บทที่ 530 ทั้งสองทะเลาะกัน

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 530 ทั้งสองทะเลาะกัน

บทที่ 530 ทั้งสองทะเลาะกัน

ความกังวลและความโดดเดี่ยวในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ความซาบซึ้งและความสุขที่ฉินเย่จือรู้สึก แล้วยังมีรองรอยของความหวั่นไหว กู้เสี่ยวหวานเอาแต่ปิดหน้าร้องไห้

“เสี่ยวหวาน เสี่ยวหวาน…”

เมื่อเห็นกู้เสี่ยวหวานร้องไห้มากขึ้น ฉินเย่จือก็รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย ในขณะนี้กู้เสี่ยวหวานกำลังก้มหน้างุดร้องไห้ ทำให้มองไม่เห็นใบหน้าของนาง ฉินเย่จือไม่รู้ว่าตนเองทำอะไรผิดไปหรือไม่ เขารู้สึกสับสนเล็กน้อยในใจ เมื่อเห็นกู้เสี่ยวหวานร้องไห้ ความโศกเศร้าเช่นนั้นช่างน่าเศร้ามากกว่าบาดแผลบนร่างกายของเขาเป็นพันเท่า

“เสี่ยวหวาน…” ฉินเย่จือตบไหล่กู้เสี่ยวหวาน เขาก้มหน้าลงเพราะอยากดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับกู้เสี่ยวหวานในตอนนี้

กู้เสี่ยวหวานเงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นสีหน้ากังวลของฉินเย่จือ นางก็รู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่งและรีบหยุดร้องไห้ “เจ้าโง่…”

คำพูดที่ทั้งสะเทือนใจและซาบซึ้งใจ

เมื่อฉินเย่จือได้ยิน เขาก็ยิ้มอย่างร่าเริง “ข้าไม่ใช่คนโง่ พูดให้ถูกข้าเป็นคนที่ปกป้องเจ้าไว้ต่างหาก”

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ฉินเย่จือหวังว่าเขาจะมีสามหัวหกแขน*[1] เพื่อที่เขาจะได้ปกป้องกู้เสี่ยวหวานได้

หากกู้เสี่ยวหวานไม่เป็นอะไร ไม่ว่าอาการบาดเจ็บของเขาจะรุนแรงแค่ไหน มันก็คุ้มค่า นั่นคือ…

เขาทำให้นางกังวล

นอกจากนี้ ดวงตาดำคล้ำของกู้เสี่ยวหวานทำให้คิ้วของฉินเย่จือขมวดแน่น เด็กสาวโง่คนนี้เพิ่งตื่นจากเตียง เป็นไปได้หรือไม่ว่านางคอยเฝ้าดูแลเขาทั้งคืน?

เมื่อเห็นฉินเย่จือพูดเช่นนี้ กระแสน้ำอุ่นก็พุ่งขึ้นในหัวใจของกู้เสี่ยวหวาน และรู้สึกว่ากระแสน้ำอุ่นนั้นทำให้ผิวของนางแดงจนถึงโคนหู

เพื่อไม่ให้ฉินเย่จือเห็นมัน กู้เสี่ยวหวานลุกขึ้นทันทีและพูดว่า “เจ้าหิวหรือไม่ มีข้าวต้มอยู่ในหม้อ ข้าจะเอาข้าวต้มมาให้ ท่านหมอหม่าบอกว่าช่วงนี้เจ้าสามารถกินได้แต่อาหาอ่อน ๆ เท่านั้น…”

“อืม…” ฉินเย่จือพยักหน้า และเห็นกู้เสี่ยวหวานวิ่งไปที่ห้องครัวอย่างรวดเร็ว

เมื่อนางกลับมา กู้เสี่ยวหวานถือชามข้าวต้มในมืออย่างระมัดระวัง เป่าให้เย็นขณะเดิน ท่าทางที่จริงจังนั้นทำให้ฉินเย่จือสูดลมหายใจ

