ตอนที่ 167-2 ครอบครัวพร้อมหน้า

ใบหน้างามๆ ของปี้เอ๋อร์พลันถอดสี “อะไรนะ เขา… เขาไม่ได้บอกว่าตัวเองเป็นบิดาของจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูหรือ เหตุใดถึงมีลูกคนอื่นอีกได้”

“เก่งละมัง!” คืนเดียวได้สามคน จึ๊ เก่ง เก่งจริงๆ!

ตอนกินมื้อเช้า พอมองไปเห็นศีรษะกลมกิ๊กสามหัว เรียกได้ว่าแปลกตามากทีเดียว

พวกเขาไม่พูดอะไรเลย ไม่รู้ว่าพูดไม่ได้หรือไม่ชอบพูดกันแน่ แล้วก็ไม่ค่อยยิ้ม ยังดีหน่อยที่ไม่ตื่นคนแปลกหน้า ไม่อย่างนั้นหากร้องกระจองงองแงกันขึ้นมา นางคงรับไม่ไหว

วั่งซูคีบซาลาเปาไส้เนื้อให้พวกเขาคนละลูกอย่างมีน้ำใจ “ซาลาเปาที่ท่านแม่ข้าทำอร่อยมากเลยนะ”

“สามเณรไม่กิน…” คำว่าเนื้อของเฉียวเวยยังไม่ทันออกจากปาก ก็เห็นเณรน้อยทั้งสามคว้าซาลาเปาไส้เนื้อ แล้วอ้าปากกัดคำใหญ่ทันที

นี่จะต้องเป็นสามเณรปลอมแน่…

เด็กทั้งสามกินเก่งจนน่าตกใจ ไม่นานก็กวาดอาหารบนโต๊ะจนเรียบ นอกจากวั่งซูที่เป็นเด็กน้อยกินจุสามารถรักษาอาณาเขตของตนไว้ได้แล้ว ป้อมปราการของจิ่งอวิ๋นกับเฉียวเวยเฉียวเจิงล้วนสูญเสียการยึดครองไปหมด เสบียงอาหารถูกแย่งไปจนไม่เหลือหลอ

ในมือจิ่งอวิ๋นยังเหลือหมั่นโถวครึ่งลูกสุดท้าย ในขณะที่กำลังจะเอาเข้าปาก เณรน้อยทั้งสามก็มองมาที่เขาพลางสูดน้ำลายโดยไม่กะพริบตาสักนิด จิ่งอวิ๋นถอนหายใจ เอาหมั่นโถวแบ่งออกเป็นสามส่วน “ให้”

ทั้งสามก็รับไปกินอย่างไม่เกรงใจ

แต่เด็กทั้งสามดูเหมือนจะยังกินไม่อิ่ม ยังสูดน้ำลายพลางมองไปทางวั่งซู

วั่งซูไม่มีทางแบ่งเสบียงอาหารให้ใคร ค่อยๆ แทะเล็มหมั่นโถวเนื้อตุ๋นที่แตะแล้วกินแล้วต่อไปทีละคำ ไม่ต้องบอกเลยว่าอร่อยแค่ไหน

เด็กทั้งสามจึงหันไปมองเฉียวเวยกันตาแป๋ว

เฉียวเวยเอามือก่ายหน้าผาก “ข้าไปทำให้ ข้าไปทำให้”

เฉียวเวยไปเข้าครัว ทำขนมเปี๊ยะฟักทองมาสิบชิ้น ต้มข้าวต้มมันเทศหนึ่งหม้อ ยำบะหมี่ก้อนใหญ่ ปริมาณนี้ออกจะมากไปสักหน่อย แต่จิ่งอวิ๋นกับนางและบิดาของนางยังกินไม่อิ่ม น่าจะจัดการกันหมดได้

แต่ใครจะรู้ว่าพอขึ้นโต๊ะแล้ว ถึงได้รู้ว่าเยอะเท่านี้แล้วก็ยังพอแค่เด็กสามคนเท่านั้น

ในที่สุดเด็กทั้งสามก็กินอิ่ม แล้วพร้อมใจกันเรอออกมา

เฉียวเวยต้มบะหมี่สองชาม ชามหนึ่งของตนกับจิ่งอวิ๋น อีกชามหนึ่งของเฉียวเจิง

แต่ไหนแต่ไรมา ไม่เคยมีมื้อเช้าวันไหนที่กินจนถึงยามเที่ยงมาก่อน เฉียวเวยเพิ่งเก็บกวาดห้องครัวเสร็จ เด็กทั้งสามก็วิ่งตึกๆๆ กันมาอีกแล้ว

