ชายวัยกลางคนเอ่ยเสียงเบา “คุณชายเหวย กล่าวตามจริง เรื่องนี้เป็นบุญคุณความแค้นส่วนตัวระหว่างลูกน้องของหัวหน้าข้ากับนาง ลูกน้องคนนี้ของหัวหน้ากลุ่มข้าสร้างความดีความชอบใหญ่หลวงเอาไว้ นี่เป็นเพียงข้อเรียกร้องเดียวของเขา หัวหน้ากลุ่มข้าจึงตกลง ความจริงพวกข้าก็ขาดทุนไม่มาก เงินทองเหล่านั้นล้วนเป็นเงินที่ได้มาอย่างสกปรก สิ่งที่หัวหน้าหวังมากที่สุดก็คือการเป็นพันธมิตรกับสำนักท่าน
อนาคตพวกท่านอยู่หนานฉู่ พวกเราอยู่ต้ายง ร่วมมือกันต่อกรกับราชสำนักต้ายง เพื่อเป้าหมายนี้ เงินทองเท่านี้นับเป็นอันใดได้ ส่วนที่พวกเราต้องการคนผู้นี้ ก็เป็นเพียงความต้องการเพิ่มเติมข้อหนึ่งเท่านั้น พูดอย่างไม่เกรงใจสักหน่อย ก่อนหน้านี้นางเป็นเชื้อพระวงศ์ ฐานะสูงศักดิ์ย่อมสำคัญกับสำนักท่านอย่างยิ่ง ทว่าวันนี้นางเป็นเพียงคนพิการใบหน้าเสียโฉมคนหนึ่ง หากพูดถึงวรยุทธ์ คนของพวกท่านที่แข็งแกร่งกว่านางมีมากมายนัก หากพูดถึงสติปัญญา พวกท่านก็ไม่จำเป็นต้องใช้นาง
เมื่อถึงหนานฉู่ ฐานะเชื้อพระวงศ์ต้ายงอันเป็นสิ่งเดียวที่มีประโยชน์ในตัวนางก็คงกลายเป็นเพียงภัยร้าย ไม่มีประโยชน์ นางไม่มีค่ากับพวกท่านแม้สักนิดอีกต่อไป แต่หัวหน้าของพวกข้ายังใช้ชีวิตนางมาแลกความภักดีของลูกน้องคนหนึ่งได้ นี่ย่อมเป็นการค้าขายที่ดี ทว่าหากจะพูดถึงตัวคนผู้นี้ อย่าพูดถึงสามแสนตำลึงเลย ตำลึงเดียวก็ไม่มีค่าพอเสียด้วยซ้ำ ทว่าหากแลกกับการได้ร่วมมือกับสำนักท่าน ไม่ต้องพูดถึงสามแสนตำลึง ต่อให้มากกว่าสามแสนตำลึงก็คุ้มค่า”
เหวยอิงถอนหายใจ ตอบว่า “หัวหน้าท่านมีลูกน้องมากความสามารถเช่นท่าน มิน่าก่อนหน้านี้เจ้าสำนักจึงทำอันใดพวกท่านมิได้ หลายวันมานี้ พวกเราถูกปิดกั้นข่าวจึงมิทราบว่าสถานการณ์เป็นเช่นไร พวกท่านมีข่าวอันใดบ้างหรือไม่”
ชายวัยกลางคนกลอกตาครั้งหนึ่งแล้วเอ่ยตอบ “คุณชายเหวยคงเป็นห่วงบิดาของท่านสินะ คุณชายวางใจเถิด ได้ยินว่ายงอ๋องยั้งมือไว้ไมตรีต่อบิดาของท่าน เพียงกักบริเวณบิดาท่านชั่วคราวเท่านั้น แต่ยามนี้บิดาท่านท้อแท้จนหมดอาลัยตายอยาก วันนี้ล้มหมอนนอนเสื่ออยู่”
เหวยอิงถอนหายใจเอ่ยว่า “ล้วนเพราะข้าทำร้ายบิดา มิทราบว่ากลุ่มของท่านจะช่วยเหลือสักเรื่องได้หรือไม่ ให้ท่านพ่อมิต้องทุกข์ทรมานเช่นนี้”
