ตอนที่ 589 เดินลำพังบนทางกว้าง

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 589 เดินลำพังบนทางกว้าง

พอเอ่ยมาเช่นนี้หวงเลี่ยก็ไม่อาจปฏิเสธได้ ทำได้เพียงหัวเราะฮ่าๆ ไม่ได้แสดงความเห็นชอบ อีกฝ่ายเพิ่งเผชิญอันตรายมาจึงอยากเลี่ยงภัย เขาจึงไม่สะดวกจะเอ่ยคัดค้าน เตรียมจะกลับไปต้องหารือกับทุกคนในสำนักเขามหายานสักหน่อยว่าจะรับมืออย่างไรดี

หยวนกังที่อยู่ด้านข้างเฝ้ามองด้วยสายตาเย็นชา ไม่ว่าความคิดของอีกฝ่ายจะเป็นเช่นไร แต่มีจุดหนึ่งที่ตัวหยวนกังเองก็อดสะท้อนใจไม่ได้

เปลี่ยนไปแล้ว สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ หากเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อน เต้าเหยี่ยจะลองพูดคุยกับเผิงโย่วไจ้เจ้าสำนักหยกสวรรค์ด้วยท่าทีเช่นนี้ได้หรือ? ถ้าเผิงโย่วไจ้ไม่ยินยอมก็จะปฏิเสธทันที ไหนเลยจะเหลือช่องให้หารืออันใด แต่ตอนนี้เผชิญหน้ากับหวงเลี่ยที่อำนาจไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเผิงโย่วไจ้ แต่หวงเลี่ยกลับจำเป็นต้องให้ค่ากับคำพูดของเต้าเหยี่ยอยู่เล็กน้อย ไม่อาจวางตัวแข็งกร้าวเช่นเดียวกับเผิงโย่วไจ้ในอดีตได้

ผ่านการดำเนินงานมาหลายปี ในที่สุดเต้าเหยี่ยก็มีฐานอำนาจพอจะออกสิทธิ์ออกเสียงในเขตมณฑลหนานโจวแห่งนี้ได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องอดกลั้นไว้อีกต่อไป

กระทั่งพวกหวงเลี่ยจากไปแล้ว หนิวโหย่วเต้าที่กลับมาจากส่งแขกมองซางซูชิงที่เดินเข้ามาหาพร้อมกับอิ๋นเอ๋อร์

ซางซูชิงยิ้มเล็กน้อย รอยยิ้มขับเน้นให้ดูดุร้าย แต่ดวงตากลับเป็นประกาย นับตั้งแต่จากกันที่จวนผู้ว่าการในที่สุดก็ได้หวนกลับมาพบกัน

อิ๋นเอ๋อร์ไม่ได้สำรวมเช่นนาง เดินตรงเข้ามาหา เอ่ยเรียกอย่างสนิทสนม “เต้าเต้า เจ้าไปไหนมา? ข้ารอเจ้าตั้งนาน”

หนิวโหย่วเต้ามองกล่องอาหารในมือนางเล็กน้อย รู้สึกปวดหัวขึ้นมา เขาเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้มว่า “ออกไปทำธุระมา”

“ข้าก็อยากไปด้วย!” อิ๋นเอ๋อร์แสดงจุดยืนแน่วแน่

หนิวโหย่วเต้าทราบดีว่าความหมายในวาจานางคือต่อไปพานางไปด้วย เขายิ้มให้แต่ไม่ตอบ แล้วก็ไม่ได้ปฏิเสธ

พอเห็นเขายิ้ม อิ๋นเอ๋อน์คิดเองทันทีว่าเขาตอบตกลงแล้ว นางหยิบน่องไก่มันเยิ้มขาหนึ่งออกมาจากกล่องอาหารแล้วยื่นให้ “ให้เจ้ากิน!”

คนทั่วไปอย่าได้หวังจะมาแย่งอาหารนางไป คนที่นางยินดีจะเป็นฝ่ายหยิบยื่นอาหารของตนแบ่งปันให้ไปย่อมต้องเป็นคนที่ได้รับความเป็นมิตรจากนางเท่านั้น

“ข้าอิ่มแล้ว” หนิวโหย่วเต้ายื่นมือดันกลับไป ไม่สนใจอาหารที่นางนางหยิบยื่นให้เลยจริงๆ รู้สึกรังเกียจ!

