บทที่ 501 ความกลัวของนวิยา

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

เห็นได้ชัดว่านวิยาคิดไม่ถึงว่าพงศกรจะไม่ไว้หน้ากันขนาดนี้ ตัวสั่นด้วยความโมโห “พงศกร คุณไม่กลัวฉันจะบอกวารุณี เรื่องอุบัติเหตุทางรถยนต์ของอารัณ ว่าคุณเป็นคนวางแผนหรอกอย่างนั้นหรือ?”

“แล้วยังมีอีก เพื่อไม่ให้เรื่องถูกเปิดเผย คุณยังลบความทรงจำของอารัณไปด้วย อีกทั้งแม้แต่อุบัติเหตุทางรถยนต์ของตัวคุณเอง ก็เป็นการวางแผนของคุณเช่นกัน และยังรวมไปถึงเรื่องไฟไหม้ที่โกดังของวารุณีคุณก็เป็นคุณทำด้วยเหมือนกัน”

ได้ยินคำพูดพวกนี้แล้ว พงศกรไม่เพียงแต่ไม่มีความลุกลี้ลุกลนเลยแม้แต่นิดเดียว แต่กลับยิ้มด้วยสีหน้าที่เยือกเย็นขึ้นมา “ถ้าอย่างนั้นคุณก็ไปบอกสิ คุณเชื่อหรือเปล่าว่าก่อนที่คุณจะไปพูด ผมจะจัดการคุณไปก่อนแล้ว คุณต้องรู้นะ สำหรับหมอคนหนึ่งแล้ว การสร้างตัวอย่างร่างกายของคนๆนึงไม่ใช่เรื่องยากอะไร คุณรู้สึกว่าถึงตอนนั้นแล้วใครจะรู้ว่าตัวอย่างนั่นคือคุณ?”

“คุณ…..” นวิยารู้สึกตกใจ

โรคจิต ผู้ชายคนนี้โรคจิตจริงๆ

เธอยอมรับว่าตัวเองโหดร้ายแล้ว แต่ก็ไม่เคยเป็นเหมือนพงศกรมาก่อน หลังจากที่ทำให้คนตายแล้ว ยังจะเอาศพมาเสริมแต่งขึ้นมาอีก

อย่างมากที่สุดเธอก็ฆ่าให้ตายเท่านั้น

ดังนั้นเทียบกับพงศกรแล้ว เธอยังแตกต่างอยู่บ้าง

ฟังออกถึงความกลัวของนวิยา พงศกรส่งเสียงฮึดฮัดด้วยความไม่พอใจ “เพราะฉะนั้น คุณอย่ามาขู่ผมจะดีที่สุดนะ ไม่อย่างนั้นคุณก็ไม่ได้พอที่จะให้ผมเล่นได้หรอกนะ”

นวิยากัดฟัน “ได้ ครั้งนี้ถือว่าฉันแพ้ แต่พงศกร คุณรอก่อนก็แล้วกัน”

พงศกรวางสายไปด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเหยียดหยาม

รออย่างนั้นหรือ?

ได้ เขาก็จะรอดูว่าพวกเขาสองคน ใครจะตกอยู่ในจุดจบที่น่าเวทนากว่ากัน

พงศกรเอาโทรศัพท์มือถือใส่ลงไปในกระเป๋าเสื้อคลุมยาวสีขาว แล้วก้าวเท้าเดินเข้าไปในลิฟต์

เขามาที่นี่ ก็เพราะได้รับการเชิญมาให้ทำการผ่าตัดคนไข้คนหนึ่งที่โรงพยาบาลแห่งนี้

จะสายไม่ได้

วารุณีกับนัทธีไม่รู้ว่าหลังจากที่ตัวเองไปแล้ว พงศกรยังคุยโทรศัพท์กับนวิยาอีกด้วย

ทั้งสองคนกลับมายังห้องพักผู้ป่วย ได้ยินเสียงหัวเราะของปาจรีย์กับเด็กทั้งสองคน อารมณ์ก็ค่อยๆดีขึ้นมา