ดวงตาของชายวัยกลางคนฉายแววพรั่นพรึงวูบหนึ่ง เขาฟังความหมายของเหวยอิงออก ในสถานการณ์เช่นนี้ หากคิดจะช่วยเหวยกวนไม่มีทางเป็นไปได้ เหวยกวนเป็นถึงอัครมหาเสนาบดี ใต้หล้าล้วนรู้จัก ทั้งยังไม่มีวรยุทธ์ล้ำเลิศอันใด คิดจะหนีจากการตามจับย่อมเป็นไปไม่ได้ คำขอร้องนี้ของเหวยอิงก็คือ คิดจะให้กลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วสังหารบิดาของตน
เหวยอิงเห็นสีหน้าเขาเปลี่ยนไปอย่างมากจึงเอ่ยเสียงเบา “นี่ไม่ใช่เพราะข้าใจอำมหิต แต่บิดาข้าจงรักภักดีต่อราชสำนักต้ายง กล่าวกันว่ามิมีผู้ใดรู้จักบุตรดีกว่าบิดา อนาคตมิว่าข้าจะทำสิ่งใด ขอเพียงไม่มีความรักของบิดาบดบังแล้ว บิดาข้าย่อมมองปราดเดียวทะลุปรุโปร่ง นี่ไม่เป็นผลดีกับข้าจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นบิดาของข้าภักดีมาตลอด หากปลิดชีพตน ราชสำนักย่อมเห็นแก่คุณงามความชอบของบิดาในวันวาน ไม่ลงโทษพัวพันถึงคนในตระกูล เรื่องนี้เหวยอิงก็เจ็บปวด แต่ขอท่านช่วยเหลือด้วย”
ชายวัยกลางคนลังเลครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “เรื่องนี้ข้าต้องรายงานหัวหน้าก่อน หากทำได้ หัวหน้าจึงจะลงมือ หากทำไม่ได้ พวกเราคงมิอาจติดต่อกับสำนักท่านได้ชั่วคราว หากบิดาของท่านยังไม่ตาย คุณชายก็จะรู้ผลลัพธ์ของเรื่องนี้”
เหวยอิงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง เรื่องเจ้าสำนักเฟิงอี้สิ้นใจที่พระราชวังเลี่ยกง แม้จะมีข่าวอยู่บ้าง แต่ก็มิทราบว่าจริงหรือปลอม หัวหน้าของท่านได้ข่าวหรือไม่”
ชายวัยกลางคนตอบว่า “เรื่องนี้หัวหน้าของพวกเราออกโรงสืบข่าวด้วยตนเอง น่าจะเป็นจริงถึงเจ็ดส่วน เพราะสิบแปดอรหันต์แห่งวัดเส้าหลินเดินทางไปพระราชวังเลี่ยกง แต่มีเพียงสิบสองคนที่กลับมา ปรมาจารย์ซือเจินกลับมาก็เก็บตัวรักษาอาการบาดเจ็บทันที เกรงว่าความตายของเจ้าสำนักเฟิงอี้จะเป็นเรื่องจริง ทว่าราชสำนักต้ายงกลับไม่ต้องการป่าวประกาศ”
เหวยอิงเอ่ยว่า “นั่นย่อมแน่นอน ประมุขพรรคมารแห่งเป่ยฮั่นกับเจ้าสำนักเคยสาบานกันไว้ หากเจ้าสำนักสิ้นชีพ จิงอู๋จี๋ย่อมไม่รักษาคำสาบานอีกต่อไป ดังนั้นราชสำนักจะปิดบังเรื่องใหญ่เช่นนี้ก็เข้าใจได้ หากกลุ่มของท่านป่าวประกาศเรื่องนี้ออกไป พรรคมารแห่งเป่ยฮั่นต้องกระเหี้ยนกระหือรือเป็นแน่ ถึงเวลาไยมิเป็นประโยชน์ต่อพวกเรา”
