ยู่เฉิงไห่เตรียมพร้อมรับโทษท้ายที่สุดแล้วตัวเขาก็ได้พูดในสิ่งที่ติดค้างอยู่ภายในใจออกมาได้แล้ว แม้ว่าผู้เป็นอาจารย์จะลงโทษทุบตีเขาก็ตาม แต่ยู่เฉิงไห่ก็จะไม่บ่น ในตอนที่ใช้เวลาอยู่ร่วมกันกับผู้เป็นอาจารย์มานานหลายปี ยู่เฉิงไห่ก็ได้เรียนรู้ว่าผู้เป็นอาจารย์ของเขาไร้เหตุผลเพียงใด ไม่เพียงแต่จะพูดอย่างกล้าหาญเท่านั้น ผู้เป็นอาจารย์คนนี้มักจะมองเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่เหล่าสาวกไม่เคารพผู้เป็นอาจารย์อยู่เสมอ ด้วยความทรงจำที่มีในอดีตทำให้ยู่เฉิงไห่ได้แต่คุกเข่าให้ด้วยความกลัว ตัวเขาหวังว่าผู้เป็นอาจารย์จะฟังคำพูดของตัวเองในสักครั้งหนึ่ง
ลู่โจวเหลือบมองไปที่ยู่เฉิงไห่ตัวเขาส่ายหัวก่อนที่จะพูดออกมา “ลุกขึ้นและพูดซะ”
“ข้าไม่กล้า”
“ข้าได้พูดในสิ่งที่ต้องการพูดไปหมดแล้วถ้าหากเจ้าอยากจะคุกเข่าต่อไป ก็เชิญเจ้าเถอะ”
เมื่อได้ยินคำพูดของลู่โจวยู่เฉิงไห่ก็เงยหน้าขึ้นก่อนที่จะลุกยืน
‘เจ้านี่ก็ยังคงทำตรงข้ามกับคำพูดดูเหมือนว่าความดื้อรั้นของเขาจะไม่ได้ลดลงไปเลยสินะ’
ลู่โจวรู้ดีว่าจีเทียนเด๋าไม่เคยชอบให้เหตุผลกับผู้อื่นสำหรับจีเทียนเด๋าแล้ว ตัวเขาเลือกที่จะใช้กำลังมากกว่า อันที่จริงแล้วการอาศัยกำลังในการแก้ปัญหา มันสามารถแก้ไขปัญหาได้ก็จริง แต่ก็มีอีกหลายอย่างที่การใช้กำลังอย่างเดียวไม่อาจแก้ไขปัญหาได้หมด
ลู่โจวมองไปที่ยู่เฉิงไห่
แม้ว่ายู่เฉิงไห่จะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อที่จะรักษาความสงบนิ่งเอาไว้แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็พบความยาก ความยากที่จะลุกขึ้นยืนก่อนที่จะประคองตัวเองได้ บทสนทนาในก่อนหน้านี้ได้ทำให้ตัวเขาพบกับแรงกดดันอันมหาศาล ในตอนนี้ถ้าหากจะบอกว่าเจ้าสำนักอเวจีกำลังรู้สึกประหม่าอยู่ก็ไม่ใช่เรื่องเกินเลยไปเลย
“พอแล้ว”ลู่โจวโบกแขนเสื้อของตัวเองก่อนที่จะเดินไปอีกทาง “ผู้ชายอกสามศอก พวกที่ดีแต่พูดน่ะไม่เหมาะที่จะเป็นสาวกของศาลาปีศาจลอยฟ้าหรอก เจ้าน่ะจะทำลายเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ได้ยังไงกัน”
ยู่เฉิงไห่สั่นไปทั้งตัวเมื่อได้ยินคำพูดของลู่โจวตัวเขารีบเดินตามลู่โจวไปอย่างลังเล “ท่าน…ท่านอาจารย์…ท่านยอมรับสินะ”
ลู่โจวเดินไปพร้อมกับพูดต่อ“ข้าน่ะรักษาคำพูดเสมอ หกเดือน ในตอนนี้เจ้ามีเวลาไม่ถึงเดือน…ข้าจะลงโทษเจ้าเมื่อถึงเวลา”
ยู่เฉิงไห่รู้สึกดีใจตัวเขาโค้งคำนับก่อนที่จะพูดออกมา “ถ้าหากเป็นแบบนั้นข้ามีคำขอหนึ่งที่อยากจะขอท่าน”
“ว่ามา”