“กำลังคุยอะไรกันอยู่จ๊ะ?” วารุณีวางแบบฟอร์มขั้นตอนการออกจากโรงพยาบาล ยิ้มแล้วพลางเอ่ยถามขึ้น

ปาจรีย์ตอบ “เล่าเรื่องตลกให้เด็กๆสองคนฟังน่ะ”

วารุณีพยักหน้าลง “ถ้าอย่างนั้นพวกเธอเล่ากันต่อเลย”

“ไม่แล้วล่ะ ได้เวลาแล้ว ฉันเองก็ควรจะไปแล้ว วันนี้รับปากพ่อกับแม่ไว้ว่าจะไปทานข้าวด้วย” ปาจรีย์ลุกขึ้นยืนจากเตียงผู้ป่วย

“แม่บุญธรรมบ๊ายบายค่ะ” เด็กสองคนโบกมือลาให้เธออย่างน่าเอ็นดู

ปาจรีย์ลูบใบหน้าที่น่าเอ็นดูของเด็กสองคนเป็นพิเศษ “นึกถึงว่าต่อไปจะไม่ได้เจอพวกเราสองคนเป็นเวลานานๆแล้ว แม่บุญธรรมทำใจไม่ได้จริงๆ”

วารุณียิ้มพลางเอ่ยขึ้น : “ถ้าคิดถึงพวกเขา มีเวลาก็ไปหาพวกเราที่ต่างประเทศได้นี่ ให้นัทธีพาเธอไปด้วย”

ปาจรีย์มองไปยังนัทธีทันที

นัทธียืนอยู่ทางด้านหลังของวารุณี ด้วยใบหน้าเย็นชากับท่าทางที่เย่อหยิ่ง

ปาจรีย์กลัวจนตัวสั่น “ช่างเถอะ ฉันมีเวลาฉันจะไปหาเธอเองแล้วกัน”

เธอไม่อยากไปกับประธานนัทธี

ครั้งที่แล้วเธอถอนผมประธานนัทธีไปแล้ว จนถึงตอนนี้ทุกครั้งที่ประธานนัทธีมองเธอก็มีสีหน้าที่ไม่ดีนัก ถ้าหากเธอไปกับประธานนัทธีเพียงลำพัง ยังรู้สึกกังวลว่าเขาจะแก้แค้นเธอด้วย

วารุณีเองก็พอจะเดาได้ถึงสาเหตุที่ปาจรีย์ปฏิเสธ จึงหัวเราะออกมาพลางส่ายหน้า

แล้วทันใดนั้นเธอก็นึกถึงอะไรขึ้นมา รอยยิ้มก็ชะงักลง “ใช่สิปาจรีย์ เมื่อกี้ตอนที่ฉันไปทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลให้ไอริณ เจอพงศกรด้วยนะ”

ปาจรีย์ได้ยินแล้ว ก็รู้สึกอึ้งไป จากนั้นก็ปิดเปลือกตาลงมา “เขาไม่ได้อยู่อีกโรงพยาบาลนึงเหรอ? ทำไมมาที่นี่ล่ะ?”

“ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน คงจะมีเรื่องอะไรหรือเปล่า เธอ……”

“ฉันไม่เป็นไร” ปาจรีย์โบกมือแล้วยิ้ม “ความจริงแล้วเธอไม่ต้องพูดเรื่องพวกนี้กับฉันตั้งแต่ตอนแรกเลย ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่าฉันบอกแล้วหรือ ว่าฉันปล่อยวางจากพงศกรแล้ว เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่เกี่ยวกับเขา ฉันไม่ได้สงสัยเลย เอาล่ะวารุณี ฉันไปก่อนนะ”

พูดจบแล้วเธอก็หยิบกระเป๋าขึ้นมาแล้วเดินออกไป

วารุณีมองเบื้องหลังของเธอ แล้วถอนหายใจออกมาเล็กน้อย

“ดูท่าทางของเธอไม่เหมือนกับปล่อยวางจากพงศกรได้แล้วจริงๆเลย” จู่ๆนัทธีก็เอ่ยขึ้นมา