หิวแล้ว

เฉียวเวย “…”

เฉียวเวยตัดสินใจที่จะส่งเด็กทั้งสามกลับไปให้ยิ่นอ๋อง ไม่อย่างนั้นวันๆ หนึ่งนางได้แต่ทำกับข้าวให้เด็กๆ กิน เรื่องอื่นไม่ต้องทำกันพอดี

ไม่รู้ว่าเพราะเมื่อเช้าจิ่งอวิ๋นแบ่งซาลาเปาให้พวกเขาหรือไม่ พวกเขาจึงอาลัยอาวรณ์จิ่งอวิ๋นกันมาก แต่ละคนแย่งกันกอดจิ่งอวิ๋นใหญ่ กอดแน่นมากๆ จนจิ่งอวิ๋นแทบจะถูกรัดจนหน้าขาว

นี่เป็นครั้งแรกที่จิ่งอวิ๋นเป็นที่ชื่นชอบของคนในวัยเดียวกันมากกว่าวั่งซู

เฉียวเวยให้เด็กทั้งสามขึ้นรถม้าของตาเฒ่าซวนจื่อ

ตาเฒ่รซวนจื่อร้องไอ้หยาทีหนึ่ง “แฝดสามหรือนี่! ญาติของเจ้า?”

หน้าพวกเขามีส่วนคล้ายจิ่งอวิ๋นอยู่เล็กน้อยจริงๆ!

เฉียวเวยยิ้มแต่ปาก “ญาติห่างๆ น่ะ”

หมิงซิวมีศักดิ์เป็นอาของยิ่นอ๋อง ตอบไปเช่นนี้จึงไม่มีอะไรผิด

ตาเฒ่าซวนจื่อยิ้มเอ่ยว่า “เก่งกว่าเจ้าอีกนะ ลูกชายสามคน!”

ลูกชายสามคนแล้วอย่างไร ฉลาดเท่าจิ่งอวิ๋นของนางหรือ มีพลังช้างสารเหมือนวั่งซูของนางหรือ

พอไปถึงในเมือง ก็เปลี่ยนไปขึ้นรถม้าอีกคัน

สารถีกวน “แฝดสามหรือนี่! ญาติของเจ้า?”

เฉียวเวยยิ้มแห้งๆ “ญาติห่างๆ น่ะ”

สารถีกวนเอ่ยล้อนางเล่นว่า “ญาติคนไหนหรือ เก่งจริงเชียว คลอดทีเดียวตั้งสามคน เจ้ายังแค่สองคนเลย! คนเขายังเป็นบุตรชายหมดเลยเสียด้วย”

เฉียวเวยหน้าดำคล้ำ

พอไปถึงจวนยิ่นอ๋อง ไม่สนจะบอกกล่าวใดๆ ทั้งสิ้น นางจับเด็กยัดใส่มือองครักษ์ได้ก็ไปทันที!

ไม่ใช่ลูกของนางเสียหน่อย พ่อแท้ๆ ยังไม่เอา แล้วนางจะสนใจไปทำไม

“เฉียวเวยเอ๋ย ตอนนี้พวกเราจะกลับไปที่เมืองหรือจะไปเดินเล่นที่ไหนหรือ” สารถีกวนถาม ที่ปากเขาบอกว่าเดินเล่น ย่อมไม่ได้หมายถึงไปเดินเล่นตามท้องถนนจริงๆ เขารู้ว่าเสี่ยวเฉียวมีคนรักอยู่ที่ถนนชิ่งเฟิง หน้าตาหล่อเหลายิ่งนัก เวลามาเมืองหลวง ทุกห้าครั้งต้องมีไปบ้านเขาสักสามครั้ง ครั้งนี้คิดดูแล้วก็คงไม่มีข้อยกเว้นกระมัง

น่าเสียดายที่สารถีกวนคิดผิดเสียแล้ว เวลานี้เฉียวเวยไม่มีอารมณ์จะพลอดรัก ตาเฉียวเวยเป็นประกาย “ข้า… เมารถนิดหน่อย สารถีกวน ท่านช่วยจอดในซอยสักพัก ข้าขอพักหน่อย”

