บทที่ 562 อีกด้านที่ไม่ให้คนรู้

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บทที่ 562 อีกด้านที่ไม่ให้คนรู้

หลานเยาเยากรอกตาขาวใส่เขาแวบหนึ่ง ไม่พูดจา แต่ใช้สายตาชี้แนะให้เขารีบไปตรวจโรคให้คนไข้

ส้งเย่นกุยมองดูนางแล้วออกแรงกำมือแน่น เหมือนกับว่าบีบจนเหงื่อเย็นออกแล้ว อดไม่ได้ที่จะดูถูกนางแวบหนึ่ง

“เชอะ! คุณธรรมอะไร?”

หลังจากหลานเยาเยามองมาอย่างฉับพลัน ส้งเย่นกุยกลืนน้ำลายอึกหนึ่ง แววตาขี้ขลาด สะบัดแขนเสื้อเล็กน้อย ไปดูอาการให้คนไข้อย่างเชื่อฟัง

หึ!

พอใช้นโยบายผ่อนปรนกับเขา ก็ลอยขึ้นทันใด ยังกล้าได้คืบเอาศอกกับนางอีก วอนหาหมัดรึ!

คิดถึงเย่แจ๋หยิ่ง ใบหน้าของหลานเยาเยาหงอยลงทันที ถอนใจ แล้วนอนลงบนเตียงต่ออีก มือขาวๆค้ำคางเล็กน้อย เอียงมองกลุ่มคนต่อแถวรอตรวจโรค

รู้สึกว่าเวลาช้าลงในพริบตา

ส้งเย่นกุยที่เดิมทีเพียงไม่กี่นาทีก็วินิจฉัยโรคเสร็จหนึ่งคน ตอนนี้ราวกับว่าหนึ่งชั่วโมงก็ยังตรวจไม่เสร็จสักคน

ช้า!

ช้าเกินไปแล้ว

ในที่สุดก็ใกล้ถึงเวลาปิดประตูตอนค่ำแล้ว หลานเยาเยายังคงนอนตะแคงอยู่บนเตียง มองดูด้านนอกที่มืดมิด มองด้วยแววตาแห่งความหวัง

ส้งเย่นกุยเก็บกวาดทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว

หยิบกาน้ำต้มชาร้อนใหม่อีกครั้ง ยื่นไปข้างกายนางสองสามครั้ง โบกมือด้านหน้าของนางสองสามที ยังคงดึงสติกลับมาไม่ได้

ส้งเย่นกุยตื่นเต้นขึ้นมาฉับพลัน หยิบน้ำชาร้อนๆวางในมือของหลานเยาเยา แต่หลานเยาเยากับไร้การสังเกตใดๆ เอาน้ำชายื่นไปที่ข้างปากแล้วดื่ม

นี่ทำให้ส้งเย่นกุยเบิกตาโพลง

วินิจฉัยโรคเสร็จสิ้น ไม่เพียงอาหารไร้รสชาติ แม้แต่สติสัมปชัญญะก็ไม่มีแล้ว

“แฮ่มแฮ่ม!” เขากระแอมเบาๆเสียงหนึ่ง กล่าวเบาๆ : “อ๋องเย่มาแล้ว”

อ๋องเย่……

ห๊ะ? เย่แจ๋หยิ่งมาแล้ว? !

หลานเยาเยาเด้งยืนขึ้นมาแล้วกล่าว รีบมองไปทางส้งเย่นกุย สายตาเช่นนั้นเรียกว่าตื่นเต้น

“คนล่ะ? อยู่ไหน? อยู่ไหน?”

“นู้น อยู่ด้านนอก ดูเอาเองขอรับ” พูดจบ ก็หมุนตัวจากไป

เพิ่งจะเดินได้ก้าวเดียวก็ถูกหลานเยาเยาดึงไว้

“ไม่มีนี่! คนโกหก” เมื่อครู่นางมองดูด้านนอกมาตลอดเลย? เดิมทีไม่มีแม้สักคน ส้งเย่นกุยกำลังหลอกนาง

เอ๊ะ? ไม่ถูก

มือและบนร่างกายทำไมร้อนเช่นนี้ล่ะ?

เมื่อดูอย่างละเอียดถึงพบว่า น้ำราดบนตัวของนางทั้งตัว ยังเป็นน้ำร้อนด้วย แม้แต่บนมือก็มี อุ้งมือหลังมือล้วนโดนลวกจนแดงแล้ว บนพื้นแก้วชาถ้วยหนึ่งยังกลิ้งอยู่ ในแก้วไม่มีน้ำชา แต่ยังมีไอร้อนลอยอยู่……

เมื่อครู่นางได้เผชิญกับอะไร?

