บทที่ 584 ไทเฮาเห็นภาพหลอน

ข้างนอกลมพัดแรงขึ้น อากาศหนาวจัด แม่นมฉู่เติมถ่านลงในเตาอั้งโล่ มองไปยังไทเฮา เห็นพระนางเหม่อลอยจ้องไปยังข้างนอกอย่างมึนงง

“อาเยว่น้อย เจ้าคิดว่าอาฉิงยังมีชีวิตอยู่ไหม?” จู่ๆ ไทเฮาก็ตรัสถามขึ้นมา

แม่นมฉู่เดินไปที่ด้านข้าง จากนั้นจึงได้บีบนวดให้พระนาง

“เหตุใดไทเฮาถึงได้คิดอะไรเช่นนั้นเพคะ?”

“อาฉิงในฝันของข้าทั้งตัวสูงใหญ่ คิ้วดกหนา ตาโต ใบหน้าหล่อเหลา ข้าคิดว่าข้าเคยเห็นเขาก่อนที่ข้าจะฝัน แต่ข้าจำไม่ได้” ไทเฮาพยายามจะรื้อฟื้นความทรงจำ แต่กลับได้รับความเจ็บปวดที่ทิ่มแทงพระเศียร พระนางเอื้อมไปแตะที่ขมับของตน แม่นมฉู่ช่วยนวดพระเศียรของพระนาง

“ฝ่าบาทอย่าได้คิดอีกเลยเพคะ” แม้แม่นมฉู่จะปลอบโยนอย่างไร ไทเฮากลับมั่นพระทัยมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าพระนัดดาของพระนางยังมีชีวิตอยู่

ต่อหน้าพระนาง แม่นมฉู่จะสนับสนุนและคล้อยตาม แต่เมื่อยามที่นางหันศีรษะกลับไปใบหน้าของแม่นมฉู่จะเศร้าหมอง

องค์ไทเฮาเห็นภาพหลอนหรือไม่?

พระนางกลับมาประชวรอีกครั้งหรือ? ด้วยความกังวล แม่นมฉู่จึงได้แอบเขียนพระอาการของไทเฮา เพื่อให้ขุนนางผู้นั้นได้ตระเตรียมยาให้พระนางใหม่

……………….

พริบตาเดียว ถังหลี่ก็ให้กำเนิดทารกเป็นเวลาสามเดือนแล้ว ตอนนี้ย่างเข้าปีใหม่ จวนอู่โหวประดับประดาโคมไฟทั่วจวน บรรยากาศเต็มไปด้วยความรื่นเริงสมกับเป็นเทศกาล

เว่ยฉิงยืนบนเก้าอี้ เขากำลังติดโคมคู่ เขามองไปที่ถังหลี่ที่ยืนอยู่ข้างล่างแล้วพูดว่า

“ฮูหยินข้าติดตรงนี้ดีหรือยัง?” เมื่อเห็นถังหลี่พยักหน้า เขาจึงกระโดดลงจากเก้าอี้ แล้วเดินเข้าไปหานาง

ถังหลี่ใส่เสื้อคลุมสีขาวมีปกขนาดใหญ่เห็นแต่ศีรษะเล็กๆ โผล่ออกมา แม้ว่านางจะให้กำเนิดบุตรถึงสองคนแล้วก็ตาม แต่ยังดูเหมือนสาวรุ่นอยู่ เมื่อถังหลี่ตั้งครรภ์นางมีน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น แต่ต่อมาสองสามเดือนน้ำหนักก็ได้ลดลงจนเท่ากับก่อนตั้งครรภ์

เว่ยฉิงจูงมือถังหลี่เดินเข้าไปในห้องนอน เด็กน้อยสองคนหลับอยู่ในเปล เว่ยถังนอนหงายส่วนเว่ยซื่อมู่นอนตะแคงหลับตาพริ้ม

สองสามีภรรยาพากันจ้องมองดูเด็กแฝดอย่างหลงใหล ทันใดนั้นมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น เมื่อเปิดออกไปดูจึงเห็นองครักษ์เงา เขายื่นจดหมายให้ เว่ยฉิงเปิดจดหมายออกดูพลางขมวดคิ้ว

“สามี เกิดอะไรขึ้นหรือ?”

