ตอนที่ 543 จักรพรรดิแห่งนักอัญเชิญอสูร (1)

ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง

ตอนที่543 จักรพรรดิแห่งนักอัญเชิญอสูร (1)

ตอนที่543 จักรพรรดิแห่งนักอัญเชิญอสูร (1)

เซียถงหยัดยืนอยู่ท่ามกลางวงล้อมทหารหลายหลากที่ทะลักทลายเข้ามาไม่หยุดหย่อน ทั้งยังเดินหน้าเคลื่อนเข้าใกล้พระราชวังมากขึ้นต่อเนื่องจนอยู่เบื้องหน้าในท้ายที่สุด พิจารณาด้วยตำแหน่งที่ยืนแล้ว จุดนี้อยู่กึ่งกลางระหว่างป่าพฤกษาที่อยู่ด้านซ้าย และท่าเรือคูเมืองที่อยู่ด้านขวา

ไม่ว่าคนที่อยู่ในพระราชวังจะพยายามลักลอบหนีไปช่องทางใด ย่อมมิทราบหลุดพ้นสายตาของเซียถงได้เช่นกัน

ไป๋หลี่เย่กำลังนั่งอยู่บนหลังม้าอาชาร่างใหญ่ โดยเคียงข้างได้รับการอารักขาคุ้มกันจากกลุ่มยอดฝีมือขอบเขตราชันย์ม่วงขึ้นไปทั้งสิ้น

เห็นว่าตนเองโดนดักเส้นทาง ไป๋หลี่เย่ก็มุ่งมองหาเซียถง สายตาเกรี้ยวกราดแทบลุกเป็นไฟ

‘เซียถง! ส่งบัญชาสี่พิภพมา!!’

“แม่ข้าอยู่ไหน?”

เซียถงกล่าวคำหนึ่ง โยนหอกลมปราณฝากไว้กับเสี่ยวฮั่วที่อยู่ข้างเคียง จากนั้นก็หยิบบัญชาสี่พิภพออกมาจากใต้อกเสื้อชูขึ้นมา ชั่วขณะที่บัญชาสี่พิภพเผยแสดงออกมาต่อหน้าทุกคน แสงจันทร์เงินสาดสะท้อนส่องกระทบลงมา เหรียญตราแสนวิจิตรชิ้นนี้เปล่งประกายสีทองแดงทรงบารมี

ไป๋หลี่เย่เห็นมันเพียงเท่านั้น ถึงกับต้องโน้มตัวมุ่งมองอย่างอดใจไม่ไหว

“บัญชาสี่พิภพจริงๆด้วย!!”

เซียถงชูบัญชาสี่พิภพอยู่ในกำมือ เหลือบมองไป่หลี่เย่ด้วยสายตาเหยียบเย็น

“แลกเปลี่ยนกับแม่ข้า!”

ได้ฟังเช่นนั้น ไป๋หลี่เย่โบกมือให้สัญญาณขึ้นมาทีหนึ่ง ร่างของหญิงนางหนึ่งถูกผลักไสร่วงตกลงมาจากหลังม้าด้านหลัง แต่ศีรษะของนางถูกห่อคลุมด้วยถุงกระสอบสีดำ ข้อมือข้อเท้าถูกล่ามโซ่เหล็ก เมื่อโดนผลักตรงพื้นลงมาก็เผยให้เห็นถึงการมีตัวตนอยู่ แค่ได้เห็นเสื้อผ้าการแต่งกาย เซียถงก็พึงทราบ ลูกตาดำหดเล็กเท่ารูเข็ม

สักครู่หนึ่ง สายตาของเซียถงกลายเป็นความเย็นชาเกินพรรณนา ปรากฏว่า พวกมันรังแกท่านแม่ของนางถึงขนาดนี้ ปฏิบัติต่อนางราวกับคนตาย!

