ตอนที่ 551 คนโสดไม่มีสิทธิ์พูด
“ไม่เลย อย่างไรเจ้าก็เป็นความภาคภูมิใจของข้าตลอดไป ! เจ้ารู้หรือเปล่า ? ตอนเจ้าบอกว่าจะมาขอหมั้นหมาย ข้าแอบวิ่งไปกระโดดโลดเต้นดีใจเหมือนลิงที่เนินเขาหลังบ้านด้วยล่ะ ! ในใจข้าเห็นเจ้าเป็นคนที่เอื้อมไม่ถึง แม้แต่ตอนนี้ข้าก็ยังรู้สึกเหมือนฝันไปอยู่เลย ไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองสามารถเด็ดดอกฟ้าอย่างเจ้าลงมาได้ ! ”
หลินเว่ยเว่ยเห็นสีหน้าเจียงโม่หานยังดูหดหู่ จึงรีบเผยความในใจออกมา…“ในใจข้า เจ้าเป็นคนเก่งที่สุดของที่สุด ! ”
หลินจื่อเหยียนพูดด้วยความไม่พอใจ “ท่านสองคนช่วยหยุดพูดจาหวานเลี่ยนใส่กันได้หรือเปล่า ? รบกวนนึกถึงความรู้สึกของคนโสดบ้าง ? ”
“คนโสดไม่มีสิทธิ์พูด หุบปากของเจ้าเถิด ! ” หลินเว่ยเว่ยกลอกตาใส่เขา…ในฐานะที่เป็นหลอดไฟยักษ์ เจ้าอย่าส่องแสงสว่างขนาดนี้ได้หรือเปล่า ?
ช่วงเวลาเกือบเที่ยงวัน หมินอ๋องซื่อจื่อที่เต็มไปด้วยเกียรติยศก็กลับจากวังหลวง เหตุการณ์ลอบปลงพระชนม์ในตอนเช้าไม่ได้ส่งผลต่อความดีความชอบของกองทัพติงเป่ย ฮ่องเต้หยวนชิงยังพระราชทานรางวัลและแต่งตั้งตามตำแหน่งที่สมควร ส่วนหมินอ๋องซื่อจื่อกระทั่งนายกองชั้นผู้น้อยบางคนต่างได้รับเกียรติยศที่สมควรได้รับถ้วนหน้า
เมื่อเข้ามาในตำหนักอ๋องแล้ว หมินอ๋องซื่อจื่อก็ตรงไปที่สวนจื่อถงทันที เมื่อเห็นหมินหวางเฟยกำลังถูกนางกำนัลประคองให้เดินไปเดินมาอยู่ในห้อง เขาก็รีบเดินเข้าไปหาแล้วคุกเข่าลงเบื้องหน้าหมู่เฟยทันที “ลูกขอคารวะหมู่เฟย…หมู่เฟยดูมีพระพลานามัยดีขึ้นมาก ช่างเป็นเรื่องวิเศษจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ ! ”
หมินหวางเฟยลูบศีรษะบุตรชายแล้วตรัสด้วยรอยยิ้ม “รีบลุกขึ้นมาให้แม่ดูหน่อย…ไอโหยว ผอมลง ดำขึ้นด้วย ! จะปล่อยให้ดำกว่านี้ไม่ได้แล้ว เพราะถ้าดำกว่านี้จะหาภรรยายาก ! ”
หมินอ๋องซื่อจื่อลุกขึ้นยืนพลางจับพระหัตถ์ของนางแล้วเดินเป็นเพื่อนไปรอบห้อง “ลูกเป็นบุรุษ ดำหน่อยจะเป็นอะไรไปพ่ะย่ะค่ะ ? ฟู่หวางเองก็ไม่ได้ผิวขาว ยังแต่งกับภรรยาที่ดีอย่างหมู่เฟยได้เลย แล้วเหตุใดลูกจะหาไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ ? ”
“สตรีที่โดดเด่นเช่นมารดาของเจ้า ในใต้หล้านี้มีเพียงคนเดียวเท่านั้น ถ้าเจ้าอยากหาคนอย่างแม่ก็รอใช้ชีวิตเป็นโสดได้เลย ? ” สุขภาพของหมินหวางเฟยดีขึ้นแล้ว นางจึงกลับมามีอารมณ์ขันเหมือนวันวาน
ใบหน้าของหมินอ๋องซื่อจื่อเปื้อนด้วยรอยยิ้ม เขากำลังปลื้มใจยิ่งกว่าอะไรดี…ดีจริง ๆ หมู่เฟยยังเป็นเหมือนเมื่อก่อนคือชอบล้อเล่น เขาสงสัยจริง ๆ ว่าช่วงที่ไม่อยู่นี้เกิดเรื่องอะไรดี ๆ ในตำหนักบ้าง จึงทำให้อาการป่วยทางใจของหมู่เฟยที่เป็นมาสิบกว่าปีดีขึ้นเช่นนี้ ?
