสองฝ่ายย่อมมีบทสนทนาตามมารยาทอย่างมิอาจเลี่ยงได้ เมื่อคนเขาอยากเรียกขานเช่นนี้ หนิวโหย่วเต้าก็หมดหนทางเช่นกัน
ทั้งสองฝ่ายเข้ามานั่งในศาลา หลังจากก่วนฟางอี๋ยกชาเข้ามาให้เรียบร้อยแล้วก็ได้รับสัญญาณจากฉู่เซียงอวี้ ก่วนฟางอี๋จึงถอยออกไป
“ใต้เท้าฉู่ ตอนนี้คงพูดได้แล้วกระมัง?” หนิวโหย่วเต้าไม่คิดจะอ้อมค้อมกับเขาเช่นกัน วางถ้วยชาลงพลางเอ่ยถาม
ฉู่เซียงอวี้ถามเสียงเบา “เต้าเหยี่ยทราบสถานการณ์ในปัจจุบันของตนหรือไม่? ถึงแม้ครั้งนี้จะคลี่คลายวิกฤตหนานโจวได้ แต่เกรงว่าซางเจี้ยนสยงจักรพรรดิแคว้นเยี่ยนคงชิงชังท่านเข้ากระดูกแล้ว!”
หนิวโหย่วเต้ายิ้มแล้วกล่าวว่า “ใต้เท้าฉู่ใส่ใจความปลอดภัยของข้าขึ้นมางั้นหรือ เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าค่อนข้างพิกลเล่า?”
ฉู่เซียงอวี้เอ่ยอย่างมีลับลมคมใน “หลังจากทราบถึงสถานการณ์ของเต้าเหยี่ย มีคนผู้หนึ่งที่ยินดีจะคุ้มครองความปลอดภัยให้เต้าเหยี่ย
หนิวโหย่วเต้าอดไม่ได้ที่จะมองพินิจอีกฝ่ายอย่างละเอียดครู่หนึ่ง สถานะของอีกฝ่ายทำให้เขาจำเป็นต้องระแวงไว้ “หรือว่าจักรพรรดิไท่ซูสยงแห้งแคว้นจิ้นต้องการจะคุ้มครองข้า?”
ฉู่เซียงอวี้เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ฝ่าบาทเป็นยอดราชันแห่งยุค ชื่นชมและต้องการตัวผู้มีความสามารถ กล่าวได้ว่าทรงชื่นชมในตัวเต้าเหยี่ยมานานแล้ว…”
เขาพูดพล่ามเป็นกระบุงโกยอยู่พักหนึ่ง หนิวโหย่วเต้าพอจะเข้าใจแล้ว ต้องการดึงตัวตนไปเข้าพวกนี่เอง
“ถึงแม้หนานโวจะรอดพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้ แต่ไม่ช้าก็เร็วจะต้องเผชิญหายนะอีก ไม่สถานที่เหมาะพักพิงจริงๆ แต่แคว้นจิ้นของพวกเราต่างออกไป ไม่ขอพูดถึงภายภาคหน้า แต่ในเวลานี้ซางเจี้ยนสยงต้องหาทางกำจัดท่านแน่ หากไปอยู่ที่แคว้นจิ้นเราก็ไร้กังวลในเรื่องนี้…”
หนิวโหย่วเต้าจิบชาช้าๆ ฟังเขาพูดจบจนอย่างมีความอดทน
หลังจากฉู่เซียงอวี้สาธยายจบ ก็เฝ้ารอปฏิกิริยาตอบสนองของเขา
อันที่จริงฉู่เซียงอวี้ก็ทอดถอนใจอยู่ภายในใจเช่นกัน ราชทูตแคว้นต่างๆ ล้วนจากไปกันหมดแล้ว เขานับว่าใจกล้านักที่ไม่ยอมไป
คนของแคว้นหาน แคว้นฉีและแคว้นเว่ยต่างไปกันหมดแล้ว ไม่มีความจำเป็นที่ต้องอยู่รับความเสี่ยงขนาดนั้นเลย ส่วนคนของแคว้นเยี่ยนกับแคว้นจ้าวก็ไม่กล้าอยู่ต่อเช่นกัน ทันทีที่เกิดสงครามขึ้น ด้วยสถานะของคนทั้งสองแคว้นนี้หาอยู่ในจินโจวจะมีจุดจบอย่างไรเพียงคิดดูก็รู้แล้ว ส่วนทางแคว้นซ่งเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นแล้วไหนเลยจะกล้าอยู่ต่อ ที่ควรแปก็ไป ที่ควรกลับไปรายงานผลต่อแคว้นซ่งก็เดินทางกลับแคว้น
เหลือเพียงเขาที่ยังอยู่ เขาเองก็ไม่มีทางเลือกเช่นกัน เนื่องจากได้รับราชโองการลับให้หาทางกำจัดหนิวโหย่วเต้า
ผู้ใดจะคาดว่ายังไม่ทันพบโอกาสสังหาร ฝ่าบาทก็ถ่ายทอดราชโองการใหม่ลงมาอีกครั้ง บัญชาให้เขาไปชักจูงดึงตัวหนิวโหย่วเต้ามา ความเปลี่ยนแปลงอันรวดเร็วนี้ทำให้เขาพูดไม่ออกเลย
คอยอยู่นานสองนานก็ไม่ได้รับการตอบสนอง ฉู่เซียงอวี้จึงถามหยั่งเชิงดู “ฝ่าบาททรงมีความจริงใจอย่างแท้จริง เต้าเหยี่ยคิดเห็นประการใด?”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยเนิบๆ ว่า “น้ำพระทัยของฝ่าบาท ข้าน้อมรับด้วยใจ แต่ข้าคงไม่กล้าไป หากฝ่าบาททรงมีความจริงใจอย่างแท้จริง มิสู้แสดงความจริงใจให้เห็นก่อนเถิด”
ฉู่เซียงอวี้ถาม “เต้าเหยี่ยต้องการความจริงใจเช่นใดเล่า?”
หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “หัวเซ่าผิงปอ! ขอเพียงมอบหัวของเขาให้ข้า ข้าจะไปทันทีโดยมิมีอิดออด”
ฉู่เซียงอวี้ผงะไป จากนั้นเอ่ยว่า “คุณชายเซ่ารับปากฝ่าบาทแล้วว่าขอเพียงเต้าเหยี่ยยินยอม เขายินดีจะละวางความแค้นในอดีตที่มีกับเต้าเหยี่ย ฝ่าบาททรงรับประกันได้!”
หนิวโหย่วเต้าถาม “เห็นข้าเป็นเด็กสามขวบหรือไร? เขาบอกว่าจะละวางความแค้นในอดีตข้าก็ต้องเชื่องั้นหรือ? ใต้เท้าฉู่ หรือนี่จะเป็นแผนที่ฝ่าบาทร่วมมือกับเซ่าผิงปอมาหลอกข้ากัน?”
“เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด หากท่านไม่เชื่อ ฝ่าบาทสามารถประกาศคำมั่นเป็นประกันต่อทั่วหล้าได้!”
“รับประกับแล้วมีประโยชน์อันใด? พอข้าไปถึงแคว้นจิ้นก็ตกอยู่ในกำมือของพวกท่านแล้ว คิดจะยัดข้อหาใดให้ข้าก็ง่ายดายแล้วมิใช่หรือ? ท่านอย่างได้สิ้นเปลืองความคิดเอ่ยโน้มน้าวเลย ก็อย่างที่กล่าวไปเมื่อครู่ ขอเพียงมอบหัวของเซ่าผิงปอให้ข้า ข้าจะไปสวามิภักดิ์ต่อฝ่าบาททันที”
เจรจากันต่อไปไม่ได้แล้ว เขาเอาแต่เอ่ยถึงคำร้องขอนี้ ต้องการให้ไท่ซู่สยงสังหารเซ่าผิงปอลูกเดียว ฉู่เซียงอวี้ไหนเลยจะตัดสินใจแทนได้ สุดท้ายก็ได้แต่ขอตัวอำลาไป กลับไปทูลความก่อนแล้วค่อยว่ากัน
อย่าว่าแต่หนิวโหย่วเต้าเลย ความจริงแล้วแม้กระทั่งฉู่เซียงอวี้ก็สงสัยเช่นกันว่าจะเป็นแผนที่ฝ่าบาทกับเซ่าผิงปอร่วมมือกันสร้างขึ้นหรือไม่
เมื่อแขกจากไปแล้ว ก่วนฟางอี๋ก็เข้ามาอีกครั้ง “เขาถ่อมาหาเจ้าด้วยเรื่องใด?”
“บอกว่าไท่ซูสยงต้องการรับตัวข้าไอยู่ในสังกัด…” หนิวโหย่วเต้าบอกเล่าเรื่องราวคร่าวๆ
ก่วนฟางอี๋แปลกใจ “ไท่ซู่สยงไท่รู้หรือไรว่าเจ้ากับเซ่าผิงปอเป็นศัตรูคู่อาฆาต”
“คนทั่วหล้าต่างรู้ดี หากเขาไม่รู้ก็แปลกแล้ว ดังนั้นหากจะบอกว่าต้องการใช้ลูกไม้กระจอกเช่นนี้มาเล่นงานข้าก็ดูไม่เข้าทีนัก อีกทั้งข้าก็มิใช่คนโง่ แต่จู่ๆ ไท่ซู่สยงก็มาไม้นี้…” หนิวโหย่วเต้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พลันเลิกคิ้วเอ่ยไปว่า “แย่แล้ว ข้ารู้จักไอ้สารเลวเซ่าผิงปอคนนั้น เป็นอย่างดีไม่รู้เลยว่าตอนเขาอยู่กับตาเฒ่าไท่ซูสยงทางนั้นพูดเรื่องดีงามไปมากมายเพียงใด ละวางความแค้นในอดีตงั้นหรือ หากข้าเชื่อเขาก็แปลกแล้ว เกรงว่าความจริงคิดจะใช้แผนยืมดาบสังหารคนมากกว่า! ”
ก่วนฟางอี๋เอ่ยเตือน “ในหมู่จักรพรรดิเจ็ดแคว้น มีเพียงแคว้นจิ้นที่สำนักและราชวงศ์รวมเป็นหนึ่ง ไท่ซู่สยงสามารถเรียกใช้กองกำลังโลกบำเพ็ญเพียรได้อย่างที่จักรพรรดิแคว้นอื่นไม่อาจทำได้ ไม่อาจหักหน้าเขาได้ง่ายๆ!”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยไปว่า “ดังนั้นข้าจังไม่กล้าปฏิเสธ บอกไปว่าให้เขาส่งหัวเซ่าผิงปอมาให้ข้าก่อนแล้วค่อยว่ากัน!”
ก่วนฟางอี๋พูดไม่ออกเลย คำขอนี้ค่อนข้างจะตรงเกินไปหน่อยแล้วกระมัง