ทันทีที่เห็นดังนั้น เซียถงแทบจะเคลื่อนไหวทันที พร้อมกับเสี่ยวอั่วที่เตรียมจะลงมือ

ฮูหยินหลี่พยายามดิ้นทุรนทุรายอยู่กับพื้น ปากคล้ายถูกพันธนาการพูดไม่ได้ เอาแต่ส่งเสียงร้องหอนออกมา

แต่เสี้ยวพริบตานั้นเอง ทันใดนั้นก็มีชายหนุ่มผู้แกร่งกล้าผู้หนึ่งปรากฏกายขึ้น ยืนขวางอยู่เบื้องหน้าไป๋หลี่เย่

เขามีนามว่า จางจู!

“จางจู ไปชิงบัญชาสี่พิภพจากนางมาเสีย!”

จางจูเหลือบสายตาเย้ยเยาะชำเลืองมองเซียถงอยู่หนึ่งปราด มุมปากกระตุกยิ้มส่อเสียดแววสบประมาทชัดเจน และจู่ๆเขาก็ฉีกเสื้อเกราะขาดออกเป็นสองส่วน เป็นการเปลือยกายครึ่งท่อนบน เผยให้เห็นแผ่นอกชั้นหนาที่แน่นกำยำ พร้อมกับลวดลายของสัตว์อสูรนานาชนิดที่ขดเคี้ยวตั้งแต่ช่วงลำตัวยาวไปถึงท่อนแขน ไม่มีใครคาดฝันมาก่อนเลยว่า ชายคนนี้เองก็เป็นนักอัญเชิญอสูรเช่นกัน!

เมื่อสังเกตมองใบหน้าของจางจูผู้นี้ให้จงดี กลับรู้สึกคุ้นเคยอยู่หลายส่วน และทันใดนั้นก็มีชื่อของบุคคลหนึ่งผุดปรากฏขึ้นกลางจิตใจของเซียถง

จางเสวี่ยนหรง บุตรสาวของแม่ทัพจางเจิ้นกั๋ว!

รูปลักษณ์ใบหน้าของจางจูผู้นี้และจางเสวี่ยนหรงดูคล้ายคลึงกันถึงเจ็ดส่วน ซึ่งจะว่าไปแล้ว เหมือนนางจะเคยได้ยินมาว่า แม่ทัพจางเจิ้นกั๋วมีบุตรทั้งหมดสองคน แต่เนื่องจากบุตรชายมีร่างกายอ่อนแอตั้งแต่เกิดและป่วยหนักอยู่บ่อยครั้ง จึงส่งไปอุปสมบทเป็นพระ ณ ดินแดนห่างไกล จึงเหลือเพียงบุตรสาวอย่างจางเสวี่ยนหรงเท่านั้น ที่อยู่ด้วยกันกับผู้เป็นพ่อตลอดเวลา และนานวันเข้า หลายคนก็ค่อยๆหลงลืมการทีอยู่ของบุตรชายคนนี้ไป

อย่างไรก็ตามแต่ ใครจะไปคิดว่า สาเหตุที่แท้จริงที่แม่ทัพจางเจิ้งกั๋วจำต้องส่งจางจูออกไปเป็นเพราะ จางจูคือนักอัญเชิญอสูรที่มีพรสวรรค์สูงมาก!

ทันทีที่เสี่ยวฮั่วเห็นดังนั้น ถึงกับขยับเข้าใกล้เซียถงอย่างลับๆ ลอบกระตุกแขนเสื้อของนางทีหนึ่งและเอ่ยเสียงทุ้มต่ำขึ้นว่า

“เขาเป็นนักอัญเชิญอสูร!”

“ข้าเห็นอยู่!”