“อ้อ ได้” สารถีกวนไม่ได้ถามอะไรมากมาย เอารถม้าไปจอดที่ซอยตรงข้ามจวนยิ่นอ๋องให้อย่างเอาใจใส่

เฉียวเวยแหวกม่านออกเป็นช่องเล็กๆ คอยสังเกตความเคลื่อนไหวของเด็กทั้งสาม องครักษ์ทำราวกับตนเองเป็นรูปปั้น ทำตัวหูหนวกตาบอดใส่ซาลาเปาข้างกาย เด็กทั้งสามตบเสื้อเกราะของเขา ลูบดาบของเขา เขาก็ไม่ขยับสักนิด

เฉียวเวยกัดฟัน “ยิ่นอ๋องไปตายแล้วหรือไร บุตรชายท่านกลับมาแล้ว ยังไม่อุ้มเข้าจวนไปอีก”

ในจวนยิ่นอ๋องมีหอเด็ดดาวอยู่ สูงเจ็ดจั้งเห็นจะได้ เมื่อยืนอยู่บนดาดฟ้า สามารถมองเห็นทิวทัศน์ไปได้ครึ่งเมืองหลวง การกระทำทุกอย่างของเฉียวเวย ย่อมไม่อาจเล็ดรอดสายตาของชื่ออีเว่ยไปได้ รวมถึงเด็กทั้งสามที่ถูกทิ้งไว้หน้าประตูด้วย

ชื่ออีเว่ยส่งข่าวไปที่ห้องหนังสือทันที

ยิ่นอ๋องได้ยินข่าว ก็เพียงยิ้มเย็น “นางคิดจะเล่นละครอะไรอีก”

ขันทีหลิวคิดแล้วเอ่ยโน้มน้าวว่า “ท่านอ๋อง ข้าน้อยดูอยู่ ไม่เหมือนว่าฮูหยินกำลังเล่นละครนะขอรับ”

ยิ่นอ๋องสะบัดสายตาส่งไปทันที “นี่เจ้าเริ่มจะช่วยพูดแทนนางแล้วหรือ เจ้าไปได้ประโยชน์อะไรจากนาง”

ขันทีหลิวตกใจแทบแย่ “ไม่มีๆๆ ท่านอ๋องอย่าได้เข้าใจผิด ข้าน้อยไม่เคยไปมาหาสู่เป็นการส่วนตัวกับฮูหยิน สุริยันต์จันทราเป็นพยานได้!”

ยิ่นอ๋องส่งเสียงหึเย็นๆ

ระหว่างทางกลับเมืองหลวง ขันทีหลิวถามความจริงเรื่องเฉียวเจิงจากปากยิ่นอ๋องมาได้ ในใจจึงยิ่งมั่นใจในฐานะของเด็กเหล่านี้ เขาเอ่ยอย่างหนักใจว่า “ท่านอ๋อง อายุของเด็กเหล่านั้นไล่เลี่ยกับจิ่งอวิ๋น หากลองนับเวลาดูแล้ว ก็มีโอกาสที่จะเป็นบุตรของท่านได้จริงๆ พวกเขายังมีหน้าตาละม้ายท่านเพียงนั้น ซ้ำยังมีภาพวาดของท่านอีก มีความเป็นไปได้มากที่สตรีในปีนั้นจะกลับมาหาท่านน่ะขอรับ”

ข้อนี้มีเหรือยิ่นอ๋องจะไม่เคยคิดมาก่อน เพียงแค่ในใจของเขา ไม่อาจยอมรับความจริงนี้ได้เท่านั้น

ขันทีหลิวลอบถอนหายใจ ท่านอ๋องปากบอกว่ารังเกียจเฉียวซื่อต่างๆ นานา แต่แม้แต่ตัวท่านอ๋องเองก็ยังไม่รู้ว่า เขานึกชอบพอเฉียวซื่อเข้าแล้วจริงๆ แค่เพียงทำใจลดศักดิ์ศรีลงมายอมรับความในใจนี้ไม่ได้เท่านั้น

ที่เขาผลักไสเด็กเหล่านั้นเพียงนี้ จะไม่ใช่เพราะคิดอยากเก็บความเป็นไปได้ว่าจิ่งอวิ๋นเป็นบุตรของตนเอาไว้หรอกหรือ

