บทที่ 532 มีดอกท้อเน่าเพิ่มอีกดอก

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 532 มีดอกท้อเน่าเพิ่มอีกดอก

บทที่ 532 มีดอกท้อเน่าเพิ่มอีกดอก

“ตอนที่ข้าไปหาเด็กผู้นั้นจากตระกูลกู้ หึ ๆ พวกเจ้าไม่เห็นหรอก! บาดแผลนั้นลึกจนเห็นกระดูก! มีบาดแผลทั้งเล็กใหญ่ทั่วร่างกาย ไม่มีส่วนดีเลยสักนิด!” หมอหม่าถอนหายใจ เปลี่ยนบทสนทนาแล้วเอ่ยอย่างมีชัย “แต่ใครให้เด็กคนนี้มาเจอข้า…”

หมอหม่าชะงักครู่หนึ่งโดยคิดว่าถึงเวลาที่เขาจะต้องคุยโวแล้ว “เมื่อข้าเห็นเด็กผู้นั้นในสภาพที่น่าสลดใจ ข้าก็ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ สั่งยาและทำแผลให้เขา โชคดีที่ข้าทำทุกอย่างทันเวลา! พวกเจ้าดูตอนนี้สิ เด็กผู้นี้ยังมีชีวิตอยู่และไม่เป็นอะไรเลย!”

“ใช่แล้ว ใช่แล้ว! เจ้าเห็นอาการบาดเจ็บของจางเลี่ยฮู่ในตอนนั้นหรือไม่ แต่ขาเขาถูกทิ้งไว้ในปากของหมาป่าในตอนนั้น นับเป็นโชคดีในความโชคร้ายที่เขารอดชีวิตมาได้!”

“ใช่แล้ว เจ้าดูครอบครัวจางตอนนี้ ตอนนี้พวกเขาเปลี่ยนไปแล้ว! มีโชคลาภก้อนใหญ่!”

ทุกคนพยักหน้า

กูู้เสี่ยวหวานมุ่งหน้าไปที่แม่น้ำเพื่อซักผ้า นางต้องการให้ฉินเย่จืออยู่ที่บ้านอีกสองสามวันเพื่อพักฟื้น หากแต่ชายหนุ่มไม่ยินยอมและต้องการตามไปด้วย

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ฉินเย่จือจะได้รับบาดเจ็บ ไม่ว่ากู้เสี่ยวหวานจะอยู่ที่ใดหรือไปที่ไหน เขาต้องตามนางไป เว้นเสียแต่ว่าเขาจะรู้สึกไม่เหมาะสม

ระหว่างทาง เมื่อพวกเขาได้ยินหมอหม่าคุยโวกับคนที่อยู่ที่นี่ กู้เสี่ยวหวานทั้งโกรธทั้งขำ แต่หมอหม่าช่วยฉินเย่จือสุดความสามารถของเขา หากชายชราต้องการคุยโม้ เช่นนั้นก็ปล่อยให้เขาโม้ไปเสียเถอะ

กู้เสี่ยวหวานไปที่แม่น้ำพร้อมกับถังเสื้อผ้าสกปรก และเห็นคนคุ้นเคยหลายคนกำลังซักเสื้อผ้าที่ริมแม่น้ำ และนางก็บังเอิญเห็นกุ้ยชุนเจียว

ทันทีที่เห็นกู้เสี่ยวหวานกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ ใบหน้าของกุ้ยชุนเจียวพลันเปลี่ยนไป

เมื่อเห็นว่าฉินเย่จือตามมาด้วย กุ้ยชุนเจียวก็รู้ว่าอาการบาดเจ็บของพี่ใหญ่ฉินคงเกือบจะหายแล้ว นางจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก ตราบใดที่พี่ใหญ่ฉินสบายดี กู้เสี่ยวหวานควรมีเวลารับฟังคำพูดของตน

