บทที่ 582 กบฏ

เจ้าตัวเล็กค่อยๆ กล้าขึ้น สองแขนอวบอ้วนของเขากอดเว่ยฉิงไว้แน่น ใบหน้าเล็กๆ ถูไถที่ซอกคอของบิดา ไม่ช้า เว่ยฉิงจึงได้สำนึกว่า เขาไม่น่าไปยั่วเจ้าเด็กน้อยผู้นี้เลย ตอนนี้เด็กน้อยติดเขาหนึบจนแกะไม่ออก เว่ยถังตื่นขึ้นมาเช่นกัน นางยื่นมือไปที่เว่ยฉิง เขาอุ้มเว่ยถังขึ้นมา ทารกทั้งสองเกาะผู้เป็นบิดาแน่น โบกมือน้อยๆ ไล่บีบจมูกบิดาไม่เลือกที่ไม่เว้นแม้แต่จมูก ปาก หรือแม้แต่หูของเขา เมื่อเห็นลูกๆ ห้อยอยู่กับตัวของเว่ยฉิงเช่นนั้น ถังหลี่อดหัวเราะออกมาไม่ได้

เว่ยฉิงที่น่าสงสาร เขาอยากใช้เวลาอยู่กับภรรยาสักพักหนึ่งแต่กลับถูกเด็กตัวเล็กๆ มองเห็นเขาเป็นของเล่นไปเสียแล้ว ในที่สุดเว่ยจื่ออี้และซานเป่าก็มาถึง เว่ยฉิงจึงได้เป็นอิสระ

“ถังเป่าเปา..” ซานเป่าเรียกเด็กน้อยเสียงหวาน ถังเป่าเปาชอบซานเป่ามาก พอได้ยินเสียงพี่สาวเรียกนางรีบผลักใบหน้าเว่ยฉิงออกขอให้เขาวางตนเองลง

เด็กตัวเล็กนอนลงบนเตียงยื่นมือไปหาซานเป่า

ซานเป่าอ้าแขนออก กอดทารกน้อยไว้ในวงแขน เว่ยจื่ออี้อุ้มเว่ยซื่อมู่ขึ้นมา พวกเขาพาเด็กน้อยสองคนออกไปจากห้องโดยมีพี่เลี้ยงสองคนตามหลังไปดูแล ในห้องจึงเหลือเพียงแค่เว่ยฉิงและถังหลี่ เว่ยฉิงนั่งลงเคียงข้างภรรยา นางพิงไหล่กว้างของเขา เว่ยฉิงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ให้นางฟัง

“การเก็บภาษีในมณฑลวั่งเซี่ยนลดลงแล้ว ด้วยการสนับสนุนจากต้วนโส่วฝู่ ภาษีจึงได้รับการยกเว้นเป็นเวลาหนึ่งปี ผู้คนต่างถอนหายใจกันได้อย่างโล่งอก”

“แล้วชายชราผู้ที่ช่วยท่านเอาไว้เล่า?”

“ข้าให้คนช่วยซ่อมบ้านให้พวกเขา ปู่กับหลานยังได้อาศัยอยู่ในภูเขาที่นั่น”

“หากมีโอกาส ข้าจะหาทางไปเยี่ยมพวกเขาอย่างแน่นอน” ชายชราผู้ที่ช่วยสามีนางเอาไว้คือผู้ที่มีพระคุณของนางเช่นกัน

เว่ยฉิงพยักหน้า “หากมีโอกาสที่ดีเราจะไปเยี่ยมเขาด้วยกัน”

“สามี เสิ่นชิงหลิวอยู่ที่ไหนหรือ?”

“ข้าจัดการให้เสิ่นชิงหลิวและสวี่เจียวกลับมาอยู่ด้วยกัน เป็นเพราะกังวลว่าอำนาจขององค์หญิงใหญ่จะยังกำจัดได้ไม่หมด ข้าจึงขอให้พวกเขาอยู่ที่เมืองหลวงกันไปก่อน หลังจากนั้นจึงค่อยส่งพวกเขาออกไป”

“สามี ท่านจัดการได้ดีมาก” ที่จริงแล้วนางไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ

“องค์หญิงใหญ่เป็นหนึ่งในผู้วางแผนสังหารสกุลเซียวตอนนี้นางหมดหนทางแล้ว ถือได้ว่าเป็นการแก้แค้นเล็กน้อยต่อสกุลเซียวของข้า”

หากการสังหารผู้คนในสกุลเซียวเกี่ยวข้องกับฮ่องเต้ การกบฏขององค์หญิงใหญ่จะส่งผลกระทบต่อฮ่องเต้อย่างหนัก การเคลื่อนไหวในครั้งนี้ของเขาเท่ากับเป็นการขว้างก้อนหินฆ่านกได้สองตัวเลยทีเดียว

การล่มสลายขององค์หญิงใหญ่เป็นเรื่องที่ดีสำหรับผู้ที่นางกดขี่ข่มเหงและสกุลเซียว

“องค์หญิงใหญ่โดนตัดสินว่าอย่างไรหรือ?” ถังหลี่เอ่ยถาม

“ฮ่องเต้ให้นางไปเฝ้าที่สุสาน”