“ไม่ ข้าหมายถึง เขาเป็นนักอัญเชิญอสูรที่แข็งแกร่งมาก ท่านควรระวังตัว”

สิ่งใดที่พูดออกจากปากเสี่ยวฮั่วล้วนหาได้เรียบง่ายปานนั้น มันเองก็ตระหนักทราบชัดแจ้งดี ถึงความแข็งแกร่งของเซียถงในฐานนักอัญเชิญอสูร และยังผนวกกับตัวตนที่แท้จริงของเสี่ยวฮั่ว ผู้เป็นถึงสุดยอดเทพอสูร ดังนั้นเมื่อผนึกพลังรวมกัน ในด้านกำลังรบย่อมไร้เทียมทาน ยากเกินกว่าที่ผู้ใดจะคิดต่อกร

แต่คราวนี้แม่แต่เสี่ยวฮั่วยังดูค่อนข้างอึดอัด มันกล่าวขึ้นอีกว่า

“เขาคนนี้แตกต่างจากศัตรูที่แล้วมา! เป็นถึงนักอัญเชิญอสูรที่มีตราผนึกจักรพรรดิเทวะโดยกำเนิด! ถึงแม้ตอนนี้ ท่านจะทะลวงขึ้นเป็นนักอัญเชิญอสูรระดับศักดิ์สิทธิ์ชั้นต้นแล้วก็ตาม แต่อย่างไรก็หาใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่ายได้เลย!”

อาจกล่าวได้อีกนัยว่า ศัตรูที่เซียถงกำลังเผชิญหน้าอยู่ด้วยในขณะนี้คือ นักอัญเชิญอสูรที่แข็งแกร่งและทรงพลังที่สุดตั้งแต่ที่นางเคยเผชิญพบมา!

เสี่ยวฮั่วได้แต่เอ่ยปากเตือนภัยแก่เซียถงซ้ำแล้วซ้ำเล่า จะสู้อย่างไรก็ได้แต่ห้ามสู้กันด้วยความสามารถในด้านการอัญเชิญอสูรเด็ดขาด!

เพียงไม่ว่าเซียถงจะทรงพลังแข็งแกร่งปานใด แต่ตราผนึกอสูรที่มีโดยกำเนิดของนางเป็นเพียง ตราผนึกจักรพรรดิฟ้าเท่านั้น แตกต่างไปจากของศัตรูคราวนี้ที่เป็นถึง ตราผนึกจักรพรรดิเทวะ ซึ่งที่ระดับชั้นสูงกว่าของนาง

กล่าวคือ ทักษะความสามารถด้านการอัญเชิญอสูรของศัตรูผู้นี้สูงส่งกว่าเซียถงมาก ไม่ว่าจะเป็นในแง่ปริมาณและคุณภาพการอัญเชิญ

สิ่งนี้มีติดตัวมาตั้งแต่กำเนิดและไม่มีทางเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขอันใดได้

ในเวลานี้เอง สายตาของจางจูค่อยๆเปลี่ยนเป้าหมายจากเซียถง เคลื่อนเบี่ยงไปยังเสี่ยวฮั่วแทน ยิ่งพินิจจับจ้องนานเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งเผยรอยยิ้ฉีกกว้างมากขึ้น ทั้งยังมีแววความโลภเจือผสมอยู่หนึ่งส่วน

ไป๋หลี่เย่รู้สึกได้ว่า คล้ายจะมีอะไรบางอย่างผิดปกติออกไป แต่ก็ไม่กล้ามีปากมีเสียง กล่าวกระตุ้นทักถามจางจูได้เช่นกัน

เพราะคนอย่างจางจูผู้นี้ ถือได้ว่าเป็นรากฐานสำคัญยิ่งของตระกูลจางในยุคปัจจุบัน และเหตุผลสำคัญที่ครั้งนี้ เขายอมออกโรงปรากฏตัวออกมา ทั้งหมดก็เพื่อแก้แค้นในแก่น้องสาวที่ตายจากไป จางจูไม่เคยเห็นไป๋หลี่เย่อยู่ในสายตาอยู่แล้ว อย่าได้หวังสั่งการให้ทำตามได้อย่างอิสระใจนึก ต่อให้เป็นองค์จักรพรรดิตงหลี่ก็ตาม ยังต้องไว้หน้าอยู่สามส่วนเช่นกัน

แต่ดูเหมือนว่าในเวลานี้ จางจูดูท่าจะสนใจเสี่ยวฮั่วเป็นพิเศษ

“เจ้าหนู!”