แต่ว่า…เป็นไปไม่ได้แล้ว

“ท่านอ๋อง” ขันทีหลิวมองผู้เป็นนายด้วยสีหน้าซับซ้อน “ท่านต้องเห็นแก่ภาพใหญ่ของนะขอรับ พวกเขาเป็นเลือดเนื้อเขื้อไขของเชื้อพระวงศ์ต้าเหลียง ท่านปฏิเสธพวกเขา ละทิ้งพวกเขาไว้ข้างนอกเช่นนี้ หากได้ยินไปถึงพระเนตรพระกันต์ฝ่าบาทเข้า จะต่อว่าท่านได้อีกนะขอรับ”

ฮ่องเต้ชอบอุ้มหลาน ใครไม่มีให้เขาอุ้ม เขาก็จะเร่งเร้าคนนั้น

ยิ่นอ๋องกำหมัดแน่น

ขันทีหลิวโน้มน้าวด้วยความจริงใจว่า “เรื่องคราก่อนยังไม่แล้วไปเลยนะขอรับ หากให้ฝ่าบาทรู้เรื่องความผิดของท่านอีก ท่านยังอยากจะอยู่ในเมืองหลวงต่อหรือไม่”

แววตายิ่นอ๋องครึ้มลง

ขันทีหลิวรู้ดีว่ายามที่ท่านอ๋องไม่ตอบโต้ เท่ากับเขาฟังสิ่งที่ตนพูดแล้ว จึงเอ่ยต่อว่า “อีกอย่าง การที่ท่านมีบตุร ไม่ใช่เรื่องดีหรอกหรือ หลานที่น่ารักเพียงนี้ ฝ่าบาทจะต้องทรงโปรดแน่”

สายตายิ่นอ๋องสั่นไหวเล็กน้อย จวนเจาอ๋องที่ได้รับความโปรดปรานจากเสด็จพ่อ ก็ไม่ใช่เพราะเจ้าเด็กโง่นั่นหรอกหรือ มีอะไรดีนักหนา ของตนมีตั้งสามคนแหนะ! สามต่อหนึ่ง คิดอย่างไรเขาก็ชนะ

ตนเพิ่งผ่านเรื่องเผ่าซยงนีว์มา กำลังอยู่ในช่วงถูกเบิกเฉย ไม่มีอะไรสามารถทำให้เสด็จพ่ออารมณ์ดีได้เท่ากับหลานสามคนแล้ว

เรื่องเมื่อปีก่อน ถึงแม้จะเป็นความผิดของเขา แต่เมื่อเห็นแก่หลานทั้งสาม เชื่อว่าเสด็จพ่อคงไม่ไล่เรียงไม่เลิกแน่

ไม่เพียงเท่านั้น เด็กทั้งสามอยู่อย่างโดดเดี่ยวไม่มีที่พึ่ง เสด็จพ่อจะต้องยิ่งสงสัยเป็นเท่าทวีแน่

เมื่อมีความคิดนี้แล่นเข้ามา ยิ่นอ๋องจึงตัดสินใจ สั่งหลิวฉวนว่า “เจ้าไปรับตัวคุณชายทั้งสามเข้าจวนมา แล้วล้างเนื้อล้างตัวให้ดี คืนนี้ข้าจะพาพวกเขาเข้าวังไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ”

ขันทีหลิวยิ่นดียิ่ง “ขอรับ!”

ขันทีหลิวออกไปรับเด็กทั้งสามที่หน้าประตูจวน ระหว่างทาง ขันทีหลิวลองที่จะสื่อสารกับพวกเขา “มารดาของพวกเจ้าเป็นใคร อยู่ที่ไหน เหตุใดถึงไม่มากับพวกเจ้าด้วย พวกเจ้ามาเมืองหลวงกันอย่างไร แต่ไม่ว่าจะถามอย่างไร เด็กทั้งสามก็ไม่ตอบอะไรทั้งสิ้น

คงไม่ได้เป็นใบ้กันหมดกระมัง

ขันทีหลิวลอบหยิกก้นเด็กคนหนึ่งในนั้น

เณรน้อยคนนั้นร้องลั่น “อ๊า!” แล้วกระทืบเท้าขันทีหลิวให้ทีหนึ่ง

ขันทีหลิวทั้งเจ็บทั้งดีใจ ขอบคุณฟ้าขอบคุณดิน ไม่ได้เป็นใบ้!

คงไม่ใช่…มีปัญหาเรื่องสติปัญญา?

