บทที่ 426 ลงมือ (2)
ทว่ากู้เจียวสามารถจดจำลักษณะของพวกโจรไว้ได้แล้ว ทุกคนจะถือดาบที่มีตราอยู่ในมือ ราวกับมาจากสำนักใดสำนักหนึ่ง
กู้เจียวถามเซียวลิ่วหลังแล้วว่าเขาไม่เคยไปมีเรื่องกับคนพวกนี้ ดังนั้นความเป็นไปได้อย่างเดียวคือคนพวกนั้นถูกจ้างวานมาอีกที
กู้เจียวตัดสินใจไปหากู้เฉิงเฟิงและถามว่าสัญลักษณ์นี้เป็นของสำนักใด เพื่อที่นางจะได้จับตาดูพวกเขาเพื่อดูว่าใครพยายามฆ่าเซียวลิ่วหลังในอีกไม่กี่เดือน
…
เซียวลิ่วหลังออกมาจากสำนักฮั่นหลินและไปที่ร้านขนมเปี๊ยะบริเวณใกล้ๆ
“ข้าต้องการขนมเปี๊ยะไส้ผักเหมย ขอแบบที่ยังไม่ได้อบนะ” ถ้าเอาแบบที่อบแล้วกลับไป กว่าจะถึงเรือนก็นิ่มหมดแล้ว
“ได้เลย! เหลือหกอันสุดท้ายพอดี เจ้าเอากี่ชิ้น”
“ข้าเหมาหมดเลย”
เถ้าแก่จัดแจงห่อขนมเปี๊ยะใส่กล่องอาหารของเซียวลิ่วหลัง
พอจ่ายเงินเสร็จ เขาก็มุ่งหน้ากลับเรือน
ในตอนนั้นเอง เขารู้สึกได้ว่าใครบางคนกำลังสะกดรอยตามมา เขาหยุดเดินแล้วหันกลับไปมองด้านหลัง
แม้บนถนนจะเต็มไปด้วยผู้คนที่เดินขวักไข่ แต่ความรู้สึกราวกับถูกจ้องมองนั้นมันช่างชัดเจนเกินกว่าจะมองข้าม
เซียวลิ่วหลังเดินเข้าไปในร้านห้องเสื้อ
เวลาผ่านเพียงแค่หนึ่งก้านธูป เขาก็เดินออกมา
เงาตะคุ่มของคนสองสามติดตามเขาอย่างเงียบๆ และเมื่อเขาผ่านตรอกเปลี่ยว พวกเขาก็พุ่งไปข้างหน้าและเหยียดเขาลงกับพื้น!
“ทำอะไรน่ะ!”
เขาตะโกนร้อง!
พวกโจรพยายามสังเกตคนตรงหน้าดีๆ และพากันย่นหน้าผาก
นี่มันไม่ใช่คนที่พวกเขาต้องการตัวนี่นา!
เจ้านั่นใช้วิธีแอบสับเปลี่ยนเสื้อผ้าสินะ!
“เจ้า” หนึ่งในโจรเกิดโมโหจนชักดาบออกมา
ทันใดนั้นก็มีอีกคนห้ามไว้ “อย่าได้หุนหันพลันแล่นเป็นอันขาด!”
ถ้ามีคนตาย ทางการจะต้องบุกเข้ามา ย่อมส่งผลให้ภารกิจของพวกเขาเกิดความไม่ราบรื่น
เซียวลิ่วหลังใช้วิธีให้เงินกับเด็กที่ร้านและขอให้เขาสวมชุดของตนเองแล้วเดินออกไปข้างนอก ขณะที่ตัวเองเปลี่ยนเป็นชุดเสื้อผ้าเครื่องแบบของร้านและออกไปทางประตูหลัง
มาถึงตอนนี้ เซียวลิ่วหลังสามารถเดินได้โดยไม่ได้ต้องใช้ไม้เท้า เพียงแต่อาจเดินเหินไม่สะดวกเท่าตอนมีไม้เท้า แต่ทันใดนั้นเขาก็เกิดหกล้มขณะที่กำลังเดินผ่านร้านเครื่องสำอาง
จังหวะที่ล้ม มือขวาของเขาดันกระแทกเข้ากับบันไดของร้าน เกิดเป็นรอยถลอกและมีเลือดซิบ
เขาไม่มีเวลามาใส่ใจแผลพวกนี้ และยันตัวขึ้นเพื่อเดินต่อไป
“พี่เขยรึ”
เด็กสาวในชุดสีชมพูอายุประมาณสิบห้าปีเดินออกมาจากร้าน แม้อาภรณ์ของนางจะดูธรรมดา แต่กลับดูสดใสน่ารักสมวัย
ดูเหมือนเซียวลิ่วหลังจะไม่ได้ยินเสียงเอ่ยทักของนาง เขายังคงมุ่งหน้าเดินต่อไป
เหยาซินถือกระโปรงแล้วพยายามวิ่งตามเซียวลิ่วหลัง ขณะที่เขากำลังจะเดินออกจากตรอก เหยาซินก็เดินเข้าไปขวางที่ด้านหน้าของเขา “พี่เขย! ใช่ท่านจริงด้วย จำข้าได้หรือไม่ ข้าคือเหยาซินเอง!”