“จดหมายจากแม่นมฉู่ นางว่าไทเฮาอาจจะมีอาการประชวรอีกครั้ง นางอาจจะประสาทหลอนคิดว่าหลานชายของนางยังมีชีวิตอยู่ นางพูดว่านางเคยเห็นเขา”

ถังหลี่ครุ่นคิด

“สามี ข้าว่านางไม่ได้ป่วยหรอก แต่พระนางเคยเห็นท่านจริงๆ”

เว่ยฉิงจำได้ว่าไทเฮาได้ทอดพระเนตรเห็นเขาเมื่องานเลี้ยงคล้ายวันพระราชสมภพของฮ่องเต้ เมื่อนึกถึงองค์ไทเฮาที่จับมือเขาเอาไว้เรียกเขาว่าหลานรักและอาฉิง ทำให้เว่ยฉิงรู้สึกเศร้าใจเป็นอันมาก ในโลกใบนี้ มีผู้อาวุโสเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ดีกับเขาเช่นนี้

“ภรรยา ข้าอยากพบไทเฮา” เว่ยฉิงถือจดหมายเอาไว้ในมือ

“แต่เดิมพระตำหนักที่ไทเฮาทรงประทับอยู่ เต็มไปด้วยบริวารขององค์หญิงใหญ่ แต่ตอนนี้พระนางสิ้นพระชนม์แล้ว หากท่านอยากจะพบนางก็เป็นไปได้” ถังหลี่เอ่ยขึ้น

ในตอนนั้นแม้องค์ไทเฮาจะทรงพระสติไม่ดี แต่พระนางยังจำสามีของนางได้ ถังหลี่รู้สึกว่าองค์ไทเฮารักใคร่โปรดปรานสามีของนางและคิดถึงเขามาก เป็นการดีที่ญาติพี่น้องจะคิดถึงกันหากได้มีโอกาสพบกันน่าจะดีกว่านี้

“นี่ใกล้สิ้นปีแล้ว ในวังหลวงจะมีงานเลี้ยง ท่านสามารถใช้ประโยชน์จากงานในวันนั้นเพื่อจะได้พบกับไทเฮาได้” เว่ยฉิงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

….

งานเลี้ยงในวังจัดขึ้นในปลายปี พริบตาเดียวก็ถึงวันงานแล้ว วันนี้เว่ยฉิงและถังหลี่ตื่นแต่เช้า จัดแจงแต่งตัวเข้าไปในวัง

อาจจะเป็นเพราะการสิ้นพระชนม์อย่างกะทันหันขององค์หญิงใหญ่ ทั้งราชสำนักหรือแม้แต่เมืองหลวงยังคงปกคลุมไปด้วยบรรยากาศเศร้าหมอง ดังนั้นงานเลี้ยงในพระราชวังจึงจัดให้ยิ่งใหญ่เป็นพิเศษราวกับต้องการชำระล้างบรรยากาศที่เศร้าหมองหดหู่ออกไป

งานเลี้ยงเริ่มตั้งแต่เช้าไปจนถึงเย็น เมื่อถังหลี่และเว่ยฉิงมาถึงก็มีคนมากมายแล้วในวังหลวง ตอนนี้ตำแหน่งที่นั่งของเว่ยฉิงอยู่ใกล้กับฮ่องเต้มากขึ้น สถานที่จัดงานในครั้งนี้ มีความเจาะจงมากยิ่งขึ้น ไม่ใช่แค่จัดตามตำแหน่งขุนนางอย่างเป็นทางการเท่านั้น หรือไม่ใช่ว่าตำแหน่งสูงจะเป็นที่โปรดปราน แต่เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้ทรงพอพระทัยกับคดีในมณฑลวั่งเซี่ยนมาก แม้ว่าเขาจะเป็นแค่เจ้ากรมอาญาเท่านั้นและตำแหน่งทางการของเขาก็ยังไม่เปลี่ยน

เว่ยฉิงและถังหลี่นั่งลง มองไปยังที่นั่งข้างๆ ที่ว่างของเธอ น่าจะเป็นที่นั่งของมารดาของนาง นับว่าคนจัดที่นั่งมีน้ำใจจริงๆ ตั้งแต่ทารกทั้งสองเกิด ฮูหยินกู้ไปที่จวนอู่โหวเกือบทุกวัน สองวันก่อนนางเป็นไข้ไม่สบาย จึงอยู่ในจวนตระกูลกู้และไม่ได้มางานเลี้ยง ที่นั่งจึงได้ว่างเปล่า