ชายวัยกลางคนขมวดคิ้วเอ่ยว่า “เรื่องนี้สำคัญยิ่ง ข้ามิอาจตัดสินใจ แต่หากเป็นเช่นนี้ เมื่อพรรคมารเข้ารุกรานคงกระทบต่ออำนาจของพวกเราอย่างเลี่ยงไม่ได้ เกรงว่าหัวหน้าของพวกเราคงจะไม่เห็นด้วย”
เหวยอิงหัวเราะ “ใต้หล้าไม่มีกำแพงใดที่ลมหาทางลอดไม่ได้ ข่าวนี้ช้าเร็วย่อมแพร่กระจาย หากหัวหน้าของท่านวางแผนให้ดี ย่อมฉวยโอกาสหาผลประโยชน์ได้”
ชายวัยกลางคนหวั่นไหวเล็กน้อยแต่ไม่เอ่ยตอบ เหวยอิงทราบว่าเรื่องนี้แนะแต่พอควรจึงจะเป็นการดี จึงไม่เกลี้ยกล่อมต่อ
ไม่นานสตรีสวมอาภรณ์สีเขียวคนหนึ่งก็เดินออกมาจากบ้าน แม้ดูจากหน้าตาจะทราบว่าสตรีนางนั้นไม่เยาว์วัยแล้ว แต่รูปโฉมยังคงสะสวยแลดูสูงศักดิ์ ด้านหลังร่างนางมีมือกระบี่ตามมาสองนาง ทั้งสองคนใช้เปลหามแบกสตรีหมดสตินางหนึ่งออกมา ใบหน้าของสตรีนางนั้นพันผ้าสีขาวไว้หนาเตอะจนมองไม่เห็นโฉมหน้า
ดวงตาของชายวัยกลางคนฉายแววยินดีวูบหนึ่ง เขาหมุนตัวกลับไปส่งสัญญาณมือ คนชุดดำผู้หนึ่งโผล่ออกมาจากความมืด หน้าตาของเขาถูกบดบังไว้ใต้ผ้าปิดหน้าจนหมด เขาเดินไปหน้าเปลหาม แล้วกระชากอาภรณ์บนร่างสตรีผู้บาดเจ็บนางนั้นอย่างไม่ถนอมแม้แต่น้อย จากนั้นตรวจดูไฝแดงเม็ดหนึ่งตรงเอวของนาง ก่อนจะพยักหน้าแล้วถอยออกไป เห็นเขามีวิชาท่าร่างอันลึกลับ พลังภายในลึกล้ำ ก็ทราบว่าคนผู้นี้ฐานะต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่ ชายวัยกลางคนโบกมือครั้งหนึ่งอย่างพึงพอใจ เด็กหนุ่มสองคนข้างกายเขาเข้ามารับเปลหามแล้วแบกสตรีนางนั้นจากไป
ชายวัยกลางคนส่งกล่องทั้งสองใบให้แก่เหวยอิงแล้วกล่าวว่า “สัญญาพันธมิตรบรรลุแล้ว โปรดรับสิ่งเหล่านี้ไว้ด้วย แต่จะดีที่สุดหากพวกเราเหลือช่องทางติดต่อกันเอาไว้ เมื่อพวกท่านตั้งหลักที่หนานฉู่ได้ พวกเราจะได้แลกเปลี่ยนข่าวสารกันสะดวก สักวันหนึ่ง คงมีวันที่ต้ายงเผชิญศึกในศึกนอกจนล่มสลาย”
จิตสังหารโชนฉายในดวงตาของสตรีอาภรณ์สีเขียวนางนั้น นางเอ่ยขึ้นว่า “วันนั้นอยู่ไม่ไกลนักหรอก ครั้งนี้ต้ายงเกิดความวุ่นวายภายใน เป่ยฮั่นต้องฉวยโอกาสปล้นชิงตามไฟแน่ เมื่อพวกเราคุมราชสำนักหนานฉู่สำเร็จแล้วกระหนาบโจมตีจากสองฝั่ง ต้องทำให้เจ้าแผ่นดินกับขุนนางต้ายงกินไม่ได้นอนไม่หลับแน่นอน”