เขากล่าวออกมาคำหนึ่ง พร้อมปั้นหน้ายิ้มแย้มส่งมอบแก่เสี่ยวฮั่ว

“เจ้าเองก็แค่เด็กน้อยคนหนึ่ง กระทั่งพ่อแม่หรือทั้งโคตรบรรพชนของเจ้าก็ล้วนแต่เป็นเด็กน้อยทั้งสิ้น แล้วมีสิทธิ์อันใดมาเรียกว่า เจ้าหนู?”

สรรพนามคำเรียกขานของจางจูได้สร้างความไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งต่อเสี่ยวฮั่ว แต่ถึงแม้จะเอ่ยแหกปากคำรามใส่ออกไปเช่นนั้น ทว่าตัวมันก็ยังแอบอยู่หลังเซียถงตามสัญชาตญาณ

จางจูเห็นดังนั้นก็ยิ่งสนใจขึ้นเรื่อยๆ

“กิเลนสายเลือดบริสุทธิ์ ในรอบพันปีคงจะได้เห็นครั้งหนึ่ง พินิจจากกลิ่นอายคงเป็นเทพอสูร เพียงว่าพลังวิญญาณกลับชำรุดเสียหายหนัก แต่อย่าได้เป็นห่วงไป ข้ามีสัตว์อสูรวิญญาณใต้อาณัติมากมายนับไม่ถ้วน ย่อมยกให้เป็นอาหารฟื้นฟูพลังแก่เจ้าได้ทั้งนั้น จะยอมเดินมาหาข้าเองหรือจะต้องให้ข้าวิ่งไปกอดดี?”

อาศัยทักษะความช่ำชองด้านการฝึกปรือสัตว์อสูร จางจูพยายามเข้าหาเสี่ยวฮั่วหวังทำให้เชื่องทันที และเลือกที่จะเมินเฉยต่อเซียถงผู้เป็นถึงยอดฝีมือขอบเขตราชันย์ม่วงไปโดยปริยาย

เสี่ยวฮั่วกระชับกอดแผ่นหลังเซียถงแน่น กล่าวว่า

“นายท่าน อีกฝ่ายมีตราผนึกจักรพรรดิเทวะโดยกำเนิด ข้าไม่มีอำนาจอันใดไปต่อกรได้เลย จากนั้นคงต้องซ่อนตัวสักพัก”

กล่าวว่า ตราผนึกจักรพรรดิเทวะ เป็นดั่งอาวุธไม้ตายที่ธรรมชาติสรรค์สร้างขึ้นมาแก่มนุษย์ เพื่อใช้ต่อกรกับเทพอสูรชั้นสูงอย่างเสี่ยวฮั่วโดยเฉพาะ! ซ้ำร้าย ตัวเสี่ยวฮั่วตอนนี้ยังอยู่ในสภาวะที่ไม่สมบูรณ์ ยิ่งไร้ซึ่งกำลังต้านทานใดๆ หากปล่อยให้โดนอีกฝ่ายจับตัวไปได้ สถานการณ์ของเซียถงก็จะยิ่งเสียเปรียบหนัก

หลังจากสิ้นเสียงกล่าวจบ เสี่ยวฮั่วก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ก่อนบังเกิดพายุหอบใหญก่อตัวขึ้นฉับพลัน กวาดล้างซัดพาสรรพสิ่งกระจายออก และเมื่อลมพายุหยุดลง เสี่ยวฮั่วก็ได้หายไปจากจุดนั้นไปแล้ว

ทุกคนต่างประหลาดใจยิ่งยวดที่จู่ๆเสี่ยวฮั่วก็หายตัวไปในอากาศ แตกต่างไปจากจางจูที่มีรอยยิ้มแปลกๆแสยะกว้างให้เห็น