“เต้าเหยี่ย!” ซางซูชิงก็ขยับเข้ามาทักทายด้วย สายตาอ่อนโยนดั่งวารี จากนั้นก็ทักทายคนอื่นๆ ต่อ

“ท่านหญิง” คนที่เหลือก็เอ่ยทักนางกลับ

หนิวโหย่วเต้ามองอิ๋นเอ๋อร์ที่แสดงท่าทีราวกับกำลังบอกว่าหากเจ้าไม่กินข้าจะกินเองอีกครั้ง เอ่ยไปว่า “ได้ยินว่าท่านหญิงเข้ากับอิ๋นเอ๋อร์ได้ดีมาก แต่ละวันล้วนสอนหลายสิ่งให้แก่นางอย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

ซางซูชิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่ได้ทำอันใดเลย น้องอิ๋นเอ๋อร์ว่าง่ายนัก ข้าก็ชอบนางมากเช่นกัน”

นางยังไม่ทราบถึงท่าทีที่อิ๋นเอ๋อร์ปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างแท้จริง เปลือกตาก่วนฟางอี๋กระตุกยิกๆ ขึ้นมาเล็กน้อย บ่นอยู่ในใจ ‘ราชินีปีศาจตนนี้ว่าง่ายอย่างนั้นหรือ? ท่านยังไม่เคยเห็นกระมังว่านางน่ากลัวมากขนาดไหน?’

แต่หลังจากที่ได้ทราบข้อมูลนางก็แปลกใจมากเช่นกัน ราชินีปีศาจตนนี้เข้ากับท่านหญิงผู้อ่อนน้อมได้เป็นอย่างดีอย่างนั้นหรือ?

ว่าง่ายหรือ? หนิวโหย่วเต้ายิ้มออกมา รอยยิ้มค่อนข้างกระอักกระอ่วน ไม่สะดวกจะแถลงไขให้กระจ่าง

ในเวลานี้ชายในชุดลายดอกที่ไปเดินเตร็ดเตร่รอบคฤหาสน์กระท่อมฟางมารอบหนึ่งเดินมาถึงพอดี ทันทีที่มองเห็นซางซูชิง ม่านตาพลันหดตัววูบ ยืนห่างออกไปไม่ไกล จ้องมองใบหน้าของซางซูชิงอยู่นาน…

เมื่อคณะของสำนักเขามหายานออกจากทางนี้ไปก็กลับไปยังเรือนรับรองที่พักอยู่

หวงเลี่ยไม่ได้สนใจเรื่องอื่นใดแล้วเช่นกัน เรียกระดมพลกลุ่มผู้อาวุโสที่ติดตามมาด้วยให้มารวมตัวกันในลานเรือน ไม่ได้เอ่ยอันใดมาก ถามออกไปทันที “พวกเจ้าคงได้ยินคำพูดหนิวโหย่วเต้ามาแล้ว เขาต้องการเข้าพักในจวนผู้ว่าการมณฑล ทุกคนคิดเห็นเช่นไร?”

“ก่อนหน้านี้ตอนที่พวกเราเข้ารับช่วงต่อหนานโจว เป็นเพราะสามสำนักหลักเข้าแทรกแซงกะทันหัน ทำให้สำนักหยกสวรรค์ตั้งรับไม่ทัน พวกเราถึงได้ตัวซางเฉาจงมาไว้ในกำมืออย่างราบรื่น มิเช่นนั้นสำนักหยกสวรรค์ไม่มีทางยอมปล่อยคนมาให้พวกเราง่ายๆ แน่ แล้วก็คงไม่มีทางยอมส่งมอบหนานโจวให้อย่างราบรื่นด้วย”

“ถูกต้อง หนิวโหย่วเต้าคนนี้เจ้าเล่ห์นัก หากปล่อยให้หนิวโหย่วเต้าพักอยู่กับซางเฉาจงจริงๆ ถ้าเกิดหนิวโหย่วเต้ามีความคิดแปลกประหลาดอันใดขึ้นมา ตัวซางเฉาจงเองก็เป็นพวกเดียวกับหนิวโหย่วเต้าอยู่แล้ว ถึงป้องกันไว้ก็ป้องกันได้เพียงชั่วขณะหนึ่ง ไม่อาจป้องกันในระยะยาวได้ พอนานวันไปเกรงว่าคงป้องกันไว้ไม่อยู่!”