กุ้ยชุนเจียวมองดูผู้หญิงสองสามคนที่อยู่รอบ ๆ พวกนางกำลังพูดคุยหัวเราะต่อกระซิกขณะซักผ้า เนื่องด้วยมีผู้คนมากมายรอบด้าน เด็กสาวจึงไม่ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี กู้เสี่ยวหวานเหลือบมองเล็กน้อยและรู้ว่ากุ้ยชุนเจียวมีบางอย่างที่จะบอกตนเอง แต่ถ้านางไม่พูด กู้เสี่ยวหวานก็จะไม่ริเริ่มถามอย่างแน่นอน

ในท้ายที่สุด กู้เสี่ยวหวานไม่ได้สนใจอีกฝ่ายอีกต่อไป นางเพียงแค่ต้องการซักเสื้อผ้าให้เร็วที่สุดเพื่อให้ฉินเย่จือได้กลับไปพักผ่อนโดยเร็ว

นางมองดูมือของกู้เสี่ยวหวานที่ขยับเร็วขึ้นเรื่อย ๆ และจำนวนเสื้อผ้าสกปรกก็น้อยลงเรื่อย ๆ แต่กุ้ยชุนเจียวยังคงไม่พูดอะไรเลย ผู้หญิงเหล่านั้นยังคงซักเสื้อผ้าช้า ๆ นางกลัวว่ากู้เสี่ยวหวานซักผ้าเสร็จแล้ว และคนเหล่านี้ยังคงอยู่ที่นี่

กุ้ยชุนเจียวรู้สึกกังวลเล็กน้อยในใจ และเร่งความเร็วมือมากขึ้นเช่นกัน

เมื่อเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานเก็บข้าวของและกำลังจะจากไป กุ้ยชุนเจียวก็รีบยัดสิ่งของที่ซักแล้วและยังไม่ได้ซักทั้งหมดลงในอ่าง และวิ่งเหยาะ ๆ ตามหลังกู้เสี่ยวหวานไป

ผู้คนรอบ ๆ มองดูการเคลื่อนไหวของกุ้ยชุนเจียวอย่างนึกสงสัย

กุ้ยชุนเจียวยังซักเสื้อผ้าไม่เสร็จ ทำไมถึงรีบร้อนออกไปเช่นนั้น นางอยากจะทำอะไรกันแน่?

ฉินเย่จือต้องการรับเสื้อผ้าที่สะอาดในมือของกู้เสี่ยวหวานมาถือไว้ แต่กู้เสี่ยวหวานไม่เห็นด้วย นางวางมันไว้ที่เอวและโอบไว้ สิ่งของที่น้ำหนักไม่มากถูกส่งไปให้ฉินเย่จือถือแทน

ฉินเย่จือไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีเมื่อเห็นว่าเขาถือกระบองเล็ก ๆ อยู่ในมือ

ลูกแมวตัวนี้คิดว่าเขายังไม่หายดี!

แต่กู้เสี่ยวหวานยืนกรานที่จะทำเช่นนี้ ฉินเย่จือทำได้เพียงยอมแพ้โดยคิดว่าวันหนึ่งเขาจะยื่นมือให้กู้เสี่ยวหวานเพื่อให้นางรู้ว่าเขาไม่เป็นไร

ทั้งสองเดินเคียงข้างกันอย่างเงียบ ๆ และพวกเขาได้ยินเสียงฝีเท้าเร็ว ๆ มาจากด้านหลัง และมีเสียงหนึ่งดังขึ้น “เสี่ยวหวาน เจ้ารอข้าก่อน เจ้ารอข้าก่อน!”

เมื่อกู้เสี่ยวหวานได้ยินว่าเป็นเสียงของกุ้ยชุนเจียว นางก็หยุดอย่างรวดเร็ว และเมื่อมองย้อนกลับไป นางก็เห็นกุ้ยชุนเจียวกำลังวิ่งมาด้วยเหงื่อทั่วศีรษะ นางก็หอบเล็กน้อย “เสี่ยวหวาน…”

“เจ้ามีเรื่องอะไรหรือ?” ในช่วงเวลานี้ ร่างกายของฉินเย่จือเกือบจะหายเป็นปกติ กู้เสี่ยวหวานจึงมีความคิดที่จะฟังสิ่งที่กุ้ยชุนเจียวพูด ในช่วงเวลานี้ กุ้ยชุนเจียวก็มาหานางหลายครั้งเช่นกัน แต่เนื่องจากเรื่องของฉินเย่จือ กู้เสี่ยวหวานจึงไม่ฟังคำพูดของกุ้ยชุนเจียวเลย

