Jun Jiu Ling หวนชะตารัก – ภาค 3 บทที่ 169 ลำบากยิ่งกว่าที่จินตนาการไว้
มีบางเรื่องเกิดขึ้นแล้วไม่อาจชดใช้ได้
นับประสาอะไรเมื่ออาจารย์ไม่อยู่แล้ว นางทำอย่างไรก็ไม่อาจแทนที่อาจารย์ได้
คุณหนูจวินถอนหายใจเบาๆ
“คุณหนู ท่านอย่าถอนหายใจเลย ถอนหายใจทำให้คนแก่ลงนะเจ้าคะ” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ย “ตลอดทางที่เดินมาท่านถอนหายใจไปตั้งหลายครั้งแล้ว”
คุณหนูจวินยิ้มพลางพยักหน้า เวลานี้พวกนางเดินมาถึงในหมู่บ้านแล้ว บ้านแต่ละหลังๆ ล้วนมีควันทำอาหารลอยขึ้นมา เด็กเลี้ยงวัวทั้งหลายไล่วัวไปพลาง ร้องคำกลอนของเด็กไปพลาง หยอกล้อเล่นกันกลับมา
บุรุษทั้งหลายที่ใช้แรงงานมาทั้งวันนั่งอยู่ใต้ต้นไม้คุยเล่นรอทานอาหาร
เด็กๆ มองเห็นคุณหนูจวินเดินมารีบหดหัวหลบหลังวัว พวกผู้ชายก็เก้ๆ กังๆ แสร้งทำนิ่งสงบ
คุณหนูจวินอมยิ้มเอ่ยทักทายพวกเขา ไม่รอคำตอบก็เดินเข้าไป ไม่หันหลังก็รู้สึกได้ว่าผู้คนด้านหลังร่างผ่อนลมหายใจ สายตาที่จับอยู่บนแผ่นหลังของนางเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้
พวกเขาสงสัยว่านางเป็นคนอย่างไร ตนเองใยไม่ใช่ก็สงสัยว่าพวกเขาเป็นคนอย่างไร
นางแบกรับปัจจุบันของอาจารย์ ส่วนพวกเขาเป็นอดีตของอาจารย์
ค่อยเป็นค่อยไปเถอะ คงคุ้นเคยได้สักวัน
“คุณหนูกลับมาแล้ว ทานข้าวได้แล้ว” หลิ่วเอ๋อร์วิ่งเข้ามาในเรือนตะโกนเรียกอย่างดีอกดีใจ
ภรรยาของเซี่ยหย่งอมยิ้มเช็ดมือกับเสื้อกันเปื้อน
“คุณหนูจวิน” นางเอ่ยขึ้น “อาหารเสร็จแล้ว”
ในฐานะสาวใช้อันดับหนึ่งของคุณหนู หลิ่วเอ๋อร์ก็นับว่าเป็นผู้ที่แบมือรอเสื้ออ้าปากรอข้าวเหมือนกัน ทำอาหารไม่เป็น
ระหว่างเดินทางล้วนเป็นเหลยจงเหลียนนำบรรดาผู้คุ้มกันทำอาหาร
มาถึงที่นี่ย่อมเป็นเช่นเดียวกัน ภรรยาของเซี่ยหย่งเห็นเข้าย่อมไม่ยอม
“ผู้ชายทำอาหารอร่อยอะไรได้” นางบอกแล้วทุกวันสองมื้ออาหารล้วนเข้ามา
คุณหนูจวินบอกไม่ต้องซ้ำแล้วซ้ำอีก นางก็เพียงยืนยันไม่ฟัง คุณหนูจวินไม่ใช่คนจู้จี้จุกจิกเช่นนั้นจึงปล่อยนางทำตามใจ
น้าเซี่ยขอตัวออกไปแล้ว พวกเหลยจงเหลียนที่อยู่ในลานก็วางโต๊ะเก้าอี้พร้อมแล้วเหมือนยามพวกเขาเดินทางอยู่ข้างนอกเช่นนั้น จากนั้นก็มีผู้คุ้มกันสองคนยกอาหารที่ทำเสร็จแล้วในครัวออกมา
แป้งทอดร้อนๆ แกนผักกาดขาวดองหั่นเป็นเส้น เนื้อกระต่ายป่าพะโล้ที่หั่นเสร็จแล้วชามใหญ่ ไก่ป่าตุ๋นเห็ดที่เก็บได้จากบนเขา ข้าวต้มใส่ใบผักที่ร้อนเดือด
อาหารการกินล้วนเป็นสิ่งที่ได้จากภูมิประเทศบนเขา เรียบง่ายโอชา