ขันทีหลิวคว้าเอาหินเล็กๆ มาก้อนหนึ่ง ยัดใส่มือเณรน้อยอีกคน “กินลูกกวาด”

เณรน้อยคนนั้นมองขันทีหลิวคล้ายกำลังมองคนบ้า ขันทีหลิวเป็นคนฉลาด แค่เห็นสายตาอีกฝ่ายก็รู้แล้วว่าเขาไม่ใช่เด็กปัญญาไม่สมประกอบ ขันทีหลิวจึงหัวเราะแหะๆ เอาหินก้อนนั้นมาใส่ปากตนเอง จากนั้นก็รีบบ้วนออกมาทันที “แหวะถุย! ถุย! ถุย!”

ยิ่นอ๋องไปยังห้องที่เอาไว้ชำระร่างกายโดยเฉพาะ เพื่ออาบน้ำและรมกลิ่น

ส่วนขันทีหลิวพาเด็กน้อยทั้งสามไปยังเรือนที่เตรียมไว้ให้จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูก่อนหน้านี้ เขาสั่งให้บ่าวตักน้ำร้อนมา แล้วปรนนิบัตินายน้อยทั้งสามให้ชำระร่างกาย

เด็กทั้งสามรูปร่างพอๆ กับจิ่งอวิ๋น อาภรณ์ที่เดิมทีหญิงปักผ้าทำไว้ให้จิ่งอวิ๋น จึงได้นำออกมาใช้พอดี

ทุกอย่างตระเตรียมไว้เรียบร้อย ขันทีหลิวไล่พวกบ่าวไพร่ออกไป แล้วอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เด็กทั้งสามด้วยตนเอง

เด็กทั้งสามอยากทำธุระหนัก ขันทีหลิวก็ให้คนเอากระโถนใบเล็กมาให้

เด็กทั้งสามขึ้นไปนั่ง ทำธุระกันอย่างสบายอารมณ์ พอเสร็จขันทีหลิวก็ล้างก้นให้ ตอนล้างเขารู้สึกทะแม่งๆ ดูเหมือน…จะมีบางอย่างหายไป

เด็กทั้งสามกระโดดลงไปในอ่างน้ำ! น้ำกระเด็นมาถูกตัวขันทีหลิว ขันทีหลิวยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกไม่ดี จึงจับตัวเด็กคนหนึ่งมายกขึ้นดู

สวรรค์ทรงโปรด ช้างน้อยของเจ้าเล่า!

คนที่หนึ่งไม่มีช้างน้อย

คนที่สองไม่มีช้างน้อย

คนที่สาม…ก็ไม่มีช้างน้อย!

ขันทีหลิวกระวนกระวายขึ้นมาทันที!

โอ้สวรรค์

นี่ไม่ใช่เณรน้อย เป็นแม่ชีน้อยหรือนี่…

แผนที่ยิ่นอ๋องคิดอยากใช้บุตรชายมาช่วงชิงความโปรดปรานเป็นอันล้มไม่เป็นท่า เด็กทั้งสามถึงแม้จะน่ารัก แต่ฮ่องเต้ไม่สนใจหลานสาว ไม่อย่างนั้นพระชายาเจาก็ควรจะได้รับความโปรดปรานไปแล้ว นางให้กำเนิดจวิ้นจู่น้อยที่งดงามประหนึ่งหยกเชียวนะ

ยิ่นอ๋องรมกลิ่นหอมมาทั้งตัว แต่งกายก็งดงามน่าดูชม รอจะพาบุตรชายทั้งสามเข้าวังไปสร้างความประหลาดใจให้เสด็จพ่อยินดี

แต่เห็นได้ชัดว่าคงเหลือแต่ตกใจแล้ว

ยิ่นอ๋องกำหมัดทุบโต๊ะ!