กุ้ยชุนเจียวมาหานางถึงสองครั้ง และเมื่อเห็นกู้เสี่ยวหวานไม่สนใจตนเอง ดังนั้นในใจนางจึงโกรธเคืองแต่ก็ทำอะไรไม่ได้

“เสี่ยวหวาน ตงเหมยหายไปแล้ว!” เมื่อได้ยินกู้เสี่ยวหวานถามตนเองว่ามีเรื่องอะไร กุ้ยชุนเจียวจึงตอบออกไปอย่างช่วยไม่ได้ “มันเกินครึ่งเดือนแล้ว”

เมื่อเห็นกู้เสี่ยวหวานขมวดคิ้ว กุ้ยชุนเจียวกล่าวต่อว่า “มันเป็นครั้งสุดท้ายที่นางไปที่บ้านเจ้าเพื่อไปหาพี่ใหญ่ฉิน และเมื่อนางกลับถึงบ้าน แม่ของข้าก็พูดอะไรบางอย่างกับนาง จากนั้นนางก็ทำร้ายท่านแม่แล้วก็จากไป จนถึงตอนนี้นางยังไม่กลับมาเลย!”

ว่าอย่างไรนะ? กุ้ยตงเหมยยังมาหาฉินเย่จืออีกหรือ? ทำไมตนเองถึงไม่รู้เรื่องนี้?

ทันทีที่กู้เสี่ยวหวานได้ยินสิ่งนี้ นางก็เงยหน้าขึ้นเหลือบมองฉินเย่จือทันที

นางสงสัยว่าทำไมฉินเย่จือจึงไม่บอกตนเองว่ากุ้ยตงเหมยเคยมาหาเขาที่บ้านอีกแล้ว เมื่อเห็นสายตาตำหนิติเตียนของกู้เสี่ยวหวาน ฉินเย่จือก็รู้สึกผิดเล็กน้อย “เป็นเวลาที่เจ้าเข้าเมืองเพื่อไปหาเถ้าแก่หลี่ ตอนนั้นข้าไม่สบายเล็กน้อยจึงอยู่ที่บ้าน และนางก็มาที่บ้าน!”

มันเป็นเรื่องเล็กน้อย ฉินเย่จือจึงรู้สึกว่าไม่จำเป็นที่จะต้องบอกกู้เสี่ยวหวาน ถ้านางรู้ว่ากุ้ยตงเหมยมาที่นี่เพื่อแสดงความตั้งใจของนาง เขากลัวว่ากู้เสี่ยวหวานจะต้องประชดประชันตนเองอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม หากตนเองไม่พูด คนอื่นก็จะพูดเรื่องนี้เอง

จากนั้นก็ได้ยินกุ้ยชุนเจียวเล่าเรื่องในวันนั้นว่า “ตงเหมยไม่รู้เรื่องอะไรและมารังควานพี่ใหญ่ฉิน พี่ใหญ่ฉินอย่าโทษนางเลย นางมาด้วยเจตนาดี! เมื่อเห็นว่าพี่ใหญ่ฉินป่วย นางก็แค่ต้องการทำให้ดีที่สุด เพื่อให้พี่ใหญ่ฉินอาการดีขึ้นในเร็ววัน”

เป็นเช่นนั้นนี่เอง เดิมทีเห็นว่างนางไม่อยู่บ้าน จึงเร่งเข้ามาแสดงความเอื้ออาทร

ฉินเย่จือผู้นี้ นอกจากดอกท้ออย่างกู้ซินเถา ยังมีกุ้ยตงเหมยอีกด้วย!

กู้เสี่ยวหวานจ้องไปที่ฉินเย่จืออย่างโกรธเคือง หัวใจของฉินเย่จือเต้นเร็วขึ้นเล็กน้อย เมื่อรู้ว่าลูกแมวกำลังคิดถึงดอกท้อเน่าอีกครั้ง ฉินเย่จือเงยหน้ามองดูท้องฟ้าและก้อนเมฆสีขาว