เหยาซินเป็นบุตรสาวของพี่ชายของแม่นางเหยา หากพูดให้ถูกต้อง เหยาซินควรจะเรียกเซียวลิ่วหลังว่าน้าเขยด้วยซ้ำ
เซียวลิ่วหลังขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาไม่ได้ต้องการจะเสวนากับนาง ไม่ว่าเขาจะจำนางได้หรือไม่
เหยาซินดูเหมือนจะไม่สังเกตเห็นว่าเซียวลิ่วหลังพยายามตีตัวห่าง นางเหลือบมองไปที่มือที่เปื้อนเลือดของเขา ก่อนจะพูดด้วยใบหน้าซีดเซียว “พี่เขย! มือท่านเป็นอะไร! ท่านได้รับบาดเจ็บใช่ไหม เจ็บตรงไหนบ้าง”
เซียวลิ่วหลังแทบไม่ได้ชายตามองนางด้วยซ้ำ แล้วมุ่งหน้าเดินต่อ
ด้วยความใจร้อนของเหยาซิน นางจึงพยายามเอื้อมมือคว้าร่างของเขา
เซียวลิ่วหลังพยายามหลบนางจนตัวเองเผลอล้มลงไปอีกรอบ!
เหยาซิน “…”
เหยาซินคุกเข่าลงอย่างรู้สึกผิด “ข้าขอโทษ ข้าขอโทษ! พี่เขย ข้าไม่ได้ตั้งใจ! ข้าไม่เคยคิดที่จะผลักท่าน! ท่านกลัวข้าหรือ! มือของท่าน… ”
ดูเหมือนมือของเซียวลิ่วหลังจะเกิดรอยถลอกและมีเลือดไหลหนักกว่าตอนล้มครั้งแรก
เหยาซินพยายามยื่นมือพยุงร่างของเขา “ข้าพาท่านไปส่งที่โรงหมอจะดีกว่า!”
“ไม่ต้อง” เซียวลิ่วหลังเอ่ย “อย่าแตะต้องตัวข้า”
มือของเหยาซินค้างกลางอากาศ
ปกติคนที่โดนปฏิเสธมักจะทำตัวไม่ถูกและชักมือกลับ แต่ไม่ใช่สำหรับเหยาซิน
นางระงับความอับอายทั้งหมด บีบผ้าเช็ดหน้าในมือ ลดศีรษะลง รวบปอยผมที่ห้อยลงมาจากขมับแล้วไว้ด้านหลังหู ก่อนจะพูดเบา ๆ “ท่านดูเจ็บมาก อย่างน้อยให้ข้าเอาผ้านี้พันแผลให้ท่าน”
นี่คืออาการเขินอายของหญิงสาว
การยั่วยวนหรือการเข้าหาชายหนุ่มของหญิงสาว ชายหนุ่มล้วนดูออกหรือไม่ก็แกล้งทำเป็นไม่เข้าใจ
เซียวลิ่วหลังแทบไม่ได้รู้จักมักคุ้นกับสตรีสาวผู้นี้เลยแม้แต่นิด แต่พอเห็นอย่างนี้ แววตาของเขาเริ่มเต็มไปด้วยความเย็นชา
“เจ้าอยากเป็นนางบำเรอให้ข้าหรืออย่างไร”
เหยาซินไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เพิ่งได้ยินว่าจะหลุดออกมาจากปากคนอย่างเขา
นางถึงกับนิ่งจนพูดไม่ออก
เซียวลิ่วหลังนั่งอยู่บนพื้นดินที่เย็นเฉียบมองนางด้วยความเย้ยหยัน “ข้าพูดอะไรผิดไปหรือ เจ้าไม่ชอบข้าหรือ ไม่อยากปีนขึ้นเตียงของข้าหรือ”
ใบหน้าของเหยาซินแดงก่ำ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขินหรือละอายกันแน่
ตั้งแต่ที่นางได้เจอเขาเป็นครั้ง หัวใจของนางก็รู้สึกราวกับต้องมนตร์สะกด
นางคิดว่าจะลืมความรู้สึกนั้นไปได้เมื่อกลับไป แต่นางกลับยังคงคิดถึงใบหน้าหล่อเหลาที่ไม่มีใครเทียบได้ทั้งวันทั้งคืน
อีกทั้งเขายังเป็นถึงขอหงวน เป็นขุนนางคนโปรดของฝ่าบาทอีกด้วย!