“ข้าก็คิดว่าไม่ดีเช่นกัน ใครจะไปรู้ล่ะว่าเขาได้ติดต่อกับสำนักอื่นด้านนอกอีกหรือไม่ เดิมทีตัวเขาก็มีอิทธิพลต่อหนานโจวมากอยู่แล้ว อำนาจควบคุมหนานโจวพวกเราต้องกุมไว้ให้มั่น เขาบอกว่าพักชั่วคราว แต่ผู้ใดจะรู้ได้ว่าจะพักชั่วคราวไปนานเพียงใด? หากเขาไม่ยอมไป หรือว่าจะต้องแตกหักกัน? หากทำให้หนานโจวโกลาหลขึ้นมาก็ไม่ส่งผลดีต่อพวกเราเช่นกัน”

กลุ่มผู้อาวุโสพากันวิพากษ์วิจารณ์ ท่าทีชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง ล้วนไม่อยากเห็นหนิวโหย่วเต้าได้เข้าพักในจวนผู้ว่าการมณฑณหนานโจว

หวงเลี่ยเอ่ยอย่างใช้ความคิด “แต่เขาบอกว่าตอนนี้เผชิญอันตรายอยู่ ต้องการไปหลบภัยที่จวนผู้ว่าการ หากไม่ตอบตกตลงก็เหมือนพวกเราต้องการให้เขาตาย ปฏิเสธได้ยาก!”

“เผชิญอันตรายหรือ? นั่นคือสิ่งที่ตัวเขาพูดเอง! หากราชสำนักต้องการลงมือกับเขาจริงๆ เขาจะหนีรอดมาได้ง่ายๆ หรือ? ท่านก็เห็นแล้วว่าเขายังอยู่ดี ไหนเลยจะคล้ายคนเกิดเรื่องร้ายได้”

“อันที่จริงก็พอมีวิธีอื่นให้รับมืออยู่ เขาแค่ต้องการหลบภัยมิใช่หรือ? ให้เขามาพักที่สำนักเขามหายานของพวกเราก็ได้นี่! พวกเราให้การปกป้องเขาไว้ก็ใช้ได้แล้ว จะไม่ปลอดภัยยิ่งกว่าจวนผู้ว่าการอีกหรือ? หากเขาปฎิเสธ เช่นนั้นมิเท่ากับว่าตัวเขาเองมีแผนการแอบแฝงอยู่ในใจหรือ? อีกอย่างพอเขาตกมาอยู่ในมือพวกเราแล้ว เรื่องบางอย่างพวกเราก็สามารถตัดสินใจไปตามสถานการณ์ได้!” ประโยคสุดท้ายแฝงความนัยลุ่มลึกไว้

พอเขาเอ่ยมาเช่นนี้ ทุกคนต่างร้องว่าดี หวงเลี่ยพยักหน้ารับ “ดีมาก เดี๋ยวไปให้คำตอบเขาเช่นนี้กัน!”

เช้าตรู่วันต่อมา ซางซูชิงเฝ้ารอคอยอยู่ด้านนอกห้องพักของหนิวโหย่วเต้า เดินก้มหน้าวนกลับไปกลับมาเงียบๆ สองมือเกาะเกี่ยวพัวพันกันอยู่เล็กน้อย ไม่ได้หวีผมให้เขามานานแล้ว อีกทั้งไม่ทราบถึงท่าทีของหนิวโหย่วเต้าในตอนนี้ด้วย

ก่วนฟางอี๋เดินส่ายสะโพกออกมาจากมุมหนึ่ง มองเห็นซางซูชิงอยู่ในลานเรือนก็ผงะไปเล็กน้อย ถอยหลังไปเบาๆ แล้วหันหลังกลับ หลบฉากออกไป

ประตูห้องเปิดออก หนิวโหย่วเต้าโผล่หน้าออกมา สบตากับซางซูชิงที่อยู่ในลานเรือนเข้า จากนั้นก็แย้มยิ้มอ่อนโยน พยักหน้าให้นิดๆ “อิ๋นเอ๋อร์เล่า?”