“เฝ้าสุสานบรรพกษัตริย์?” ถังหลี่ขมวดคิ้ว แต่เดิมนางคิดว่าข้อหากบฏก็น่าจะทำให้ฮ่องเต้ทรงพระราชทานความตายให้แก่นางแล้ว ไม่คิดเลยว่าจะให้นางไปเฝ้าสุสาน หากไม่ได้ถอนรากถอนโคนแล้ว ถังหลี่ย่อมไม่สบายใจเป็นอย่างมาก

นางกลัวว่าแม่มดเฒ่าจะฟื้นคืนชีพกลายเป็นปีศาจอีกครั้ง

แน่นอนว่า เรื่องได้กลายเป็นอย่างที่นางคิดเอาไว้ ตกกลางคืนถังหลี่ได้ฝันอีกครั้ง

วังขององค์หญิงใหญ่

องค์หญิงทรงฉลองพระองค์ด้วยเสื้อผ้าธรรมดา ไร้สีสันแต่งแต้มที่ใบหน้า ผิวของนางซีดและมีริ้วรอยต่างกับเมื่อก่อน ทำให้นางดูมีอายุเพิ่มมากขึ้นนับเป็นสิบปีเลยทีเดียว

นางจ้องไปที่พระบรมราชโองการที่สั่งให้นางไปเฝ้าสุสานบรรพกษัตริย์ สีหน้าของนางว่างเปล่าเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นนางจึงยิ้มออกมา

เฝ้าสุสานหรือ?

เป็นสามัญชน สูญเสียอำนาจและสถานะเดิม ถูกคุมขังอยู่ในนั้นพร้อมกับคนที่ตายไปแล้ว? ยังจะบอกได้อีกหรือว่ายังเป็นที่โปรดปรานอยู่ นางยอมตายเสียดีกว่าอยู่ไปวันๆ เช่นนี้

องค์หญิงใหญ่ประคองพระเศียรตั้งตรง ทอดพระเนตรไปยังด้านนอกหน้าต่าง สายพระเนตรเต็มไปด้วยความโลภและทะเยอทะยานอย่างไม่มีสิ้นสุด

นางประทับยืน ผลักบานประตูออก ที่ข้างนอกมีองครักษ์ยืนเฝ้ายามอยู่

“ถวายจดหมายนี้แก่ฮ่องเต้” องครักษ์ลังเล เขาตัดสินใจไม่ได้จึงต้องเรียกหัวหน้าผู้บังคับบัญชามา

“ของที่อยู่ภายในมีความสำคัญมากสำหรับฮ่องเต้ นำไปทูลถวายให้ฝ่าบาท หากท่านทรงยินดีที่จะเปิดอ่านก็อ่าน แต่ถ้าไม่ทรงยินดีก็ให้ทิ้งจดหมายไปเสีย”

ไม่ช้า จดหมายฉบับนั้นก็ถึงพระหัตถ์ของฮ่องเต้ ในทีแรก พระองค์ทรงทอดพระเนตรแต่ไม่ยอมเปิดอ่าน สุดท้ายทนไม่ไหวในที่สุดก็เปิดอ่านจนได้ ภายในซองจดหมายมีกระต่ายแกะสลักมาจากเมล็ดท้อ ฮ่องเต้อดพระทัยไม่ไหวที่จะหยิบเมล็ดท้อรูปกระต่ายขึ้นมาดู แต่เดิมพวกเขาสองคนพี่น้องอาศัยอยู่ในตำหนักที่มีสภาพไม่ต่างจากวังเย็น อาหารไม่พอกิน เสื้อผ้าไม่พอนุ่งห่ม พี่สาวจะแบ่งอาหารเก็บไว้ให้เขาเสมอ

มีต้นท้ออยู่ในสนามต้นหนึ่ง กิ่งก้านยื่นออกมา ที่ปลายกิ่งมีลูกท้อ ดูอวบอ้วนน่ากิน เขาได้แต่ยืนมองอย่างใจจดจ่อ เป็นเพราะมันอยู่สูงเกินไปจึงไม่อาจจะปีนเขย่งเก็บได้ เช้าวันนั้นเขาตื่นขึ้นมา พี่สาวยื่นผลท้อลูกใหญ่ที่แตกปริเล็กน้อยมาให้เขา นางบอกกับเขาว่า นางกินลูกท้อไปแล้ว ผลนี้สำหรับเขา หลังจากเขากินไปจนหมดจึงได้ยินเสียงท้องที่ร้องครืดคราดของพี่สาว เขาจึงรู้ว่านางพูดปด นางยังไม่ได้กินเลยแต่เก็บให้เขากิน พี่สาวเขาปลอบโยนเขา ให้เนื้อลูกท้อแก่เขา แล้วเอาเมล็ดท้อให้นาง ต่อมาเขาจึงได้เอาเมล็ดลูกท้อมาแกะสลักเป็นกระต่ายให้พี่สาว แม้ว่าจะดูไม่สมบูรณ์สวยงาม แทบมองไม่ออกว่าเป็นกระต่าย ทว่าพี่สาวของเขายังเก็บเอาไว้เป็นอย่างดี ฮ่องเต้กำลูกท้อไว้ในพระหัตถ์ อัสสุชลคลอเบ้า ทรงหยิบจดหมายขึ้นมาอ่าน นางต้องการพบเขาก่อนที่จะเดินทางไปยังสุสานบรรพกษัตริย์

