บทที่ 589 หัวใจที่ไม่ตาย

ข่าวที่ว่าสกุลจางได้ไปสู่ขอตันเหนียงที่จวนสกุลเซี่ยได้ล่วงรู้ไปถึงหูของไป๋มูหยางในที่สุด

“นายท่านสาม ริเป็นคางคกอยากกินเนื้อหงส์ ยังมีหน้ามาขอแต่งงานอีกด้วย แม่นางตันปฏิเสธเขาไปหลายครั้งแล้ว ยังจะหน้าด้านอีก!”

“นายท่านไป๋ ท่านอย่าได้กังวลไป ข้าคิดว่าครั้งนี้แม่นางตันย่อมปฏิเสธการสู่ขอไปอย่างแน่นอน” เถ้าแก่ร้านจื่ออวิ๋นบ่นพลางชำเลืองมองไป๋มู่หยางพลางอย่างกังวลใจ

แม้จะกล่าวว่านายท่านสามผู้นี้ไม่ได้ดิบดีอะไร แต่ถ้าหากมีแม่สื่อมาสู่ขอในวันพรุ่งนี้แล้ว นายท่านเซี่ยยอมตกลงล่ะ?

เหตุใดนายท่านไป๋ของเขาไม่คิดจะทำอะไรเลย? มือที่วางอยู่บนหัวเข่าของไป๋มู่หยางขยับเล็กน้อย สีหน้าเขายังเรียบเฉย

“นายท่านสามสกุลจาง?” เขาจำคนผู้นั้นได้ เพราะวันส่งท้ายปีเก่า เขาเดินชนกับนายท่านสามที่หอจื่ออวิ๋น นายท่านสามผู้นั้นดูหน้าตาดี แต่ไม่รู้ว่านิสัยใจคอเป็นอย่างไร

เขารู้จักนายผู้เฒ่าจางมากกว่า คนผู้นั้นเป็นจิ้งจอกเฒ่า สนใจแต่กำไร ทำทุกอย่างเพื่อเงินเท่านั้น ที่เรียกว่าคานบนไม่ตรง คานล่างย่อมเอียง นายท่านจางเป็นเช่นนั้น แล้วบุตรชายเขาจะไปดีกว่าได้อย่างไร

ไป๋มู่หยางเรียกองครักษ์ลับของเขามาสั่งให้ไปสืบดูนายท่านสามจางผู้นี้

หลังจากนั้นเขาก็ทำตัวเป็นปกติ ไม่ได้อารมณ์เปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด ทั้งที่ความจริงแล้ว เขามีความรู้สึกที่หลากหลายปรวนแปร ในระหว่างรอผลการตรวจสอบ หากเขาได้รู้ว่านายท่านสามจางมีพฤติกรรมที่ไม่ดี ไม่มีคุณธรรม หากตันเหนียงแต่งเข้าไปในจวนสกุลจาง นางจะเข้ากับสามีไม่ได้ ชีวิตของนางจะลำบาก

ในที่สุดองครักษ์ลับของไป๋มู่หยางก็มาแจ้งผล

สีหน้าเขาเปลี่ยนไปทันที ความโกรธพุ่งขึ้นมา แม้ว่านายท่านสามจางจะไม่มีภรรยาหรืออนุฯอยู่เป็นตัวตนในเรือน แต่เขามั่วสุมกับสาวใช้ในบ้าน จนบางคนถึงกับให้กำเนิดลูกกับเขา คนเช่นนี้จะคู่ควรกับตันเหนียงได้อย่างไร? ไป๋มู่หยางไปที่หอจื่ออวิ๋นเพื่อตามหานาง เมื่อเขาเจอกับตันเหนียงเขากลับมีทีท่าอ่อนโยนเช่นเดิม