ขันทีหลิวหวาดกลัวไม่กล้าพูดอะไร เดิมทีเขาพูดออกไปอย่างเต็มปากเต็มคำว่ามีบุตรชายดี ถึงได้เกลี้ยกล่อมให้ท่านอ๋องรับตัวเด็กเข้าจวนมาได้ เวลานี้บุตรชายได้กลายเป็นบุตรสาว แล้วเขาจะทำอย่างไร

จะว่าไป ใครกันที่ใจคอโหดเหี้ยมเพียงนี้ ถึงได้จับเด็กสาวที่น่ารักหมดจดมาโกนผมเสียล้านโล่น และเลี้ยงดูเป็นแม่ชีมาจนเติบใหญ่ เด็กทั้งสามดูไม่เหมือนเด็กที่ผอมแห้งอดๆ อยากๆ ชีวิตความเป็นอยู่น่าจะไม่เลวร้าย…

ครานี้ขันทีหลิวลืมแม้แต่จะคิดสงสาร เหลือเพียงความแปลกใจอันเปี่ยมล้นต่อฮูหยินท่านนั้น

เขาพึมพำว่า “เด็ก… เด็กสระสวยเพียงนี้ คิดดูแล้วฮูหยินท่านนั้นก็คงงดงามมากเช่นกัน”

ยิ่นอ๋องคิดถึงความผลีผลามของตนในคือนนั้น เขารู้สึกเพียงว่าอีกฝ่ายหน้าตาเหมือนเฉียวซื่อมาก ในห้องมืดสลัว เขาไม่รู้ว่าตนเองมองเห็นได้อย่างไร แต่ในหัวของเขามีภาพเช่นนั้นอยู่จริงๆ

เขาจำได้ว่าตนเองเรียกขานอีกฝ่ายว่าเสี่ยวเวย นางก็ตอบรับ น้ำเสียงกังวานใสราวสายน้ำ อ่อนหวานเย้ายวน

เหตุใดมาวันนี้… ถึงไม่ใช่นางแล้วเล่า

ขันทีหลิวพอเห็นสีหน้าของท่านอ๋อง ก็รู้ว่าท่านอ๋องมีความคิดเป็นอื่นขึ้นมาอีกแล้ว จึงรีบเตือนสติว่า “ท่านอ๋องๆ เด็กเหล่านั้นเป็นลูกของท่าน! สตรีในคืนนั้นไม่ใช่เฉียวซื่อ!”

ระหว่างที่นายบ่าวกำลังสนทนากัน ขันทีน้อยคนหนึ่งก็เข้ามาค้อมตัวเอ่ยรายงานที่หน้าประตู “ท่านอ๋อง! ข้างนอกมีรถม้ามาจอดอยู่คันหนึ่ง บอกว่ามาตามหาลูกขอรับ!”

หรืออว่ามารดาของเด็กเหล่านี้จะมาหาถึงบ้านแล้ว?

เฉียวเวยรออยู่บนรถสารถีกวนอยู่พักหนึ่ง เมื่อมั่นใจว่าเด็กๆ ถูกรับตัวเข้าไปแล้ว คงไม่ถูกส่งออกมาอีก ถึงได้สั่งให้สารถีกวนกลับได้

แต่สารถีกวนเพิ่งยกแส้ขึ้น เฉียวเวยก็เห็นคนม้าอีกคันหนึ่งแล่นเข้ามา ตัวรถมองดูแล้วไม่ได้ดูมีตรงใดที่หรูหรา แต่เฉียวเวยสังเกตเห็นที่ล้อว่าเพิ่มความมั่นคงมา กว้างขนาดล้อสองล้อได้เลยทีเดียว

“สารถีกวน รอเดี๋ยวก่อน” เฉียวเวยเอ่ย

“ได้สิ!” สารถีกวนวางแส้ลง

ตำแหน่งที่เฉียวเวยอยู่ เห็นเดียงด้านเดียวของรถ อีกฝั่งที่หันเข้าหาจวนอ๋องนางมองไม่เห็น ไม่รู้ว่าคนในรถม้าทำอะไร อยู่ๆ ในจวนก็มีขันทีน้อยคนหนึ่งเดินออกมา

ตัวขันทีน้อยผู้นั้นถูกรถม้าบังไว้ เฉียวเวยได้ยินแว่วๆ ว่ามี “ลูก” อะไรสักอย่าง ไม่นาน ขันทีน้อยก็เข้าจวนอ๋องไป

เวลาผ่านไปประมาณครึ่งเค่อ ยิ่นอ๋องก็เดินนำขันทีหลิวออกมา

เฉียวเวยลงจากรถม้า อ้อมไปทางด้านหลังซอย เพื่อไปยังอีกซอยหนึ่งที่อยู่เยื้องกับจวนอ๋อง แล้วหลบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ตรงปากซอย

จากมุมนี้นางสามารถเห็นทุกอย่างที่หน้าประตูจวนอ๋องได้ รวมถึงรถม้าที่ก็เห็นทุกอย่างชัดเจนเช่นกัน