“เจ้านายข้าว่า ในเวลาหนึ่งปีที่ท่านหมดสติ ของบำรุงร่างกายสารเหลวแต่ละชนิด ยาบำรุง นั่นคือฉีดเข้าไปในร่างกายของท่านอย่างมหาศาล เมื่อฟื้น อย่าพูดว่าใบหน้าอวบอ้วน อย่างน้อยที่สุดยังมีน้ำมีนวลมีความยืดหยุ่น

แต่จากทะเลทรายมาถึงที่นี่ เวลาสามเดือนสั้นๆ ท่านดูร่างกายท่านตอนนี้ แม้แต่ท่อนไม้ยังเทียบไม่ได้ ผอมเป็นลิงตัวนั้น

ยังจะบอกว่าตัวเองเป็นนักกินจุชั้นยอด สามวันไม่กินข้าวสักถ้วย อาหารเลิศรสทุกชนิด แม้แต่ความปรารถนาจะมองท่านก็ไม่มี ดื่มเพียงน้ำชาเพื่อดำรงชีวิต ท่านปฏิบัติต่อชื่อเรียกขานว่านักกินจุนี้อย่างเหมาะสมหรือขอรับ?”

ได้ยินดังนั้น!

แววตาของหลานเยาเยาหมองหม่น สูดหายใจลึกๆ กล่าวอย่างปากแข็ง :

“ข้ากำลังพยายามแสวงหาความงามของความผอม ทำไม เจ้ายังจะอิจฉาอีกหรอ?”

“แน่จริงตอนกลางคืนท่านอย่าทำให้ข้าเห็นท่านแอบน้ำตาตก ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ดวงตาของท่านก็ต้องร้องไห้จนตาบอดแล้ว ยังจะไปพบเขาอย่างไร?” ส้งเย่นกุยอดใจไม่ได้จริงๆ ยังจะเปิดโปงอย่างไร้ความปรานีอีก

“ท่านยังคิดต้องการตรวจอาการไข้ใจให้เขา ที่ควรตรวจไข้ใจที่สุดก็ตัวท่านเอง คิดเพ้อเจ้อทั้งวันทั้งคืน แทบเป็นจิตเภทแล้ว

ข้าระบบผู้หนึ่งที่ไม่มีความรู้สึกก็ล้วนทนดูต่อไปไม่ได้แล้ว หากว่าอ๋องเย่อยู่ ท่านยังจะทำให้เขามีชีวิตได้อย่างไรขอรับ?”

หลานเยาเยาตะลึงงันอยู่นาน ในที่สุดก็ทนไม่ได้เบ้าตาแดง น้ำตาไหลลงมาเหมือนเขื่อนแตก จากนั้นก็หลับตาลงเงียบๆ มือกุมทรวงอกที่ปวดจี๊ดๆของตัวเอง ค่อยๆนั่งลงบนพื้น

“ข้าคิดมาตลอดว่าตัวเองปิดซ่อนได้ดีมาก คิดไม่ถึงยังจะถูกเจ้าพบเห็นเข้าอีก”

“แต่ว่า ทำอย่างไรได้? ข้ายังจะทำอย่างไรได้อีก? ข้าก็เป็นคนทำผิดผู้หนึ่งที่รักษาใจของตัวเองไม่ได้ ทั้งลืมฮ่องเต้ในอดีตชาติไม่ได้ ทั้งตัดใจจากเย่แจ๋หยิ่งใจปัจจุบันไม่ลง”

“ความทรงจำของอดีตชาติและชาตินี้ล้วนผสมผสานเข้าด้วยกันอยู่ในสมองของข้ามาตลอด ทุกวันคืนข้าล้วนได้รับการประณามจากจิตใจที่มีมโนธรรม เจ้าให้ข้าทำอย่างไร?”

นางทำอะไรไม่ได้……

นางสับสน……

นางกินไม่ได้นอนไม่หลับ……

ต่อหน้าส้งเย่นกุยในเวลานี้ เผยให้เห็นความน่าสงสารเป็นที่สุดเช่นนั้น ราวกับว่านาทีต่อมานางก็จะอกแตกตายเช่นนั้น

นี่เป็นครั้งแรก และเป็นครั้งเดียวที่เห็นหลานเยาเยาท่าทางเช่นนี้ ส้งเย่นกุยค่อนข้างทำอะไรไม่ถูกในฉับพลัน จนกระทั่งพูดปลอบใจนางไม่ออกสักคำ

ทำได้เพียงนั่งย่อลงช้าๆ อยู่เป็นเพื่อนข้างกายนาง มองดูนางร้องไห้

คนผู้หนึ่งที่เข้มแข็งขนาดนั้น นึกไม่ถึงว่าก็มีด้านที่อ่อนแอได้ขนาดนี้ เขาไม่ควรเปิดโปงใช่หรือไม่นะ? ไม่ควรทำให้นางเสียใจเช่นนี้?