“หมู่เฟย หมอเทวดาท่านใดรักษาพระองค์ให้ดีขึ้นหรือพ่ะย่ะค่ะ ? ลูกควรจะเอาอั่งเปาไปตอบแทน ! ” เมื่อเดือนก่อน เขาได้รับจดหมายจากตำหนักและในจดหมายยังบอกว่าอาการป่วยของหมู่เฟยเลวร้ายขึ้นกว่าเดิม ในเวลาปกติแทบจำใครไม่ได้สักคน คาดไม่ถึงว่าหนึ่งเดือนสั้น ๆ นี้ หมู่เฟยไม่เพียงหายเลอะเลือนและยังลงจากแท่นบรรทมได้ด้วย ! หมินอ๋องซื่อจื่อรู้สึกขอบคุณท่านหมอคนนั้นจากใจจริง !
หมินหวางเฟยตรัสด้วยรอยยิ้ม “ใช่จริง ๆ อั่งเปานี้ถึงเจ้าจะหลบก็หลบไม่พ้น…”
“หมู่เฟย ตุ๋นกระเพาะปลาใส่ไผ่หยก (เง็กเต็ก) เสร็จแล้วเพคะ ! อาหารนี้ไม่เพียงช่วยบำรุงร่างกาย แต่ยังมีสรรพคุณด้านความงามด้วยเพคะ ! ” หลินเว่ยเว่ยยังไม่ทันมาถึง เสียงก็มาก่อนตัวแล้ว
หมู่เฟย ? ในตำหนักหมินอ๋องแห่งนี้ นอกจากเขาแล้วยังมีคนเรียกนายหญิงแห่งตำหนักว่าหมู่เฟยได้อีกหรือ ? ตอนเขาไม่อยู่ หมู่เฟยไปรับเด็กที่ไหนมาเป็นลูกบุญธรรมหรือเปล่า ?