วารุณีนวดขมับ “คุณยังมองออก แล้วฉันจะมองไม่ออกได้ยังไง จะว่าไปแล้วปาจรีย์กับพงศกรก็โตมาด้วยกัน ตอนที่ปาจรีย์ยังวัยรุ่นก็หวั่นไหวกับพงศกรแล้ว สิบกว่าปีเชียวนะคะ เป็นไปได้อย่างไรที่บอกว่าปล่อยวางได้แล้วก็จะทำได้”

“ก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาหรือครับ?” เป็นสิ่งที่ยากมากที่นัทธีจะรู้สึกสงสัยกับเรื่องของคนอื่นขึ้นมา

วารุณียักไหล่ขึ้น “เรื่องที่เกิดขึ้นกับพวกเขาก่อนหน้านี้ ก็เป็นเหมือนกับสาเหตุของสงครามเย็นของพวกเราครั้งนั้นนั่นแหล่ะค่ะ”

นัทธีหรี่ตาลง แล้วก็เข้าใจขึ้นมาทันที “พงศกรคิดว่าปาจรีย์ฆ่าพ่อแม่ของเขา?”

“ประมาณนั้นแหล่ะค่ะ พ่อแม่ของพงศกรถูกฆ่า พงศกรคิดว่าปาจรีย์เป็นคนทำให้เรื่องที่อยู่ของพ่อแม่เขารั่วไหล หลังจากนั้นพ่อแม่ของปาจรีย์ก็พาศัตรูของพ่อแม่เขาไปที่นั่น แล้วฆ่าพ่อแม่ของเขา ปาจรีย์อธิบายตลอดว่าครอบครัวเธอนั้นถูกใส่ร้าย แต่พงศกรไม่เคยเชื่อเลย” วารุณีตอบ

นัทธีพยักหน้าลง “เป็นแบบนี้นี่เอง”

“ฉันอยากจะช่วยปาจรีย์ สืบหาเรื่องที่ผ่านมาให้ชัดเจน แต่ผ่านไปนานขนาดนั้นแล้ว ตรวจสอบไม่ได้ง่ายๆเลย หลักฐานหลายๆอย่างก็ไม่มีแล้วด้วย” วารุณีเอ่ยขึ้นอย่างเสียใจ

นัทธีไม่ได้เอ่ยพูดขึ้นแล้ว

เขาจะไม่ออกปากพูดว่าจะช่วยปาจรีย์สืบ

นี่เป็นเรื่องของปาจรีย์ ไมได้เกี่ยวอะไรกับเขา

ความแค้นของเขายังไม่ได้แก้แค้นให้จบเลยด้วย

คิดมาถึงตรงนี้แล้ว ริมฝีปากบางของนัทธีก็เปิดขึ้นเบาๆ “วันนี้ผมไปที่ศาลมา การสอบสวนขั้นสุดท้ายของขงเบ้งเลื่อนขึ้นมาก่อนล่วงหน้า กำหนดเอาไว้ในวันที่19เดือนหน้า ตามที่ทนายบอกไว้ โทษคือประหารชีวิต”

ดวงตาของวารุณีเป็นประกาย “ใช่ไหมคะ ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลย”

นัทธีเงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อย “ดีมากก็จริง แต่เกี่ยวกับฆาตกรคนที่สองยังหาตัวไม่เจอนะครับ”

เขาคิดอยากที่จะกำจัดคนที่ลงมือกับพ่อแม่เขาทั้งหมด

วารุณีรับรู้ถึงความคิดนี้ของเขา บีบนิ้วมือเขาเอาไว้ “วางใจเถอะค่ะ จะต้องหาเจอสิ”

นัทธีหัวเราะเบาๆพลางพยักหน้าลง เพิ่งอยากจะเอ่ยพูดอะไร โทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น

เขาหยิบออกมาดู เป็นมารุตโทรเข้ามา

นัทธีกดรับสาย : “มีเรื่องอะไร?”

“ประธานครับ ผมอยู่ในออฟฟิศท่านครับ จับตัวขโมยที่นิรุตติ์ส่งมาได้แล้ว” มารุตรายงานด้วยความโมโห

สีหน้าของนัทธีหนักหน่วง บริเวณรอบๆเต็มไปด้วยความเยือกเย็น “อะไร? ขโมย?”

