บทที่ 536 ฟื้นฟู
บทที่ 536 ฟื้นฟู
“ท่านมาตั้งแต่เมื่อไรกัน?”
หลินซือคาดไม่ถึงว่าเจี่ยงเถิงจะรอตนอยู่ที่นี่ “สาวใช้เหล่านี้ก็เหมือนกัน รู้ทั้งรู้ว่าพี่อยู่ที่นี่กลับไม่ยอมบอกข้าสักคำ”
นางรู้ว่าเจี่ยงเถิงออกไปทำราชการ และรู้เวลาด้วย
หญิงสาวคิดคำนวณอยู่ในใจ ดูเหมือนว่าจะเร็วกว่าที่นัดไว้สองสามวัน
จะว่าไปแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองคนได้เจอกันหลังจากที่หลินซือยุ่งกับการทำเรือนพักพิงผู้ยากไร้มาตลอด
เดิมทีหลินซือคิดไว้ว่าหากวันนี้เจี่ยงเถิงว่างก็อยากนัดเจอกันสักหน่อย คาดไม่ถึงว่าเจี่ยงเถิงจะมาหานางเร็วเพียงนี้
“คุณชายเจี่ยงมาตั้งแต่เช้าแล้วเจ้าค่ะ”
ยังไม่ทันที่เจี่ยงเถิงจะพูด สาวใช้ที่อยู่ข้างกายก็ชิงพูดเรื่องนี้ก่อน
เจี่ยงเถิงมองหลินซือด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ข้าได้ยินท่านแม่บอกว่าเจ้ากำลังนอนหลับ จึงไม่อยากให้พวกเขาไปปลุกเจ้า” เจี่ยงเถิงเห็นท่าทางของหลินซือ ก็อดปวดใจไม่ได้
เพราะช่วงนี้หลินซือไม่ค่อยได้กินข้าว ร่างกายจึงซูบผอมจนเห็นได้ชัด ใบหน้าที่ไม่อวบอ้วนนักตอนนี้ใหญ่เพียงฝ่ามือ เอวก็คอดลงชัดเจน
“ข้าว่าเจ้าเกินไปจริง ๆ นะ ต่อให้เรื่องใหญ่เพียงไหนก็สำคัญไม่เท่าร่างกาย ดูสิ ผอมแห้งจนเหมือนกับอะไรก็ไม่รู้แล้ว”
หลินซือเหยียดยิ้ม แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอู้อี้ “เด็กสาวคนไหนไม่ชอบให้ตัวเองผอมบ้างเล่า”
เจี่ยงเถิงยิ้มแห้ง ๆ แล้วหยุดเอ่ยเรื่องนี้ “เจ้ามีชื่อเสียงเลื่องลือในเมืองหลวงแล้ว ตอนนี้ใครบ้างที่ไม่รู้จักเรือนพักพิงผู้ยากไร้ที่แม่นางตระกูลหลินเป็นผู้เปิด”
แม้ว่าหลินซือจะเพิ่งยอมรับเรื่องนี้ต่อหน้าองค์จักรพรรดิเมื่อวาน แต่ข่าวในเมืองหลวงกลับแพร่ขยายออกไปรวดเร็วจริง ๆ ทุกคนล้วนรู้เรื่องที่หลินซือเปิดเรือนพักพิงกันแทบจะทั้งหมดแล้ว
มีผู้คนจำนวนมากเอ่ยชื่นชมหลินซืออย่างไม่ขาดปาก
หลินซือซ่อนจอกชาที่เจี่ยงเถิงกำลังจะยกดื่ม “ดี แม้แต่ท่านก็ยังออกมาเยาะเย้ยข้า”
“ไฉนจึงคิดว่าเยาะเย้ย?”
เจี่ยงเถิงมองหลินซือด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ข้ากำลังชื่นชมเจ้า แต่เจ้าหาว่าข้าเยาะเย้ยเจ้า? นี่คือการต้อนรับของคุณหนูหลินหรือ?”