ม่านประตูถูกนางกำนัลเปิดออก หลินเว่ยเว่ยเดินเข้ามาพร้อมอาหารบำรุง เมื่อเห็นหมินอ๋องซื่อจื่ออยู่ด้วย นางก็พยักหน้าให้เขาพร้อมรอยยิ้ม “ซื่อจื่อกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ ? อีกประเดี๋ยวห้องเครื่องทำอาหารเสร็จแล้วก็เริ่มกินข้าวกันได้ ! ”
“ละ…หลินกู่เหนียง ? ” เหตุใดหลินกู่เหนียงถึงอยู่ในตำหนัก ? คนที่พูดว่า ‘หมู่เฟย’ เมื่อครู่คือนาง ? แล้วก็ตอนฮ่องเต้มาต้อนรับกองทัพติงเป่ย เหตุใดหลินกู่เหนียงถึงอยู่ข้าง ๆ เขาและยังช่วยชีวิตฮ่องเต้กับองค์รัชทายาทได้ทัน ? ในสมองของหมินอ๋องซื่อจื่อเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถามทันที
หมินหวางเฟยเห็นบุตรชายนิ่งอึ้งไป จึงแย้มพระสรวลออกมา “ยังเรียกหลินกู่เหนียงอะไรกัน ? นางเป็นน้องสาวของเจ้า ! น้องสาวแท้ ๆ ที่พลัดพรากไปถึง 15 ปี ! ”
“น้องสาว ? หมู่เฟยไม่ได้บอกว่าที่หายไปคือน้องชายหรือพ่ะย่ะค่ะ ? ” หมินอ๋องซื่อจื่ออึ้งยิ่งกว่าเดิม…เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ? เหตุใดจู่ ๆ น้องชายก็เปลี่ยนเป็นน้องสาว ? แถมยังบังเอิญขนาดนี้ เป็นหลินกู่เหนียงที่เขารู้จักอีกด้วย !
หมินหวางเฟยกลอกดวงเนตรใส่เขา “สถานการณ์ในตอนนั้นอันตรายขนาดไหน ตอนที่แม่คลอดน้องสาวเจ้า แม้แต่สายสะดือยังต้องรีบตัดแล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปดูว่าเป็นหญิงหรือชาย ? ต่อมาแม่ก็ไม่ได้เลอะเลือนไปแล้วหรือ ? แน่นอนต้องจำไม่ได้อยู่แล้วว่าตัวเองคลอดบุตรชายหรือหญิงออกมา บนตัวน้องสาวเจ้ายังมีจี้หยกที่แม่ทิ้งไว้กับนางด้วย ฮ่องเต้ก็ส่งคนไปตรวจสอบแล้ว ยังจะเป็นเรื่องหลอกลวงได้อย่างไร ? เด็กโง่ ยังไม่รีบไปรับชามจากน้องสาวอีก จะให้มันลวกมือน้องเจ้าหรือไร ! ”
หมินอ๋องซื่อจื่อรีบเดินเข้าไปรับชามอาหารมาวางไว้บนโต๊ะในห้อง ขณะมองหลินเว่ยเว่ย เขาก็มีความรู้สึกเหมือนฝันไป “ถ้ารู้ว่าหลินกู่เหนียงเป็นน้องสาวที่พลัดพรากไปหลายปีขนาดนั้น ลูกก็คงไม่ปล่อยให้นางอยู่ที่ภาคเหนือแล้วต้องลำบากเพิ่มอีกปี…”
หมินหวางเฟยเดินไปทางขวา ก่อนเอ่ยถามขึ้นมาว่า “เจ้าเคยเจอน้องสาวตั้งแต่ปีก่อนแล้ว ? ”
หมินอ๋องซื่อจื่อพยักหน้า “ไม่ใช่แค่เจอกัน แต่หมู่เฟย…นางยังช่วยชีวิตลูกไว้ด้วย ! ” จากนั้นเขาก็เล่าเรื่องที่โดนมนุษย์โอสถโจมตีที่อำเภอเป่าชิงจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดให้หมินหวางเฟยฟังอย่างละเอียด หลินเว่ยเว่ยใช้ประโยชน์จากที่ตัวเองมีพละกำลังมหาศาลจับตัวมนุษย์โอสถไว้ เปิดโอกาสให้เขาและในท้ายที่สุดก็จัดการมนุษย์โอสถจนสามารถรักษาชีวิตไว้ได้