“ในตอนนี้มณฑลทั้งเก้าถูกสำนักอเวจีควบคุมเอาไว้แล้วถ้าหากเป็นไปได้ ข้าไม่อยากให้ใครในศาลาปีศาจลอยฟ้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในครั้งนี้”
ลู่โจวหยุดเดินตัวเขาหันไปมองยู่เฉิงไห่ “เจ้ามั่นใจอย่างงั้นเหรอ”
“ข้ามั่นใจ…ข้ามีศิษย์น้องเจ็ดแล้ว”ยู่เฉิงไห่พูดต่อ “ในโลกใบนี้ไม่มีอะไรแน่นอน ข้าหวังว่าท่านอาจารย์จะเห็นด้วยกับข้า”
ลู่โจวไม่ได้ตอบกลับมาในทันทีตัวเขาเลือกที่จะเดินไปยังด้านหน้าแทน ไม่นานนักตัวเขาก็เดินมาถึงก้อนหินขนาดใหญ่ ที่ตรงนั้นมีตัวอักษรคำว่า ‘ไห่’ ถูกจารึกเอาไว้ ลู่โจวชี้ไปที่ตัวอักษร ตัวเขาได้ถามออกมา “เจ้าแกะสลักสิ่งนี้ไว้เมื่อหลายปีก่อน เจ้าจำได้สินะ”
ตัวอักษรดูยุ่งเหยิงและดูเลอะเลือนไปตามกาลเวลามันถูกกัดเซาะโดยสภาพอากาศที่แปรเปลี่ยน แต่ถึงจะเปลี่ยนแปลงแค่ไหนแต่มันก็ยังมองเห็นได้อย่างชัดเจน
ยู่เฉิงไห่ตอบกลับมาด้วยรอยยิ้ม“ข้าจำมันได้”
ลู่โจวยืนขึ้นก่อนที่จะเผชิญหน้ากับยู่เฉิงไห่“เจ้าเป็นศิษย์คนโต เป็นเรื่องธรรมดาที่เจ้าจะต้องแบกรับทุกอย่างเอาไว้ ข้าหวังว่ากฎเหล็กของศาลาปีศาจลอยฟ้าจะฝังอยู่ในใจของเจ้าตลอดไป”
ยู่เฉิงไห่คุกเข่าลงอีกครั้ง“ศิษย์สาวกจะต้องไม่ต่อสู้กันเอง…ข้าจะไม่มีวันลืมเรื่องนี้แน่”
ตัวของยู่เฉิงไห่ที่ใหญ่ขึ้นได้ทำให้ตัวเขามองเห็นหินก้อนใหญ่เล็กลงสิ่งนี้เป็นตัวแทนของเวลา เวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงแค่ชั่วพริบตาเท่านั้นเวลากว่า 300 ปีก็ผ่านไป
ต้นไม้และพืชพรรณอันเขียวชอุ่มทั้งหมดต่างก็เติบโตกันมากขึ้นทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไป
ลมได้พัดผ่านเคราของลู่โจวแม้ว่าบัตรพลังชีวิตจะทำให้ลู่โจวมีอายุน้อยกว่าเดิม แต่ด้วยรูปร่างหน้าตาของตัวเขาในตอนนี้ ลู่โจวก็ยังดูเหมือนกับชายชราอยู่ดี
ลู่โจวมองไปที่ยู่เฉิงไห่“ยู่เฉิงไห่…”
“ครับท่านอาจารย์”
“ข้าก็เหมือนกับเจ้าแล้วสักวันเจ้าก็จะกลายเป็นข้าเอง ถ้าเรื่องในวันวานเกิดขึ้นอีก เจ้าจะทำยังไงกัน”
เมื่อยู่เฉิงไห่ได้ยินคำถามตัวเขาก็ตกตะลึง
ลู่โจวไม่รอฟังคำตอบตัวเขาสะบัดแขนเสื้อก่อนที่จะเดินจากไป
ด้านหลังของภูเขากลับมาเงียบสงบอีกครั้งกว่าที่ยู่เฉิงไห่จะรู้สึกตัว รอบข้างของเขามันก็มืดมิดแล้ว
หลังจากที่ยืนนิ่งไปนานยู่เฉิงไห่ก็พึมพำออกมา“ถ้าหากข้าได้รับโอกาสที่จะเริ่มต้นใหม่จริง ข้าก็จะทำทุกอย่างใหม่อยู่ดี”
…
ที่ใจกลางศาลาปีศาจลอยฟ้า
หมิงซี่หยินกำลังส่งยู่เฉิงไห่ลงจากภูเขาในตอนนั้นเองตัวเขาก็ได้ถามออกมา “ศิษย์พี่ใหญ่…การสนทนาเป็นยังไงบ้าง ท่านได้บอกอะไรกับท่านอาจารย์? ท่านอาจารย์น่ะอ่อนโยนกว่าแต่ก่อนมากใช่ไหมล่ะ?”