ความจริงแล้วหลินซือไม่ได้สนใจว่าตัวเองจะมีชื่อเสียงเพียงใด สิ่งสำคัญคืออยากช่วยคนตกทุกข์ได้ยากอย่างสุดความสามารถ นี่คือสิ่งที่หลินซือพึงพอใจที่สุดแล้ว
“ทุกคนล้วนบอกให้แขกทำตัวตามอัธยาศัย ไฉนท่านถึงทำตัวเป็นแขกเช่นนี้”
หลินซือมองคนตรงหน้า แม้ว่าจะพูดเช่นนี้ แต่ก็ยังยื่นจอกชาที่แย่งจากมือของเจี่ยงเถิงไปตรงหน้าของเขา แล้วรินชาด้วยตัวเอง
จากนั้นทั้งสองคนก็ทะเลาะกันต่อ พริบตาเดียวก็ถึงเที่ยงวันแล้ว
“ใกล้เที่ยงแล้ว มื้อเที่ยงจะกินในเรือนหรือออกไปข้างนอกดี?”
เจี่ยงเถิงมองดวงอาทิตย์เหนือศีรษะพลางถามหลินซือ
“ข้าเพิ่งกินอาหารเช้า”
หลินซือเพิ่งกินมื้อเช้าไปไม่น้อยเพราะท้องร้องประท้วง ตอนนี้เด็กสาวจึงรู้สึกไม่อยากกินอะไร แต่เพราะมารยาท หลินซือจึงต้องออกไปกินข้าวข้างนอกเป็นเพื่อนเจี่ยงเถิง
เพราะหลายวันมานี้หลินซือต้องซื้อข้าวกินอย่างเร่งรีบจากข้างนอกเสมอ ทำให้หลินซือกินข้าวที่บ้านน้อยลง ดังนั้นหลินซือจึงคุ้นชินกับการกินอาหารข้างนอกมากกว่า แม้ว่าหลินซือจะรู้ดี ยามพวกเขากินข้าวจะไม่มีเหมือนตอนรวมตัวกินข้าวก่อนหน้านั้นแน่นอน
“ท่านอยากกินอะไร ข้าจะไปจัดให้ท่าน สองสามวันนี้ข้ากินข้างนอกตลอด วันนี้ไม่สู้กินอาหารที่บ้านดีกว่าไหม?”
หลินซือรู้สึกเช่นกันว่าร่างกายของตัวเองซูบผอมลงมาก จึงไม่อยากออกไปข้างหน้าเป็นธรรมดา ด้วยเหตุนี้นางจึงเสนอเงื่อนไขนี้
ไฉนเจี่ยงเถิงจะไม่ตอบตกลง ครั้นหลินซือเห็นเจี่ยงเถิงตอบตกลง จึงให้สาวใช้ช้างกายไปเตรียมมื้อเที่ยง
สมาชิกตระกูลหลินเหลืออยู่ไม่กี่คน เพราะล้วนออกไปข้างนอก คนที่กินข้าวก็เหลือเพียงแค่เจี่ยงเถิงและหลินซือสองคน
อาหารของตระกูลหลิน ไฉนเลยจะอร่อยเทียบเท่าร้านอาหาร สมัยนี้ผู้คนมักออกไปกินอาหารที่ปรุงใหม่เท่านั้น รสชาติอาหารที่เจี่ยงเถิงไปกินมาจึงถือว่าไม่เลวนัก
เดิมที หลังจากที่หลินซือตื่นนอนเพราะความหิวจึงกินอาหารไปไม่น้อย หลินซือคิดว่าตัวเองจะนั่งคุยเป็นเพื่อนเจี่ยงเถิงเท่านั้น แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด หลังจากที่หลินซือเห็นอาหารพลันรู้สึกหิวขึ้นมาทันที