“ไม่เอาน่า มันไม่ร้อนแล้ว รีบกินเถอะ! ” กู้เสี่ยวหวานค่อย ๆ ช่วยฉินเย่จือให้นอนลงและเอาห่มผ้าหนุนหลังเขาไว้ ด้วยวิธีนี้แผ่นหลังของฉินเย่จือจึงถูกยกสูงขึ้นเล็กน้อย

กู้เสี่ยวหวานป้อนข้าวต้มใส่ปากของฉินเย่จือ ทั้งสองไม่ได้พูดคุยสิ่งใดกัน ทั้งคู่ต่างจริงจังกับการทำเรื่องของตนเอง

คนหนึ่งกิน อีกคนป้อน

กู้เสี่ยวหวานต้มข้าวต้มนี้ในช่วงดึก และเก็บไว้ในหม้อตลอดเวลา เพียงแค่รอให้ฉินเย่จือตื่นขึ้นและกลัวว่าเขาจะหิว!

เมื่อข้าวต้มลงไปในท้องของเขา กู้เสี่ยวหวานก็มีความสุขมาก ตราบใดที่ฉินเย่จือกินได้ก็แสดงว่าร่างกายของเขากำลังฟื้นตัวอย่างช้า ๆ

“พี่ใหญ่ฉิน ในช่วงเวลานี้เจ้าสามารถกินได้แต่อาหารรสจืดเท่านั้น เมื่อบาดแผลบนร่างกายเจ้าหายดี ข้าจะทำอย่างอื่นให้เจ้ากิน!” กู้เสี่ยวหวานกลัวว่าในช่วงนี้ฉินเย่จือจะเบื่อ เพราะต้องกินข้าวต้มทั้งวัน นางจึงรีบปลอบ

“ไม่เป็นอะไร ข้าพอใจที่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ทุกวัน” หลังจากที่ฉินเย่จือนอนลง เขาก็ขยิบตาให้กู้เสี่ยวหวาน กู้เสี่ยวหวานตกตะลึงครู่หนึ่ง แต่นางก็เข้าใจในภายหลัง ใบหน้าของนางแดงก่ำอีกครั้ง นางจ้องไปที่ฉินเย่จือ และหลังจากปูผ้าปูเตียงให้เขาแล้ว นางก็รีบกลับไปที่ห้องครัวทันที

เมื่อเห็นใบหน้าแดงก่ำของกู้เสี่ยวหวาน ฉินเย่จือก็ยิ้มโดยไม่รู้ตัว

ลูกแมวตัวนี้ ใบหน้าที่แดงก่ำของนางช่างน่ารักจริง ๆ

สำหรับอาการบาดเจ็บของฉินเย่จือ หลังจากผ่านไปเจ็ดถึงแปดวัน บาดแผลส่วนใหญ่ก็หายดีแล้ว ยกเว้นบาดแผลตรงสะบักที่มีบาดแผลร้ายแรงกว่า ฉินเย่จือพอจะลุกขึ้นเดินไปมาได้บ้างแล้ว ดังนั้นเขาจึงต้องการทำอะไรบางอย่าง

แต่ไม่ใช่เพียงกู้เสี่ยวหวาน แม้แต่กู้หนิงผิงและกู้เสี่ยวอี้ที่เห็นว่าเขาเคลื่อนไหวเล็กน้อย พวกเขาก็รีบวิ่งไปแย่งสิ่งของที่อยู่ในมือของเขา มองไปที่ฉินเย่จือด้วยสีหน้าตื่นตกใจและตะโกนว่า “แผลบนร่างกายของท่านยังไม่หายดี รีบกลับไปนอนเถอะ!”