หมินหวางเฟยโบกพระหัตถ์เรียกหลินเว่ยเว่ย แล้วดึงมือนางมาจับไว้ “คาดไม่ถึงเลยว่าเจ้าสองพี่น้องจะเจอกันด้วยเหตุการณ์แบบนั้น เว่ยเอ๋อร์ ต้องขอบใจเจ้า ! ไม่อย่างนั้นตำหนักหมินอ๋องแห่งนี้ก็คงไร้ซื่อจื่อ ! ”
หลินเว่ยเว่ยรีบพูด “หมู่เฟยพูดเกินไปแล้ว ! ซื่อจื่อมีวรยุทธสูงส่ง ข้างกายยังมีองรักษ์ยอดฝีมืออีกด้วย แม้ไม่มีลูก การกำจัดมนุษย์โอสถก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น อย่าตรัสอะไรที่ฟังแล้วซาบซึ้งกับลูกเลยเพคะ ลูกรู้สึกไม่สบายเนื้อสบายตัว ! ”
“เจ้านี่นะ ! ” หมินอ๋องทอดพระเนตรหมินอ๋องซื่อจื่อพลางตรัสด้วยรอยยิ้มว่า “นิสัยของนางก็เหมือนฟู่หวางตอนสมัยยังหนุ่ม ! จริงสิ เว่ยเอ๋อร์ ยังเรียกพี่ชายว่าซื่อจื่ออีกหรือ ? ”
หลินเว่ยเว่ยเกาแก้มพลางแสดงท่าทางไม่เป็นตัวเองเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยเรียกออกมาเบา ๆ ว่า “ท่านพี่” ส่วนหมินอ๋องซื่อจื่อขานรับด้วยรอยยิ้ม
หลินเว่ยเว่ยพูดกับหมินหวางเฟยต่อ “หมู่เฟย อาหารที่มีสรรพคุณทางยาต้องกินตอนยังร้อนอยู่เพคะ ลูกลองชิมแล้ว ไผ่หยกมีรสอร่อย ไม่มีกลิ่นยาที่พระองค์ไม่ชอบแม้แต่น้อย ที่จริงอาหารที่มีสรรพคุณทางยาไม่เพียงมีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่ยังมีส่วนช่วยในการกระตุ้นความอยากอาหารด้วย ทำให้รู้สึกมีพลังอย่างไร้สิ้นสุด หมู่เฟย ลองชิมว่าอาหารชามนี้ของลูกทำออกมาได้เป็นอย่างไรบ้างเพคะ ? ”
หมินหวางเฟยเป่าอาหารเบา ๆ หลังลองชิมน้ำแกงแล้ว นางก็พยักดวงพักตร์ด้วยความพอใจ “ฝีมือของเว่ยเอ๋อร์พัฒนาขึ้นอีกแล้ว ! ”
ขณะมองหมู่เฟยตักอาหารคำแล้วคำเล่าเข้าปาก หมินอ๋องซื่อจื่อก็รู้สึกประหลาดใจยิ่งกว่าอะไรดี ต้องทราบว่าในสมัยก่อนสำหรับอาหารที่มีสรรพคุณทางยาแล้วเหมือนแทบเอาชีวิตของหมู่เฟยด้วยซ้ำ ในแต่ละครั้งมักแสดงท่าทางรังเกียจและขมขื่นเสมอ ต้องทะเลาะกับฟู่หวางก่อนถึงจะยกเลิกอาหารมื้อนั้นไปได้ ถ้าไม่มองให้ดีก็จะปัดอาหารร่วงจากโต๊ะทันที คาดไม่ถึงว่าในเวลานี้หมู่เฟยจะกินอาหารที่มีสรรพคุณทางยาจนหมดได้อย่างเชื่อฟัง
หมินหวางเฟยเห็นความสงสัยในแววตาของหมินอ๋องซื่อจื่อ นางจึงอดไม่ได้ที่จะแย้มพระสรวลออกมา “เฉิงเอ๋อร์ เมื่อครู่เจ้าไม่ได้ถามหรือว่าใครรักษาแม่ ? ก็อยู่ตรงนี้ คนที่อยู่ตรงเบื้องหน้าคือหมอเทวดาที่เจ้าถามถึง เจ้าไม่ได้บอกว่าจะให้อั่งเปากับนางหรือ ? ”