“ให้นางมาพบข้าเถอะ” พระองค์ทรงถอนพระปัสสาสะออกมาอย่างแผ่วเบา

ในตอนบ่าย องค์หญิงใหญ่เสด็จเข้าวังหลวง พระนางทำความเคารพฝ่าบาท ท่วงท่ายโสโอหังหายไปจนหมดสิ้น ฮ่องเต้ทรงมีพระอารมณ์ซับซ้อนหลากหลาย พระองค์เม้มพระโอษฐ์ไม่ตรัสเอ่ยอะไรออกมา

“ฝ่าบาท ทรงดูแลพระวรกายให้มาก อากาศเริ่มหนาวเย็นทรงพระภูษาให้มากขึ้น อย่าทรงงานให้หนักมากนักนะเพคะ” องค์หญิงใหญ่ทรงตรัสเรื่องทั่วไปเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพของฝ่าบาท จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นว่า

“ฝ่าบาท ทรงเสด็จไปตำหนักฉางเย่กับหม่อมฉันสักครู่ได้หรือไม่เพคะ?” พระตำหนักฉางเย่คือตำหนักเย็นที่พี่น้องสองคนเคยอาศัยอยู่ด้วยกันยามทรงพระเยาว์ ชื่อของตำหนักมีความหมายว่า ‘ราตรีที่ยาวนาน’ ใช่! ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้เห็นแสงอรุณ ฮ่องเต้หวนระลึกถึงลูกท้อผลนั้น ทรงผงกพระเศียร ทั้งสองพระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปที่พระตำหนักฉางเย่ด้วยกัน ที่ตั้งของพระตำหนักอยู่ห่างไกลและรกร้าง อีกทั้งยังทรุดโทรมมากอีกด้วย องค์หญิงใหญ่ทรงผลักประตูเข้าไป ฝุ่นละอองปลิวคละคลุ้งเข้ามาที่พระพักตร์ หากพระองค์ไม่สนพระทัยแม้แต่จะยกพระหัตถ์ขึ้นมาป้องปัด

“พวกเราเคยอาศัยกันอยู่ที่ตรงนั้นมาก่อน ตอนนั้นมีน้ำไหลรั่วลงมา เราต้องหาชามมารองน้ำฝน ตอนนี้ไม่รู้ว่าหลังคาจะรั่วมากกว่าเดิมหรือไม่?”

องค์หญิงใหญ่รีบเสด็จพระราชดำเนินไปดูที่น้ำฝนรั่วไหลลงมา ฮ่องเต้สาวพระบาทตามไปทันที องค์หญิงใหญ่ทอดพระเนตรไปยังฝ่าบาท สีพระพักตร์เศร้าหมอง

“พวกเราพี่น้องมาถึงวันนี้ได้อย่างไร?” พระองค์ทรงพึมพำออกมา “นี่เป็นความผิดของหม่อมฉัน เป็นเพราะความโลภความทะเยอะทะยานของหม่อมฉัน…”

“ฝ่าบาท ! หม่อมฉันไม่อยากไปเฝ้าสุสาน ได้โปรดอย่าทรงขับไล่หม่อมฉันไปที่นั่นเลย ได้ไหม..อาเยี่ยน?” องค์หญิงใหญ่ขอร้อง จนในที่สุดนางก็ยังไม่เต็มใจที่จะไปเฝ้าสุสานอีกหรือ?

ยังต้องการอยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้?

สีพระพักตร์ของฮ่องเต้เย็นเยียบ เขาเสด็จพระราชดำเนินออกไป เมื่อเขาหันมาอีกครั้ง จึงได้เห็นสายพระเนตรที่เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมขององค์หญิงใหญ่

ผู้คนหลายสิบคนแต่งกายเป็นทหารรักษาพระองค์ ปรากฏขึ้นในห้องโถงที่ซอมซ่อแห่งนั้น พวกเขายืนรายล้อมฮ่องเต้พร้อมด้วยขันทีและนางกำนัลด้วยท่าทางที่ดุร้าย

สีพระพักตร์ของฮ่องเต้เปลี่ยนไป พระอารมณ์โกรธพลุ่งพล่านขึ้นมาทั้งพระวักกะ[1]และพระยกนะ[2] แทบจะแตกซ่าน พระองค์ทอดพระเนตรอย่างเย็นชา

“จ้าวหยู่หลาน! เจ้าจะกบฏหรือ?”

[1] ไต, โบราณแปลว่า ม้าม

[2] ตับ