“ใครอยู่บนรถ” ยิ่นอ๋องถามเสียงเรียบ

ผ้าม่านรถถูกแหวกเปิด เริ่มจากมือเรียวที่ดูราวกับกระเบื้องเคลือบยื่นออกมา

มือข้างนั้นงดงามราวน้ำแข็งสลัก ขาวจนแทบจะมองลอดได้

แค่เพียงได้เห็น แม้แต่เฉียวเวยก็ยังกลั้นหายใจ

ลูกกระเดือกของยิ่นอ๋องเคลื่อนขึ้นลงทีหนึ่ง เรือนหลังของเขามีหญิงงามอยู่นับไม่ถ้วน แต่แค่มือข้างนี้ เขาก็สามารถตัดสินได้แล้วว่า อีกฝ่ายจะต้องหยาดเยิ้มประหนึ่งหยกแน่นอน

ตรงข้อมือนางใส่กำไลหยกขาวใสอยู่วงหนึ่ง เมื่อสะท้อนกับแสงอาทิตย์ พาให้เป็นประกายอ่อนๆ ยิ่งทำให้ข้อมือของนางดูขาวผ่องยิ่งขึ้น

ไม่นาน ตัวนางก็โผล่พ้นตัวรถออกมา มีคำกล่าวไว้ว่า หญิงงามประหนึ่งหยก บุรุษก็งามหาใดเทียม สตรีนางนั้นหากมีความงามเพียงนี้ ก็เป็นเซียนสาวใต้แสงจันทร์ เสน่ห์มากล้นในพงไพร งดงามจนไม่มีสิ่งใดอาจเทียบได้

ลมหายใจของยิ่นอ๋องพลันหยุดชะงัก

หากนางเป็นสตรีในคืนนั้น เช่นนั้นเขา…ก็ยอมรับแล้ว

สตรีนางนั้นระบายยิ้มอ่อนๆ คล้ายดอกบัวหิมะผลิบาน ถึงขั้นคล้ายได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยมาตามอากาศ “ขอโทษด้วย คุณหนูของข้าอยู่ในจวนคุณชายหรือไม่”

ยิ่นอ๋องอึ้งไป “คุณหนูของเจ้า? เจ้าไม่ใช่… มารดาของพวกนาง?”

สตรีนางนั้นก้มหน้า ยิ้มอบอุ่นขณะตอบว่า “คนอัปลักษณ์อย่างเสี่ยวอวี้ จะคู่ควรเป็นมารดาของคุณหนูน้อยได้อย่างไร มารดาของคุณหนูน้อยเป็นยอดหญิงงามอันดับหนึ่งของชนเผ่าเกาเย่ว์ของพวกเรา นางกำลังเดินทางมาอยู่ อีกเดี๋ยวจะตามมาถึง”

พอสิ้นเสียงสตรีนางนั้น ห่างไปไม่ไกลก็มีเสียงตึก ตึก ตึก ตึกดั่งสนั่นลอยมา ทุกครั้งที่เสียงตึกดังขึ้น ทุกคนยังพลอยตัวสั่นกันไปด้วย นกบนต้นไม้พากันบินถลาหนีไปด้วยความตกใจ กระเบื้องตกลงมา เศษกำแพงร่วงหล่น พื้นสั่นไหว ภูเขาโยกคลอน ประหนึ่งแผ่นดินไหวก็ไม่ปาน

เสียงตึกๆๆ ดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ขันทีหลิวตัวโยกไปมาจะล้มแหล่มิล้มแหล่!

ป้ายหน้าจวนยิ่นอ๋องส่งเสียงดังแคร่กแล้วร่วงลงมาครึ่งหนึ่ง!

“พ่อ…ของ…ลูก…ข้า…ข้า…มา…แล้ว…”

นี่มันเสียงเจ้าป่าคำรามชัดๆ!

หัวใจดวงน้อยๆ ของเฉียวเวยแทบจะกระดอนออกจากคอหอยด้วยความตกใจ นางรีบเอามือปิดหู มองตามเสียงไป ก็เห็นสตรีร่างใหญ่ยักษ์ที่อวบอั๋นไปทุกส่วน หลังหนาเอวบาน สวมใส่อาภรณ์หนังสัตว์ ใส่รองเท้าหนังคู่ยาว ก้าวขายาวเหยียด แล้วโถมเข้าหายิ่นอ๋อง!