เดิมทีเจี่ยงเถิงตั้งใจจะโน้มน้าวให้หลินซือกินอาหารสักนิดสักหน่อย แต่เมื่อเห็นหลินซือหยิบตะเกียบเอง เจี่ยงเถิงจึงไม่เกรงใจอีก
แต่เห็นได้ชัดว่าหลายวันมานี้ต่อมรับรสของหลินซือเปลี่ยนไป ปกติหลินซือจะกินกับที่เป็นผักค่อนข้างมาก ดังนั้นยามที่หลินซือกินข้าว เหยาซูมักจะเติมเนื้อบางส่วน กระทั่งต้องบังคับให้กินเลยทีเดียว
ขณะที่เจี่ยงเถิงและหลินซือกินข้าวด้วยกันเพราะความเคยชินนางมักจะใส่ใจในเรื่องอาหารค่อนข้างมาก
แต่ว่าตอนนี้ มีหลายครั้งที่หลินซือคีบเนื้อที่แต่ก่อนตัวเองแทบไม่แตะ แล้วกินมันอย่างเอร็ดอร่อย
หลินซือเห็นเจี่ยงเถิงจ้องเขม็งมาทางตน จึงรู้สึกเกรงใจไม่น้อย “เดิมทีข้าคิดว่ากินข้าวเช้าสาย ต่อให้กินเพิ่มอีกหน่อยก็ไม่เป็นไร แต่ใครเล่าจะรู้ว่ายามนี้ข้าจะหิวเมื่อเห็นอาหาร”
ความจริงยังมีอีกหนึ่งเหตุผล ก็คือเมื่อวานหลินซือเสียพลังงานไปในห้องทรงอักษรขององค์จักรพรรดิมากเกินไป ด้วยเหตุนี้เมื่อกลับมาถึงจึงย่อมกินข้าวได้เพียงเล็กน้อย จากนั้นก็เข้านอนทันที
หลังจากวิ่งวุ่นมาหลายวัน การกินอาหารก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไป
หลังจากที่เจี่ยงเถิงได้รู้เรื่องนี้ก็พลอยปวดใจไม่น้อย “ไม่เป็นไร เจ้าเหนื่อยมาหลายวันแล้ว กินเยอะ ๆ หน่อย”
หลินซือพยักหน้า จากนั้นก็กินต่อ
“อีกไม่กี่วันข้าก็ได้หยุดแล้ว ไม่สู้เราหาเวลาออกไปนอนค้างอ้างแรมพักผ่อนในชนบทสักสองสามวัน เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
เมื่อเจี่ยงเถิงเสนอความเห็นนี้จบ ก็แทบจะยกมือขึ้นมาตีปากตัวเองอย่างอดไม่ได้
หลายวันมานี้หลินซืออยู่แต่ในชนบทคาดว่าคงไม่มีเหตุผลที่อยากจะไปทำกิจกรรมเช่นนี้
แต่เรื่องที่เขากลับคาดไม่ถึงคือ หลินซือตอบรับทันใด “ออกไปดูอะไรหน่อยก็ดี”
แม้จะบอกว่าหลายวันนี้เอาแต่เก็บตัวอยู่ในชนบท แต่หลินซือก็ยุ่งอยู่กับการจัดการเรื่องราวมากมาย ไม่มีเวลาได้ผ่อนคลายตัวเอง เพราะเหตุนี้หลินซือจึงตอบตกลงอย่างไม่ลังเลหลังจากที่เจี่ยงเถิงยื่นข้อเสนอมา
“แต่เราต้องรออีกสองวันนะ สองวันนี้ข้าคิดว่าร่างกายยังอ่อนแออยู่ อีกอย่างพวกพี่ ๆ ก็จะกลับมาอีกสองวันแล้ว”
ตอนนี้คนที่หลินซือคะนึงหาที่สุดก็คือพี่สะใภ้