“ยังนอนอยู่” ซางซูชิงเอ่ยตอบประโยคหนึ่ง พอเห็นว่าเขาไม่ได้หันหลังหนีอย่างผิดปกติ นางก็โล่งใจ จากนั้นถึงได้เดินเข้าไปในห้อง

หนิวโหย่วเต้าเปิดประตูหน้าต่างทั้งหมดในห้องก่อน เพื่อเลี่ยงไม่ให้เกิดคำครหา จากนั้นก็เป็นฝ่ายเดินไปนั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้งเอง

ฝีมือในการหวีผมของซางซูชิงยังคงใส่ใจพิถีพิถันดังเช่นที่ผ่านมา สำหรับผู้รับบริการแล้วเป็นความสำราญอย่างหนึ่งจริงๆ

ผ่านไปสักพักใหญ่ จู่ๆ หนิวโหย่วเต้าก็ถามขึ้นว่า “ท่านหญิง บุรุษในอุดมคติที่ท่านต้องการลงเอยด้วยในอนาคตเป็นเช่นใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”

มือของซางซูชิงชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นขยับต่อไป เอ่ยเสียงเบาว่า “ข้าอัปลักษณ์เช่นนี้ ผู้ใดจะมาต้องตาข้ากันเล่า”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยยิ้มๆ “ครั้งก่อนแม่ทัพเหมิงเคยมาหารือกับกระหม่อมแล้ว จึงได้ทราบว่ารอยปานบนหน้าท่านมีส่วนเกี่ยวข้องกับตงกัวเฮ่าหราน ท่านหญิงวางใจเถิด หากมีโอกาสกระหม่อมจะติดต่อไปหาทางสำนักสวรรค์พิสุทธิ์แน่นอน ให้พวกเขาหาทางคืนรูปโฉมที่งามดั่งบุปผาให้ท่าน เมื่อเวลานั้นย่อมต้องมีบุรุษดีงามตามอุดมคติของท่านหญิงเรียงแถวตบเท้าเข้ามาสู่ขอแน่นอน”

“รูปโฉมสำคัญมากปานนั้นจริงๆ น่ะหรือ?” มือของซางซูชิงหยุดนิ่งแล้ว นางมองบุรุษในคันฉ่อง ลองเอ่ยถามดู “ไม่ทราบว่าสตรีในอุดมคติที่เต้าเหยี่ยจะครองคู่ด้วยในภายหน้าต้องเป็นโฉมงามเช่นใดหรือ?”

“กระหม่อมหรือ?” หนิวโหย่วเต้าตอบเสียงราบเรียบ “คนในเส้นทางบำเพ็ญเพียร ชีวิตล่องลอยมีขึ้นมีลง เอาตัวยังไม่รอด จะมีอนาคตหรือไม่ก็ยังไม่ทราบ เรื่องบางอย่างก็ไม่เหมาะกับกระหม่อม เดินไปบนเส้นทางเพียงลำพังก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องเลวร้าย”

ซางซูชิงเงียบไป ไม่พูดต่ออีก หวีผมให้เขาต่อไป

จู่ๆ หนิวโหย่วเต้าก็ตบหน้าขาตนดังฉาด! “เลอะเลือนไปเสียแล้ว ลืมไปได้อย่างไรว่าเขาก็มาจากสำนักสวรรค์พิสุทธิ์!”