วารุณีมองเขาอย่างประหลาดใจ “ขโมยอะไรคะ?”

นัทธีไม่ได้ตอบคำถามเธอเป็นการชั่วคราว เขาเอ่ยถามขึ้นด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความอาฆาต “มันขโมยอะไร?”

“มันยังไม่ได้ขโมยอะไรเลยครับ ควรจะพูดได้ว่า มันยังไม่ได้ขโมยสิ่งที่ต้องการไปมากกว่า แต่จากที่ผมสอบสวนแล้ว คนๆนั้นบอกว่ามันเป็นคนที่นิรุตติ์ส่งมาให้ขโมยหนังสือโอนสิทธิผู้ถือหุ้นฉบับหนึ่ง ผมเดาว่าอาจจะเป็นหนังสือโอนสิทธิผู้ถือหุ้นของอสังหาริมทรัพย์วันเฮิร์ทน่ะครับ” มารุตตอบกลับ

เพราะถึงอย่างไรเรื่องที่ขงเบ้งถูกจับ เป็นไปไม่ได้ที่นิรุตติ์จะไม่รู้

นิรุตติ์รู้ดีว่าประธานหาพินัยกรรมเจอแล้ว และรู้ว่าหนังสือโอนสิทธิผู้ถือหุ้นของอสังหาริมทรัพย์วันเฮิร์ทอยู่ในมือของประธานแล้ว แต่นิรุตติ์ไม่กล้าปรากฏตัว พอปรากฏตัวออกมาก็จะถูกประธานจับตัวได้

ดังนั้นนิรุตติ์จึงทำได้เพียงใช้วิธีแบบนี้ เพื่อเอาหนังสือโอนสิทธิผู้ถือหุ้นมาให้ได้

“เป็นแบบนี้เอง” มุมปากของนัทธีเป็นส่วนโค้งที่ดูเย็นชา

เขาก็ว่าอยู่แล้ว พินัยกรรมหาเจอจนผ่านมาหลายวันขนาดนี้แล้ว เขายังส่งข่าวคราวออกไปโดยเฉพาะ ก็อยากจะดูว่านิรุตติ์จะลงมือหรือเปล่า

แต่หลายวันขนาดนี้คลื่นลมสงบเงียบไม่มีอะไรเกิดขึ้น นิรุตติ์ไม่ได้ลงมือ เขายังคิดว่านิรุตติ์จะยอมทิ้งเรื่องผู้ถือหุ้นของอสังหาริมทรัพย์วันเฮิร์ทไปแล้วเสียอีก คิดไม่ถึงเลยว่าวันนี้จะเผยพิรุธออกมา

นิรุตติ์ไม่ได้จะยอมทิ้งเรื่องอสังหาริมทรัพย์วันเฮิร์ทเลย แต่ในทางตรงกันข้าม นิรุตติ์นั้นสนใจเรื่องของอสังหาริมทรัพย์วันเฮิร์ทมาตลอดเลยนั่นเอง

สรุปแล้วอสังหาริมทรัพย์วันเฮิร์ทมีความลับอะไรกันแน่ ทำไมแม่จะต้องเอาอสังหาริมทรัพย์วันเฮิร์ทให้กับนิรุตติ์ แล้วทำไมนิรุตติ์ถึงได้ยึดมั่นในอสังหาริมทรัพย์วันเฮิร์ทขนาดนั้น ยึดมั่นขนาดที่ว่าแม้แต่บริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ปก็ยอมถอยลงมาเป็นอันดับสองแล้ว

“นายรอฉันอยู่ที่ออฟฟิศแล้วกัน ฉันจะกลับไปเดี๋ยวนี้แหล่ะ” นัทธีเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

มารุตตอบรับออกมา “ครับ”

เสร็จสิ้นการคุยโทรศัพท์แล้ว นัทธีจึงมองไปยังวารุณี “นิรุตติ์ส่งคนไปขโมยสิทธิผู้ถือหุ้นของวันเฮิร์ทที่ออฟฟิศผม มารุตจับตัวคนได้แล้ว ผมต้องไปก่อนนะครับ”