ยู่เฉิงไห่ไม่ได้ตอบคำถามอะไรของหมิงซี่หยินตัวเขาได้เดินลงจากภูเขาพร้อมกับมองไปรอบตัวแทน
หมิงซี่หยินรู้สึกเบื่อตัวเขามักจะลงจากภูเขาอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่เคยใช้เวลาชื่นชมกับภาพที่อยู่รอบตัวเลย การค่อยๆ เดินลงจากภูเขาทำให้หมิงซี่หยินรู้สึกเบื่อหน่ายมากยิ่งขึ้น
“ศิษย์น้องสี่ข้าได้ยินมาว่าท่านอาจารย์รับสาวกคนใหม่มาไม่ใช่เหรอ”
หมิงซี่หยินพยักหน้าให้ก่อนที่จะตอบกลับไป“ถูกต้องแล้ว…สาวน้อยคนนั้นได้เข้าสู่ขั้นสังหรณ์หยั่งรู้โดยที่ไม่ต้องฝึกฝน นางใช้เวลา 5 เดือนเท่านั้นก็กลายเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นสัมผัสแห่งการควบคุม นางดูใสซื่อไม่ต่างอะไรกับศิษย์น้องเก้าเลย”..
“อืมไม่น่าแปลกใจเลยที่ท่านอาจารย์จะรับนางเป็นศิษย์”
“แม้ว่าท่านอาจารย์จะไม่ยอมรับนางแต่ยังไงซะสำนักอื่นก็ต้องต่อสู้กันเพื่อแย่งตัวนางกันอยู่ดี”
ยู่เฉิงไห่ได้ถามออกมาด้วยความสงสัย“สาวน้อยคนนี้ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกับท่านอาจารย์อย่างงั้นเหรอ”
“ท่านหมายความว่ายังไงกันศิษย์พี่ใหญ่”
“เจ้ารู้อยู่แล้วว่าข้าหมายถึงอะไร”
“ข้าไม่รู้”
“ลืมมันไปซะเถอะ”
ครู่ต่อมายู่เฉิงไห่และหมิงซี่หยินก็เดินมาถึงเชิงเขาทั้งคู่ต่างก็เดินผ่านม่านพลังมา
ยู่เฉิงไห่ที่เดินออกมาได้พูดขึ้น“ศิษย์น้องสี่ ดูแลท่านอาจารย์แทนข้าด้วย”
“ว้าวข้าไม่เคยคิดเลยว่าท่านจะเป็นพวกห่วงใยผู้อื่นแบบนี้ ศิษย์พี่ใหญ่”
“อะไรกัน”
“ข้าก็แค่หมายถึง…ข้าจะดูแลท่านอาจารย์เป็นอย่างดีแน่นอนไม่ต้องกังวลไปศิษย์พี่ใหญ่!”
ยู่เฉิงไห่ได้ลอยขึ้นไปบนฟ้าตัวเขาได้หายตัวไปในความมืดมิดในทันที
หลังจากที่ยู่เฉิงไห่จากไปหมิงซี่หยินก็รีบเอามือแตะหน้าอกอย่างโล่งอก “เกือบไปแล้ว เกือบไปแล้วจริงๆ ดีนะที่ข้าเปลี่ยนเรื่องได้ทัน”
ทันทีที่หมิงซี่หยินพูดจบเสียงที่ไม่พึงพอใจก็ดังขึ้นมาจากต้นไม้ที่อยู่ด้านหลัง “มันก็แค่หน้าซื่อใจคดก็เท่านั้น”
หมิงซี่หยินสั่นไปทั้งตัวตัวเขาหินไปมองทิศทางที่เสียงดังขึ้น “ศิษย์พี่รอง ทะ…ทำไมท่านถึงมาที่นี่ได้?”