ซางซูชิงฉงน “ผู้ใดหรือ? หรือจะเป็นเฉินกุยซั่ว? ข้าเคยไปหาเขามาแล้ว ดูเหมือนเขาก็ไม่ทราบเช่นกัน”

หนิวโหย่วเต้าโบกมือ หัวเราะฮ่าๆ พลางเอ่ยไปว่า “หากว่าใครๆ ก็รู้กันหมด ไหนเลยจะล่าช้ามาจนป่านนี้ได้ ตัวเขาก็ไม่ได้มีตำแหน่งอันใดในสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ การที่ไม่รู้ก็นับเป็นเรื่องปกติพ่ะย่ะค่ะ จัดการเรื่องตรงหน้าก่อนดีกว่า ผ่านไปอีกสักระยะแล้วค่อยว่ากัน”

ซางซูชิงตอบอืมเบาๆ เรื่องที่จะฟื้นคืนรูปโฉมให้นางนี้ นางไม่ได้คัดค้าน แต่ก็ไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจเช่นกัน

ทางนี้ยังไม่ทันหวีเสร็จดี ต้วนหู่ก็เคาะวงกบประตูแล้วเดินเข้ามา ผงกหัวคารวะซางซูชิงก่อน จากนั้นเอ่ยรายงานว่า “เต้าเหยี่ย เฉาอวี้เอ๋อร์ประมุขหอบุปผาล่องที่เคยประจำอยู่ในหนานโจวมาเยือนขอรับ บอกว่าต้องการพบท่าน”

“รอกันไม่ไหวจริงๆ เลยนะเนี่ย…” หนิวโหย่วเต้าพึมพำ จากนั้นถามต่อว่า “มากันกี่คน?”

ต้วนหู่ตอบว่า “สองคนขอรับ เป็นตัวนางกับศิษย์ติดตามอีกคนหนึ่ง”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ผู้มาเยือนคือแขก เชิญเข้ามา”

“ขอรับ!” ต้วนหู่รับคำสั่งแล้วออกไป

พอได้ยินว่ามีธุระ ซางซูชิงก็ไม่อยากทำให้เสียเวลา จึงเร่งความเร็วขึ้นไม่น้อย ผู้ใดจะทราบว่าหนิวโหย่วเต้ากลับเอ่ยเนิบๆ ว่า “ไม่ต้องรีบพ่ะย่ะค่ะ!”

ซางซูชิงผงะไปเล็กน้อย ลดความเร็วลงมาอยู่ในระดับปกติ

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยขึ้นอีกว่า “ท่านหญิง วันนี้อาจจะเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นที่นี่ รวมถึงอาจจะมีเสียงดังเอะอะไม่น้อย เพื่อไม่ให้เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น กระหม่อมจึงไม่ได้สั่งให้ผู้ใดหลบเลี่ยงออกไป แต่กลัวว่าจะทำให้ท่านตกใจเอาได้ ท่านหญิงเตรียมใจเอาไว้ก่อน ไม่ต้องหวาดกลัวจนเกินไปพ่ะย่ะค่ะ”

ซางซูชิงอยากถามนักว่ามีเรื่องใด แต่นางเป็นคนฉลาด พอนึกถึงคำว่า ‘ไม่อยากแหวกหญ้าให้งูตื่น’ ก็ไม่ถามออกไป เพียงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “เต้าเหยี่ยลืมแล้วหรือ ถึงแม้ข้าจะเป็นสตรี แต่ก็เป็นคนที่เคยผ่านสนามรบมาเช่นกัน ถึงจะได้รับความตกใจ แต่หากมีเต้าเหยี่ยอยู่ ขอเพียงมีเต้าเหยี่ยอยู่…ข้าก็ไม่กลัวสิ่งใดทั้งนั้น!”

ยามที่เอ่ยประโยคสุดท้ายออกมา น้ำเสียงแผ่วเบาลงไปหลายส่วนอย่างไม่อาจควบคุมได้ ตัวนางเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเทพหรือผีอันใดที่ดลใจนางให้ทนไม่ไหวจนต้องเอ่ยวาจาเช่นนี้ออกไป ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะไม่ได้พบหน้ากันมานานเกินไปหรือไม่ หัวใจจึงเต้นค่อนข้างถี่รัว สองแก้มร้อนผ่าว

หนิวโหย่วเต้าค่อยๆ หลับตาลง จิตใจหนักอึ้ง

ในศาลาริมน้ำ สตรีสองนางยืนอยู่บริเวณราวกั้น เฝ้ารอการมาถึงของเจ้าของสถานที่แห่งนี้ สตรีวัยกลางคนที่ดูมีอายุคือเฉาอวี้เอ๋อร์ประมุขหอบุปผาล่อง ส่วนอีกคนเป็นศิษย์ของนาง