ตันเหนียงชงน้ำชามาให้เขา เขานั่งจิบชาอยู่ในห้องกับนาง ไป๋มู่หยางเป็นคนเก็บตัว เขาจะไม่แสดงอารมณ์ออกมา ยากที่ใครจะคาดเดาอารมณ์เขาได้ ตันเหนียงและไป๋มู่หยางรู้จักกันมานานมากแล้ว แม้ว่าพวกเขาจะไม่เข้าใจความคิดของกันและกันดี แต่รับรู้ได้ว่าไป๋มู่หยางต้องการจะคุยกับนาง

“ข้าได้ยินมาว่าสกุลจางไปสู่ขอเจ้าที่จวนสกุลเซี่ยหรือ?” ไป๋มู่หยางถาม

ตันเหนียงดวงตาเป็นประกายแวววาวเห็นชัดออกมาจากผ้าคลุมหน้า

“ใช่! เมื่อวานนี้เอง”

ไป๋มู่หยางจิบชาเอ่ยออกมาว่า “นายท่านสามสกุลจางผู้นั้นไม่คู่ควร”

ดวงตาของนางยังทอแสงเจิดจ้า “เหตุใดท่านถึงได้พูดเช่นนั้นเล่า คุณชายสามหน้าตาหล่อเหลา ท่วงท่าดี นิสัยอ่อนน้อมถ่อมตน”

ตันเหนียงพูดจาไร้สาระ ที่จริงนางจำชายผู้นั้นไม่ได้ด้วยซ้ำ รู้แต่ว่าเขาชอบมาหานางบ่อยๆ ทำให้นางรำคาญใจไม่น้อย

ไป๋มู่หยางจิบชาอีกครั้ง รู้สึกถึงความหดหู่ เขาคิดถึงความเป็นไปได้ในหลายๆ ทางที่นายท่านสามสกุลจางจะไม่อาจแต่งงานกับตันเหนียงได้ แต่ที่เขาคิดไม่ถึงคือตันเหนียงอาจจะคิดชอบคนผู้นั้นอยู่แต่เดิม

“นายท่านสามผู้นั้นคิดแต่เรื่องผลประโยชน์ เขาไม่ใช่คนนิสัยดีนักหรอก”

“เขานิสัยไม่ดีหรือ? เหตุใดคนภายนอกจึงได้ชื่นชม”

“อยู่นอกเรือนเขาเสแสร้ง ยามกลับถึงเรือนเขามั่วสุมกับสาวใช้ จนนางตั้งท้อง”

ตันเหนียงไม่ได้สนใจนายท่านสามจาง นางสนใจท่าทีของไป๋มู่หยางมากกว่า ดวงตาของนางสว่างไสวมากขึ้นเรื่อยๆ

ไป๋มู่หยางสนใจเรื่องของนายท่านสามจางมาก เขาถึงกับตรวจสอบเรื่องนี้ในเชิงลึก เป็นอย่างที่นางคาดเอาไว้ พี่ใหญ่ไป๋เป็นห่วงนาง สายตาที่นางทอดมองไป๋มู่หยางจึงเป็นประกาย

“พี่ไป๋ ที่จริงข้าให้ท่านป้าปฏิเสธคำขอแต่งงานของสกุลจางไปแล้ว” ตันเหนียงพูดกับเขา ท่านป้าของนางได้สอบถามนางพร้อมกับพูดว่านายท่านสามจางผู้นี้ท่าทีไม่เลวนัก แต่ถ้าหากนางชอบใจเขา ท่านป้าจะให้คนสืบถามให้ว่านิสัยที่แท้จริงเขาเป็นอย่างไร? ตันเหนียงขอร้องว่าไม่ต้องให้คนไปสอบถาม ให้ปฏิเสธเขาไปตรงๆ เลยจะดีกว่า เพราะนางไม่ชอบนายท่านสามจางผู้นี้เลย เมื่อวานนางจึงได้ปฏิเสธเขาไปอย่างสิ้นเชิง

เมื่อได้ยินเช่นนี้ไป๋มูหยางถอนหายใจ ความอึดอัดหงุดหงิดของเขาหายไปในทันที

“พี่ไป๋ เมื่อครู่ป้าพูดกับข้าว่ามีคนมาสู่ขอข้าหลายตระกูล” ไป๋มูหยางขมวดคิ้วขึ้นมาทันทีอย่างยากจะระงับได้ทัน