……

วันที่สอง สภาพอากาศหนาวเหน็บ ถึงแม้จะมีดวงอาทิตย์ แต่ลำแสงของแสงอาทิตย์กลับทะลุเมฆหมอกหนาๆไม่ได้ ไร้วิธีทำให้แผ่นดินใหญ่อบอุ่น

ตอนเช้าตรู่มีคนเคาะประตู เสียงดังมาก ยังจะเคาะอยู่นานอีก

หลานเยาเยาได้ยินแล้ว เอาผ้าห่มคลุมโปงโดยตรง ทำให้เสียงเคาะประตูถูกตัดออกไปอยู่ด้านนอก

เมื่อวาน ตอนใกล้จะปิดประตู โดนส้งเย่นกุยจัดการด้วยการโพล่งไปแบบนั้น ทำให้ดวงตาของนางยังบวมอยู่ในตอนนี้ นางต้องนอนชดเชยให้ดี เพื่อปลอบโยนจิตใจที่ได้รับบาดเจ็บของตัวเองสักหน่อย

แต่เรื่องราวมักจะไม่เป็นตามที่หวัง

นางนอนคลุมโปงไปยังไม่ถึงแปดนาที เข้ามาในประตูห้องก็ได้ยินเสียงเคาะประตู นางไม่ขานรับ

ฉะนั้นเสียงเคาะประตูเคาะเพียงสองครั้งก็หยุดลง จากนั้นก็เป็นเสียงประตูห้องถูกเปิดออก เสียงฝีเท้าแผ่วเบาค่อยๆดังมา ยิ่งใกล้กับเตียงของนางขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดเสียงฝีเท้าก็หยุดลงหน้าเตียงของนาง

หลานเยาเยายังคงนอนไม่กระดิก

ฟ้ากว้างใหญ่แผ่นดินไพศาล ไม่ได้ยิ่งใหญ่เท่าการนอนหลับ นางต้องนอนเพื่อความงามให้ดี คนที่มาพูดอะไรนางก็ล้วนไม่ลุกจากเตียง จะไม่เด็ดขาด!

“มีคนมาหาหมอ”

หลานเยาเยาแอบกรอกตาขาวในผ้าห่มกับคนที่พูด

หาหมอก็หาหมอสิ! ส้งเย่นกุยแสดงฝีมือเองโดยตรงก็ได้แล้ว ยังจำเป็นต้องมารายงานนางอีก?

“คนที่มาคือจื่อซี เขา……”

พูดยังไม่ขาดคำ เห็นเพียงผ้าห่มบนเตียงถูกเปิดออกอย่างฉับพลัน คนเมื่อครู่ที่ยังนอนบนเตียง ภายในพริบตาก็ไม่เห็นแล้ว เหลือเพียงลมที่พัดผ่านข้างหู

“……” รีบร้อนสุดๆจริงๆเลย

โชคดีที่มาเพียงแค่จื่อซี หากว่าเป็นอ๋องเย่มา นางก็คงต้องบ้าแล้ว?

ส้งเย่นกุยส่ายศีรษะอย่างจนปัญญา เพิ่งจะหันตัวก็เห็นหลานเยาเยาเดินอย่างเคืองๆเข้ามาจากด้านนอก ผมยาวรุงรัง ทั้งตัวดูไม่ได้ เสื้อคลุมไม่ได้ใส่ยังพอว่า แม้แต่เท้าก็เป็นเท้าเปล่า

“ทำไมหรือ? คุณชายซ่างกวน”

ขี้เกียจจะสนใจการเยาะเย้ยของส้งเย่นกุย ใส่เสื้อสวมรองเท้าบูตเงียบๆ กรอกดวงตาเพ่งมองเขาอยู่ตลอด ไม่เคลื่อนไปสักนาทีเดียว

แม้ขณะที่หวีผม ส้งเย่นกุยก็สามารถเห็นท่าทีที่หลานเยาเยาเพ่งมองเขาในกระจกได้

รู้สึกน่าขันอย่างฉับพลัน

แต่ส้งเย่นกุยก็ไม่กล้าหัวเราะออกเสียง

หวีผมเสร็จ สวมใส่ครบเรียบร้อย เอาน้ำล้างหน้าล้างตา หลังจากทำทุกอย่างเสร็จ หลานเยาเยาจึงได้ฟื้นคืนสู่ท่าทีของคุณชายซ่างกวนที่ควรเป็น

มาถึงด้านหน้าส้งเย่นกุย วางมาดของหลานเยาเยา พูดอย่างเรียบๆ :

“จื่อซีจำเจ้าได้หรือไม่?”

ส้งเย่นกุยคลำเคราสั่นๆสองข้างที่ดูมีชีวิตชีวาเล็กน้อยบนริมฝีปาก แล้วมองดูเสื้อผ้าชุดใหม่ที่แพรวพราวของตัวเอง ทั้งยังผมที่มัดไว้อย่างไม่น่าดูเป็นที่สุดอีก……

เขาส่ายหัว สีหน้าเคร่งเครียด

“ไม่มีขอรับ”

ไม่ส่องกระจกเขาก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร ส่องกระจกแล้ว เขารู้สึกว่าเขาสามารถเป็นพ่อของหลานเยาเยาได้

หลานเยาเยายกมุมปากขึ้น :

“อืม ข้าก็รู้สึกว่าไม่ ไป พวกเราไปรับแขก”

“อ่อ!” ทำไมน้ำเสียงนี้แปลกๆ? รู้สึกเหมือนเหล่าแม่นางหอหยินชุนรับแขกเช่นนั้น