นับตั้งแต่เข้ามายังสถานที่แห่งนี้ เฉาอวี้เอ๋อร์ที่คอยมองสำรวจรอบข้างอยู่ตลอดเอ่ยขึ้นว่า “ไม่คิดเลยว่าด้วยสถานะของเขาในปัจจุบันนี้จะยังพำนักอยู่ในป่าเขากันดารเช่นนี้ต่อ” ความหมายในวาจาคือด้วยคุณสมบัติของหนิวโหย่วเต้าในตอนนี้สามารถเสาะหาสถานที่พักที่ยอดเยี่ยมกว่านี้ได้

ศิษย์ของนางเอ่ยเอาใจว่า “อาจเป็นเพราะทราบดีว่าต่อให้เป็นสถานที่เลิศล้ำเพียงใด ตนก็คงรั้งอยู่ไม่ได้นานกระมังเจ้าคะ”

เฉาอวี้เอ๋อร์เหลือบมองนางอย่างเย็นชาคราหนึ่ง จากนั้นก็มองต้วนหู่ที่ยืนจ้องมองอยู่ไม่ไกลออกไป นางกดเสียงแผ่วต่ำ “ประเดี๋ยวจงเบิกตามองให้ดี อย่าให้มีข้อผิดพลาด”

ศิษย์ของนางเอ่ยตอบเสียงเบา “อาจารย์โปรดวางใจ ตอนอยู่ที่เมืองหลวงแคว้นฉี ศิษย์เคยเห็นเขาด้วยสองตาตนมาแล้ว ขอเพียงเป็นเขาก็ไม่มีทางจำผิดไปแน่เจ้าค่ะ”

รออยู่ครู่หนึ่งหนิวโหย่วเต้าก็มาถึง แม้นจะสวมใส่เสื้อผ้าธรรมดา แต่การแต่งกายกลับเป็นระเบียบเรียบร้อย มีหยวนกังและชายในชุดลายดอกที่เดินเข้ามาด้วยท่าทีค่อนข้างสบายตามประกบสองฝั่งซ้ายขวา

เมื่อเข้าสู่ศาลาริมน้ำ ต้วนหู่ก็เดินเข้ามาแนะนำทั้งสองฝ่ายต่อกัน

พอเจ้าบ้านและแขกต่างนั่งลงแล้ว เฉาอวี้เอ๋อร์เหลือบมองลูกศิษย์เล็กน้อย ศิษย์ของนางผงกหัวนิดๆ

“ประมุขเฉาให้เกียรติมาเยี่ยมเยือนสถานที่ซอมซ่อของแซ่หนิว ไม่ทราบว่ามีเรื่องสำคัญอันใดหรือ?” หนิวโหย่วเต้าถามด้วยรอยยิ้มพร้อมกับผายมือเชิญดื่มชา

เฉาอวี้เอ๋อร์ไม่คิดจะแตะถ้วยช้า เพียงเอ่ยด้วยท่าทางถ่อมตัวต่ำต้อยว่า “ได้ยินว่าคนของที่นี่ล้วนเรียกขานเจ้าว่าเต้าเหยี่ย เช่นนั้นก็ให้ข้าเรียกเจ้าว่าเต้าเหยี่ยด้วยแล้วกัน”

หนิวโหย่วเต้าโบกมือเอ่ยไปว่า “ทำข้าอายุสั้นเสียแล้ว คนที่นี่เรียกส่งเดชไปเรื่อย อย่าได้ถือเป็นจริงเป็นจังเลย”

เฉาอวี้เอ๋อร์ไม่คิดจะเปลี่ยนคำเรียก เอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “วางตัวอ่อนน้อมต่อคนเขาย่อมมีเรื่องต้องการขอร้องอยู่! เต้าเหยี่ย ที่มาครั้งนี้มิใช่เพราะอื่นใด หากแต่มีเรื่องอยากขอร้องเต้าเหยี่ยจริงๆ”