ต่อให้เป็นได้แค่นางบำเรอ…นางก็ยอม!
เพียงแค่… แค่คำพูดของเขามันช่างรุนแรงกินไป ไม่ให้เกียรตินางเลยสักนิด
นี่สินะ ตัวตนที่แท้จริงของเซียวลิ่วหลัง
เขาไม่ใช่สุภาพบุรุษที่ถ่อมตัว ไม่ใช่เพื่อนร่วมชั้นที่ดี เขาไม่ใช่คนดีด้วยซ้ำ แต่เป็นคนเลวที่ไร้ยางอาย มีจิตใจที่มืดมน ไม่มีความสงสาร และไม่มีกิริยาท่าทางที่เป็นสุภาพบุรุษ
ที่ผ่านมาที่เขายอมทำดี ก็เพื่อทำตัวในแบบที่กู้เจียวอยากให้เขาเป็นเท่านั้น
นางชอบให้เขาเรียนหนังสือ เขาจึงยอมไปเรียนหนังสือ
นางอยากให้เขามีเพื่อน เขาก็ไปผูกมิตรกับคนอื่นๆ
นางมีความสุขที่เขาเป็นข้าราชการที่ดี ดังนั้นเขาจึงเป็นคนที่มีความยุติธรรมและซื่อสัตย์ให้นางได้เห็น
เขาไม่รู้หรอกสิ่งใดที่เรียกว่า
การให้เกียรติ
คนอย่างเหยาซินไม่คู่ควรกับความเคารพอะไรทั้งนั้น!
ที่เขาบอกว่าให้นางปีนเตียงของเขา คำพูดนั้น มันทำให้นางรู้สึกอับอายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ดวงตาของเหยาซินเริ่มแดงเล็กน้อย “ข้าน่ะ ชื่นชมท่านจากใจจริง แม้ว่าพี่เขยจะไม่ได้คิดอะไรกับข้า แต่ก็ไม่จำเป็นต้องทำให้ข้าอับอายแบบนี้!”
“จากใจจริงอย่างนั้นรึ” เซียวลิ่วหลังหัวเราะอย่างเย็นชา พลางเอานิ้วชี้ไปทางอีกฝั่งของตรอก “ตรงนั้น มีคนกำลังไล่ฆ่าข้า เจ้าไปเป็นเหยื่อล่อพวกมันสิ พวกมันอาจฆ่าหรือไม่ฆ่าเจ้าก็ได้ ขึ้นอยู่กับดวงของเจ้า เจ้ากล้าไหมล่ะ”
เหยาซินเริ่มหน้าซีด
เซียวลิ่วหลังเอ่ยเยาะเย้ยและยืนขึ้นในขณะที่ใช้มือข้างที่ไม่เปื้อนเลือดประคองกำแพง
“อย่าคิดว่าข้าไม่กล้านะ! แต่จะให้ข้าทำแบบนั้นเพื่ออะไร ทำไปก็ไร้ประโยชน์ นอกจากจะล่อพวกมันไม่ได้แล้ว แย่ไปกว่านั้นท่านอาจตกอยู่ในอันตรายยิ่งกว่าเดิม”
เซียวลิ่วหลังยกมือขว้างตะปูออกไปที่พื้น “ไปเก็บมา”
เหยาซินยอมทำตามที่เขาบอกทั้งๆ ที่ไม่เข้าใจว่าทำไปทำไม
เซียวลิ่วหลังเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก “กลืนลงไป”
“หา!” เหยาซินตกใจจนเผลอปล่อยตะปูนั้นลงบนพื้นและไหลไปกองอยู่บนรอยเลือด
“ไหนว่าจริงใจ” เซียวลิ่วหลังเอ่ยประชด
เหยาซินเอ่ยย้อนอย่างไม่พอใจ “แล้วลูกพี่ลูกน้องของข้ายอมกลืนตะปูเพื่อท่านไหมล่ะ”
“นางไม่ทำหรอก” เซียวลิ่วหลังเอ่ยพลางหันไปทางถนนอันพลุกพล่าน “ข้าให้นางทำแบบนั้นไม่ได้หรอก ให้ข้ากลืนตะปูเพื่อนางเสียยังจะดีกว่า”
บ้าไปแล้ว!
ชายผู้นี้เป็นบ้าไปแล้ว!