“กินแต่เจ้านี่ตลอดก็ไม่อร่อยแล้ว” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ยพึมพำแล้วส่งแป้งทอดสอดใส้เนื้อกระต่ายให้คุณหนูจวิน “แป้งที่นี่ไม่หอม ไม่รู้ผสมอะไร”
คุณหนูจวินรับไปกัดคำโตคำหนึ่ง เนื้อหอมมาก ส่วนแป้งกินเข้าไปหยาบอยู่จริงๆ น่าจะผสมรำข้าว
ชีวิตที่นี่ไม่มั่งคั่ง
“อร่อยดีนี่” คุณหนูจวินเอ่ย
“อร่อยอีกเท่าใดก็ทนกินทุกวันไม่ไหวไหมเจ้าคะ” หลิ่วเอ๋อร์พึมพำ เห็นคุณหนูจวินมองนางทีหนึ่งก็รีบแลบลิ้นนั่งลง กำลังจะทานข้าวก็มองเห็นบนตอไม้ด้านข้างวางกำไลเงินวงหนึ่งอยู่
นั่นเป็นของที่ภรรยาของเซี่ยหย่งทำตกไว้ตอนทำอาหาร
“นางลืมไว้ ข้าจะไปคืนให้นาง” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ยแล้ววางตะเกียบกับชามข้าว “ข้าเห็นนางถนอมกำไลวงนี้นัก”
ใช่แล้ว ไม่เช่นนั้นตอนทำงานคงไม่จงใจถอดออกมา
คุณหนูจวินพยักหน้า
“รีบไปเถอะ” นางเอ่ย
หลิ่วเอ๋อร์คว้ากำไลวิ่งตื๋อออกไป
แม้ไปส่งกำไลให้ภรรยาของเซี่ยหย่งคนนี้เป็นการลดตัวยิ่ง แต่ตอนนี้คุณหนูอยากทำดีกับพวกนาง ถ้าอย่างนั้นนางก็ได้แต่ทำดีกับพวกนางสักหน่อย
สองสามีภรรยาสกุลเซี่ยก็อาศัยอยู่ข้างๆ แต่เวลานี้ในเรือนกลับไม่มีร่องรอยคน
“น้าเซี่ย?” หลิ่วเอ๋อร์ร้องเรียก
ในบ้านก็ไม่มีเสียงเหมือนไม่มีคน
“เวลาทานอาหารนี่ไปที่ไหนกัน?” หลิ่วเอ๋อร์พึมพำไม่เข้าใจ หรือไปคุยเล่นที่บ้านเพื่อน?
ถ้าอย่างนั้นเป็นคนดีก็เป็นให้ถึงที่สุด
หลิ่วเอ๋อร์เดินไปบ้านของคนอื่นอีก แต่ที่แปลกก็คือบ้านหลังนี้ก็ยังคงไม่มีคน
หลังหนึ่งแล้วอีกหลังหนึ่ง ติดต่อกันสองหลังสามหลังล้วนไม่มีคน
ไม่มีทาง เมื่อครู่ตอนกลับมาแต่ละบ้านๆ ล้วนจุดไฟทำอาหาร เวลานี้น่าจะล้วนทานอาหารอยู่ที่บ้านสิ
แปลก!
หลิ่วเอ๋อร์คิดได้ทันที นางกำมือแน่น มองไปตามบ้านในหมู่บ้านทีละหลังๆ อย่างระมัดระวัง ได้ยินเสียงเอะอะดังออกมาจากด้านในเรือนหลังหนึ่งอย่างรวดเร็ว
“เอ้อร์หนิว นี่เป็นอาหารบ้านของเจ้า”
“ต้าหลิว บ้านเจ้า สามคนนะ”
เสียงของเซี่ยหย่งดังมาจากด้านใน
“…ของข้า ของข้า…”
“ไม่ต้องแย่ง มีทุกคน”
สอดแทรกด้วยเสียงตะโกนรีบร้อนของเด็ก
หลิ่วเอ๋อร์ที่นั่งยองอยู่มุมกำแพงพลันเข้าใจทันที
ที่แท้ พวกเขาถึงกับ ซ่อนตัว กินของอร่อย!
เกินไปแล้ว!
หลิ่วเอ่อร์โกรธเกรี้ยวลุกขึ้น กระแอมไอหนักๆ ทีหนึ่งพุ่งเข้าไป
คนในเรือนถูกเสียงกะทันหันนี้ทำตกใจสะดุ้งโหยง หันหน้ามาเห็นหลิ่วเอ๋อร์ ฉับพลันร้องประสานเสียงทันที หลบไปข้างหลังอย่างหวาดกลัว ยังมีคนเอาชามข้าวในมือซ่อนไว้หลังร่างอีก
“แม่นางหลิ่วเอ๋อร์” ภรรยาของเซี่ยหย่งสีหน้ากระอักกระอ่วนทั้งยังลนลานก้าวเข้ามา “ท่านมาได้อย่างไร?”