ชายวัยกลางคนเอ่ยอย่างยินดียิ่งนัก “หากเป็นเช่นนี้ พวกเรากลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วจะฉวยโอกาสปลุกระดมประชาชนให้ก่อกบฏ พวกเราในนอกประสาน ต้ายงต้องล่มสลายแน่นอน”
ทั้งสองฝ่ายคุยเกี่ยวกับสัญญาณลับที่ใช้ติดต่อกันอีกเล็กน้อย ชายวัยกลางคนผู้นั้นก็จากไปอย่างพึงพอใจ ผู้คนของสำนักเฟิงอี้เห็นเลือนรางว่ามีคนชุดดำไม่ทราบจำนวนคอยคุ้มกันพวกเดียวกันในเงามืดขณะล่าถอยไป เมื่อเห็นหน้าไม้และคันศรในมือพวกเขา ทุกคนล้วนสูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าปอด หากเมื่อครู่ต่อสู้กันขึ้นมา เกรงว่าพวกตนคงบาดเจ็บล้มตายอย่างสาหัส กลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วที่ผลุบโผล่ดั่งภูตผีในต้ายงช่างไม่ธรรมดาจริงๆ
เวลานี้ เซียวหลานผู้มีสีหน้าซีดเซียวก็เดินออกมาจากตัวบ้าน นางเดินมาถึงข้างกายสตรีอาภรณ์เขียวแล้วเอ่ยว่า “อาจารย์อา คนผู้นั้นแม้ไม่เห็นใบหน้า แต่ข้าเห็นท่าทางของเขาแล้ว รู้สึกว่าคลับคล้ายคนผู้หนึ่ง แต่คนผู้นั้นตายไปนานแล้ว ดังนั้นข้าจึงไม่กล้ามั่นใจ”
สตรีอาภรณ์เขียวหรือก็คืออดีตจี้กุ้ยเฟยเอ่ยว่า “ไม่เป็นไร เจ้าลองพูดมา ข้าเชื่อสายตาของเจ้า”
เซียวหลานเอ่ยอย่างหนักแน่น “คนผู้นั้นคล้ายเซี่ยจินอี้ องครักษ์ข้างกายรัชทายาทยิ่งนัก แต่เขาตายตั้งแต่คราวเรื่องฉุนผินแล้ว”
จี้เสียคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ปรบมือแล้วเอ่ยว่า “ไม่แน่อาจเป็นคนผู้นั้น คิดไม่ถึงว่ากลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วจะร้ายเช่นนี้ มิน่าพวกเขาจึงต้องการหลี่หันโยว ข้าเคยได้ยินเจ้าสำนักเล่าถึงชาติกำเนิดที่แท้จริงของหลี่หันโยว เช่นนี้ก็เข้าเค้าแล้ว ดูท่ากลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วจะอยากร่วมมือกับพวกเราจากใจจริง ดีละ เตรียมตัวให้พร้อม พวกเราจะออกเดินทางทันที ออกจากอาณาเขตต้ายงในเร็ววัน พวกเราจึงจะปลอดภัยไร้กังวล”
ทุกคนขานตอบอย่างพร้อมเพรียง พวกนางเองก็ไม่ทราบชาติกำเนิดที่แท้จริงของหลี่หันโยวชัดเจนนัก แต่ในเมื่อจี้เสียเอ่ยเช่นนี้ก็มั่นใจได้เก้าในสิบส่วน จึงมิวุ่นวายจี้ถามต่อ ขอเพียงกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วจริงใจต้องการร่วมมืออย่างแท้จริง ถ้าเช่นนั้นอย่างน้อยราชสำนักต้ายงก็คงไม่พบร่องรอยของพวกนางทันที นี่จึงจะสำคัญที่สุด
ตอนต่อไป