เขารู้สึกว่าเด็กเหล่านี้ยังคงปฏิบัติต่อตนเองเหมือนคนป่วย ฉินเย่จือก็ยิ้มอย่างขมขื่น แต่เขาพอใจมาก ในมุมมองของฉินเย่จือ อาการบาดเจ็บเล็กน้อยเช่นนี้ถือว่าเป็นขนเส้นเดียวบนวัวเก้าตัว*[2]

เขาไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้วตั้งแต่ที่เขาผ่านอันตรายจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด เขาไม่เคยได้รับคำสั่งให้พักฟื้นเหมือนวันนี้เลย ทำนี่ก็ไม่ได้ ทำนั่นก็ไม่ได้

กู้เสี่ยวหวานเป็นเหมือนผู้ใหญ่ตัวเล็กในครอบครัว เมื่อเห็นฉินเย่จืออาการดีขึ้นทุกวัน หินก้อนใหญ่ในหัวใจของกู้เสี่ยวหวานก็ตงลงสู่พื้น

ทุกวันนี้ เมื่อเห็นฉินเย่จือต้องการทำอะไร นางมักจะจู้จี้อยู่เสมอ

นี่ก็กินไม่ได้ นั่นก็กินไม่ได้

แม้ว่าจะกินไม่ได้ เขาทำได้แค่กินข้าวต้มและเครื่องเคียงทุกวัน แต่กู้เสี่ยวหวานก็เปลี่ยนวิธีการปรุงอาหารให้ต่างออกไปในแต่ละวันเพื่อไม่ให้เขารู้สึกเบื่อ

ฟืนในครอบครัวก็ตัดไม่ได้และน้ำก็ไปตักไม่ได้ งานหนักทั้งหมดนี้จึงตกเป็นของกู้หนิงผิง

กู้เสี่ยวหวานบอกฉินเย่จือว่าไม่ควรทำงานหนักเช่นนี้ เพราะกลัวว่าบาดแผลของฉินเย่จือจะฉีกและได้รับบาดเจ็บอีกครั้ง

ฉินเย่จือพูดไม่ออกบอกไม่ถูกเมื่อเห็นว่าเด็กเหล่านี้ดูแลเขาราวกับคนป่วย

แต่ความรู้สึกของการถูกทะนุถนอนนี้ มันช่างดีจริง ๆ

ด้วยวิธีนี้ หลังจากที่ฉินเย่จือได้พักเป็นเวลาครึ่งเดือน บาดแผลบนร่างกายของเขาก็เกือบจะหายสนิท กู้เสี่ยวหวานถอดผ้าพันแผลออกและเห็นว่าบาดแผลทั้งหมดหายแล้ว นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

เพียงแต่ว่าบาดแผลเหล่านั้นยังมีรอยแผลเป็นที่น่าเกลียดอยู่ และทั้งตัวก็ดูน่าเกลียด

กู้เสี่ยวหวานรู้สึกอึดอัดใจมาก แต่นางไม่สามารถทำอะไรได้ เมื่อมองรอยแผลเป็นทั้งใหญ่และเล็ก ทั้งยาวและสั้นบนร่างของฉินเย่จือ นางเศร้าใจและพูดไม่ออก

“รอยแผลเป็นที่น่าเกลียดเช่นนี้ ถ้าภรรยาในอนาคตของข้าไม่ชอบล่ะ จะทำอย่างไร?” ฉินเย่จือรีบกล่าวด้วยความเสียใจเพื่อให้กู้เสี่ยวหวานมีความสุข

“นางกล้าหรือ!” ทันทีที่กู้เสี่ยวหวานได้ยินสิ่งนี้ ดวงตาของนางก็เบิกกว้างด้วยความโกรธราวกับว่าการได้ยินฉินเย่จือบอกว่า ถ้าภรรยาในอนาคตของเขากล้าที่จะไม่ชอบรอยแผลเป็นของเขา กู้เสี่ยวหวานก็จะไม่ปล่อยนางไปแน่

เมื่อเห็นท่าทางโกรธของกู้เสี่ยวหวาน ฉินเย่จือก็คิดจะล้อเลียนกู้เสี่ยวหวาน

“ใครจะไปรู้! ถ้าในอนาคต ผู้หญิงที่ข้าชอบไม่ยอมรับข้า เพราะรอยแผลเป็นบนร่างกาย ข้าจะต้องอยู่เพียงคนเดียวไปตลอดชีวิตหรือไม่!”

*[1] หมายถึง เก่งกาจ หรือมีความสามารถโดดเด่นเหนือคนทั่วไป

*[2] หมายถึง สิ่งเล็กน้อยจนไม่ควรค่าที่จะนำมาใส่ใจ