ไม่นานนักถังหลี่เห็นคนสองคนกำลังเดินมาหา เป็นองค์หญิงจิ้งชูและกู้หวนจิ่น วันนี้องค์หญิงจิ้งชูสวมฉลองพระองค์อย่างงดงาม ดูมีเสน่ห์ กู้หวนจิ่นใส่ชุดองครักษ์ ไหล่เขากว้าง เอวสอบตัวสูงดูหล่อเหลา เว่ยฉิงมองไปยังคนทั้งคู่ และพูดอย่างติดตลกขึ้นมาว่า

“เฮ้ ! ดูเหมือนพวกเขาจะแยกกันไม่ออกเลย” พระพักตร์ขององค์หญิงเปลี่ยนเป็นสีแดง

“ฮ่วยจิ่นเป็นองครักษ์ของข้า เขาต้องติดตามข้าเป็นธรรมดา”

“ฮ่วยจิ่น..” เว่ยฉิงจงใจเลียนแบบน้ำเสียงที่องค์หญิงจิ้งชูใช้เรียกฮ่วยจิ่นออกมา องค์หญิงจิ้งชูเก้อเขิน นางจับมือถังหลี่บ่นพึมพำว่า

“ถังถังดูเขาสิ!” ถังหลี่ยิ้ม องค์หญิงจิ้งชูทรงมีชีวิตชีวา ร่าเริง นางมีความกระดากอาย จึงเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าทั้งคู่ได้ตกลงปลงใจกันแล้ว

“อาจื่อ นางเก้อเขินแล้ว” กู้หวนจิ่นเดินเข้ามาพูดห้ามเอาไว้ เว่ยฉิงกอดเอวของถังหลี่ จากนั้นจึงได้จุมพิตนางที่หน้าผาก เพื่ออวดพี่เขยของเขา กู้หวนจิ่นและองค์หญิงจิ้งชูยังไม่ได้เข้าพิธีอภิเษก จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะทำเหมือนเว่ยฉิงแต่เขาอิจฉาเว่ยฉิงมาก

เขาอยากกอดและจุมพิตอาจื่อต่อหน้าทุกคนเช่นกัน อีกไม่นานเขาจะทูลขอนางต่อองค์ฮ่องเต้

ไม่นานนักงานเลี้ยงในวังจึงเริ่มขึ้น ทุกคนกลับไปนั่งประจำที่ของตน ในระหว่างงานเลี้ยงช่วงกลางวันฮ่องเต้จะยังไม่เสด็จออก แต่มีการแสดงจัดมาให้ชมหลายรายการ ถังหลี่ดูอย่างเพลิดเพลิน ในตอนเย็นแม้เว่ยฉิงจะดูเป็นปกติดี แต่ถังหลี่รู้สึกประหม่า

มีคำกล่าวที่ว่า ‘ยิ่งใกล้บ้านเกิดยิ่งกระวนกระวายยิ่งนัก’ อีกไม่นานสามีจะได้เข้าเฝ้าองค์ไทเฮาแล้ว นางรู้ดีว่าเขากระวนกระวายใจ ยิ่งไปกว่านั้นการเข้าพบในครั้งนี้มีอันตรายแอบแฝงอยู่ เพราะในวังหลวงมีการป้องกันอย่างหนาแน่นต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างมากที่จะไม่ให้ผู้ใดพบเห็น พวกเขาทั้งคู่จึงมีความกังวล ถังหลี่ยื่นมือไปกุมมือของสามีเอาไว้ เขารู้ว่าภรรยาต้องการจะปลอบใจเขา เขาจึงมองนางแล้วยิ้ม

เมื่อเริ่มมืดค่ำ แสงตะเกียงและเทียนได้ถูกจุดขึ้น โถงจัดเลี้ยงจึงได้สว่างไสวราวกับกลางวัน ฮ่องเต้ทรงเสด็จพระราชดำเนินเข้ามา ฉลองพระองค์เรียบร้อย ประณีต หากถังหลี่กลับเห็นว่าพระองค์มีพระชันษาเพิ่มขึ้นอีกเป็นสิบปีดูมากกว่าครั้งก่อนที่นางได้เห็นฮ่องเต้ในวันคล้ายวันพระราชสมภพ เรื่ององค์หญิงใหญ่สร้างความสะเทือนพระราชหฤทัยให้แก่ฮ่องเต้เป็นอย่างมาก

งานเลี้ยงในวังยังคงดำเนินต่อไปอย่างสนุกสนานและมีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก ทุกคนถวายพระพรให้ฮ่องเต้ ท่ามกลางความสนุกสนานเหล่านั้น มีคนผู้หนึ่งลุกออกจากโต๊ะไปอย่างเงียบๆ