หลิ่วเอ๋อร์มองคนในเรือน
“ข้าน่ะ มาดูซิว่าพวกเจ้ากินของอร่อยอะไรกัน” นางเอ่ย ยกเท้าก็เดินเข้าไปข้างกายผู้หญิงคนหนึ่ง
ภรรยาของเซี่ยหย่งคิดไม่ถึงว่านางจะเปิดปากตรงเข้าประเด็นเช่นนี้ ไม่ทันได้ขวางสักนิดหลิ่วเอ๋อร์ก็มาถึงข้างกายผู้หญิงคนนั้นแล้ว
ผู้หญิงคนนั้นตกใจหลบแต่ถูกหลิ่วเอ๋อร์มือเดียวคว้าชามไว้ได้ เสียงเคร้งดังทีหนึ่ง ชามร่วงลงพื้น
ไม่มีอาหารโอชาอะไร เป็นเพียงแป้งสีดำปิดปี๋เหมือนก้อนหินก้อนหนึ่งเท่านั้น
หลิ่วเอ๋อร์อึ้งไปนิดหนึ่งจากนั้นมองไปที่คนข้างกายนาง ไม่มียกเว้นล้วนเป็นของเช่นนี้
นี่เป็นของอร่อยอะไรกัน?
……………………………………….
“นี่คือแป้งรำข้าวทอด”
คุณหนูจวินยื่นมือหยิบชิ้นหนึ่งขึ้นมาส่งมาถึงริมฝีปาก
“คุณหนูจวิน” ภรรยาของเซี่ยหย่งรีบห้าม สีหน้าอึดอัดไม่สบายใจ “ท่านทานไม่ได้…”
สิ้นเสียงนาง คุณหนูจวินก็กัดลงไปคำหนึ่งแล้ว ออกแรงงับ ออกแรงกลืนลงไป
“พวกเราก็ไม่ได้กินแต่ของพวกนี้ตลอด” เซี่ยหย่งสีหน้าไม่สบายใจเอ่ยขึ้น
คุณหนูจวินไม่ได้มองเขา เพียงกวาดสายตาผ่านบุรุษสตรีผู้เฒ่าเด็กน้อยตรงหน้า รวมถึงชามในมือพวกเขา
ไม่มีผัก ไม่มีเนื้อ กระทั่งข้าวสารก็ไม่มี
อาหารที่นางกิน ที่ถูกหลิ่วเอ๋อร์รังเกียจว่าไม่อร่อยเหล่านั้น ใช้กำลังของทั้งหมู่บ้านมอบให้แล้ว
ไม่แปลกที่ภรรยาของเซี่ยหย่งจะเป็นฝ่ายขันอาสาทำอาหารให้พวกนาง ก็เพราะนางทำอาหาร พวกนางถึงไม่ได้สังเกตเรื่องอาหารมีเท่าไรมาจากไหน
ส่วนควันไฟประกอบอาหารของบ้านแต่ละหลังๆ ในหมู่บ้านก็เพียงทำให้พวกนางดูเท่านั้น ที่จริงท้ายที่สุดพวกเขาล้วนมาที่นี่รับแป้งทอดก้อนหนึ่งประทังความหิว
นางรู้ว่าชีวิตที่นี่ของพวกเขาไม่มั่งคั่ง แต่คิดไม่ถึงว่าจะไม่มั่งคั่งถึงขั้นนี้
คุณหนูจวินสักประโยคก็ไม่เอ่ย จับแป้งทอดออกแรงกัดเข้าไปอีกครั้ง
“คุณหนูจวิน” ภรรยาของเซี่ยหย่งก้าวเข้ามาดึงมือนางไว้ สีหน้ารู้สึกผิดอยู่บ้างและนิ่งสงบอยู่บ้าง “ข้ารู้ว่าในใจท่านไม่สบายใจ ที่จริงนี่ไม่มีอะไร ที่นาที่นี่ของพวกเราใช้ไม่ได้ ของป่าก็แค่พวกนั้น แต่บ้านไหนต้อนรับแขกย่อมต้องเอาของที่ดีที่สุดออกมา นี่ไม่ใช่ตบหน้าบวมแสร้งทำอ้วน นี่เป็นน้ำใจของพวกเรา”
คุณหนูจวินพยักหน้า งับแป้งทอดคำหนึ่งออกแรงกลืนลงไป
“ใช่ ข้าทราบ” นางเอ่ย ยิ้มพลางออกแรงพยักหน้า “ข้าทราบ ข้าดีใจยิ่งนัก”
ภรรยาของเซี่ยหย่งร้องอั้ยคำหนึ่ง
“ท่านอย่ากินเจ้านี่เลย” นางยิ้มเอ่ย “พอแล้ว พอแล้ว หลังจากนี้พวกเราไม่ทำเช่นนี้แล้ว ทุกคนกินรำกลืนผักด้วยกันแล้วกัน”
ได้ยังไง!
นางจะให้พวกเขากินรำกลืนผักได้อย่างไร
คุณหนูจวินหมุนตัว
“หลิ่วเอ๋อร์ หลิ่วเอ๋อร์” นางเรียก
หลิ่วเอ๋อร์ลุกขึ้นยืน
“พาคนเข้าเมืองไป” คุณหนูจวินมองนางเอ่ยขึ้น “ขาดอะไรซื้ออันนั้น อยากได้อะไรก็เอาอันนั้นมา”
หลิ่วเอ๋อร์ขานตอบรับแล้วหมุนตัวก้าวยาว