“ศิษย์น้องสี่ทำไมเจ้าไม่ติดต่อข้า ในตอนที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าเกิดเรื่องกัน”
“เอ่อ…”หมิงซี่หยินได้แต่ก่นด่าอยู่ภายในใจ “ศิษย์พี่รอง การเคลื่อนไหวของท่านยากที่จะคาดเดา ข้าไม่สามารถติดต่อกับท่านได้ ท่านอาจารย์เองก็เคยพูดเหมือนกันว่าท่านไม่ชอบติดต่อกลับมา นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าติดต่อศิษย์พี่ใหญ่แทนน่ะ”
เมื่อยู่ฉางตงได้ยินแบบนั้นคิ้วของเขาที่ขมวดก็คลายลง “ข้าเองที่ผิด”
“มันเป็นเรื่องอุบัติเหตุน่ะศิษย์พี่”
“แต่ถ้าหากเกิดเรื่องแบบนี้อีกเจ้าต้องบอกข้าในทันที” ยู่ฉางตงพูด
“แน่นอน!”เมื่อหมิงซี่หยินเห็นว่ายู่ฉางตงกำลังจะเดินจากไป ตัวเขาก็ได้รีบพูดต่อ “ศิษย์พี่รอง ท่านจะไม่กลับมาในศาลาปีศาจลอยฟ้าอย่างงั้นเหรอ”
“ไม่ข้ามีอะไรที่จะต้องทำ” ยู่ฉางตงที่พูดจบได้บินจากไปในทันที
“ขอให้เดินทางปลอดภัยศิษย์พี่รอง”หมิงซี่หยินได้เรียนรู้มาจากก่อนหน้านี้ ตัวเขารีบวิ่งกลับไปที่ม่านพลังเมื่อเห็นยู่ฉางตงจากไป
…
ณเช้าวันรุ่งขึ้น
ลู่โจวลืมตาขึ้นตัวเขาได้วัดระดับพลังวิเศษจากการทำสมาธิในคืนที่ผ่านมา ตัวเขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าการทำสมาธิได้เพิ่มพลังวิเศษของตัวเขา ในทำนองเดียวกัน ความสามารถของพลังวิเศษเองก็เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน แต่อย่างไรก็ตามลู่โจวจะต้องใช้เวลากว่า 1 สัปดาห์กว่าที่จะเติมเต็มพลังวิเศษให้กลับมาสมบูรณ์แบบได้
ลู่โจวไม่ได้นั่งสมาธิเพื่อศึกษาเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ต่อตัวเขาเลือกที่จะเหลือบมองภาพวาดอันเก่าแก่แทน เมื่อเห็นว่าไม่มีพื้นที่ใหม่เปิดขึ้น ลู่โจวก็กลับมานั่งที่เดิมแทน
ตัวเขาได้ศึกษาระบบหลังจากที่ผ่านการอัปเกรด พลังวิเศษของลู่โจวก็เพิ่มและพัฒนามากยิ่งขึ้น นอกจากพลังวิเศษใหม่ที่ได้รับมา ตัวเขาก็ไม่ได้รับพลังวิเศษอื่นๆ ในการทดสอบพลังในก่อนหน้านี้ ตอนนี้ลู่โจวเริ่มที่จะสะสมพลังได้แล้ว และเพราะแบบนั้นตัวเขาจึงตัดสินใจที่จะลองใช้พลังอีกครั้ง…
ลู่โจวที่คิดเริ่มใช้พลังได้ท่องเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์อยู่ภายในใจ‘เพื่อให้ได้มาซึ่งพลัง พลังที่จะได้ยินเสียงทุกสรรพสิ่ง พลังที่จะได้ยินเสียงในทุกดินแดนที่ต้องการ’
เป็นไปตามที่คาดไว้มีเสียงอะไรแผ่วเบาดังเข้าหูของเขา…
“ท่านอาจารย์ได้ออกมาจากการฝึกฝนตัวเองแล้วเขาจะต้องตรวจสอบพลังวรยุทธของเหล่าสาวกในอีกไม่ช้าแน่ นี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราควรมองข้าม ในอดีตใครก็ตามที่ไม่ผ่านการประเมิน คนคนนั้นก็จะถูกทุบตีไม่ก็ถูกขังเดี่ยวเพื่อไตร่ตรองตัวเอง” ซู่ฮ่องกงพูด
“อะไรกันท่านปรมาจารย์ดูไม่เหมือนผู้ที่ใช้ความรุนแรงเลยสักนิด!” ผู้ฝึกยุทธหญิงคนหนึ่งพูดออกมาด้วยความตื่นตกใจ
“เจ้าน่ะตัดสินหนังสือจากปกไม่ได้หรอกเจ้าคิดว่าข้าเชื่อถือไม่ได้เหรอไงกัน” ซู่ฮ่องกงถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “ข้าคงช่วยอะไรพวกเจ้าไม่ได้ ยังไงซะข้าก็เกิดมาพร้อมกับมันสมองที่ชาญฉลาดต่างจากพวกเจ้า”
ผู้ฝึกยุทธหญิงหลายคนหัวเราะ“ท่านแปด ได้ฟังท่านดีกว่าการอ่านตำรากว่าหลายสิบปีซะอีก”