“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นอย่างไรกันบ้าง? หรือพี่ไป๋จะช่วยข้าดู” ไป๋มู่หยางวางจอกน้ำชาลงอย่างนุ่มนวล “เจ้าว่ามาสิ”

“บุตรชายคนโตของหมู่บ้านผ้าสกุลหลี่”

“เป็นคนหยาบคาย ไม่ดี”

“บุตรชายคนรองของร้านขายข้าวสกุลเฉา”

“รูปร่างหน้าตาพอใช้ได้ แต่กิริยาไม่ดี”

“เสมียนของร้านแลกเงินเฉียน”

“หน้าตาดี มารยาทนุ่มนวลแต่อายุมากไปหน่อย”

ตันเหนียงพูดไปหลายชื่อ ไป๋มู่หยางมีข้อโต้แย้งตลอด หลังจากที่เขาพูดจบ ก็รู้สึกตนเองได้ว่า เขาจู้จี้ใส่ใจกับนางมากเกินไปหรือเปล่า อาจจะทำให้ตันเหนียงไม่มีความสุข แต่เมื่อเขามองไปก็เห็นตันเหนียงส่งยิ้มให้กับเขา

“พี่ไป๋คิดว่าใครเหมาะสมกับข้าที่สุด” เมื่อไป๋มู่หยางเห็นสายตาที่เร่าร้อนของนาง หัวใจเขาเต้นระรัวหลังจากสบตากันสักครู่ เขาก็เป็นฝ่ายหลบสายตานางก่อน

“ข้าจะช่วยเจ้าหาคนที่เหมาะสม” ตันเหนียงไม่คอยพอใจในคำตอบของเขา แต่นางก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา

เมื่อไป๋มู่หยางจากไป รอยยิ้มในดวงตาของนางจางหาย มีบางอย่างตกเป็นตะกอนอยู่ในหัวใจ ตันเหนียงขมวดคิ้วด้วยความกังวล

วันถัดมา

ถังหลี่มาที่หอจื่ออวิ๋นเพื่อหาตันเหนียง นางจึงอยากปรึกษากับถังหลี่

“ถังหลี่ข้ามีเพื่อนแล้ว” ตันเหนียงพูดขึ้นมา

“อ้อ..เจ้ามีเพื่อนแล้วหรือ?..” ถังหลี่เชิดคางขึ้นมองนางอย่างมีนัย ตันเหนียงรู้สึกเขินอาย เมื่อเห็นสายตาของถังหลี่ประหนึ่งมองทะลุเข้าไปในหัวใจของนาง

“ข้ามีเพื่อนคนหนึ่ง นางมีคนที่ชอบมากๆ แต่นางรู้สึกว่าตนเองไม่ดีพอสำหรับเขา นางจึงอยากเก็บความรู้สึกของตนเอาไว้ นางแอบชอบเขามาหลายปีแล้ว ต่อมานางมีความรู้สึกว่าเขาเองก็พอจะชอบนางอยู่บ้างเช่นกัน นางจึงได้พยายามรวบรวมความกล้าและพูดเป็นนัยกับเขา แต่เขากลับไม่มีทีท่าตอบสนองต่อนางเลย ต่อมาเมื่อนางคิดว่าเขาอาจไม่ชอบตนเอง ก็ได้มีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น” ตันเหนียงนำเรื่องที่สกุลจางมาขอแต่งงานกับนางและท่าทางของไป๋มู่หยางมาเล่าเพื่อให้ถังหลี่ช่วยวิเคราะห์ หลังจากที่นางพูดจบ นางถามขึ้นว่า

“ถังหลี่เจ้าคิดว่า อีกฝ่ายนั้นชอบเพื่อนข้าหรือไม่?”

ตันเหนียงสับสนจริงๆ นางรู้สึกว่าไป๋มู่หยางเองก็ชอบนางเช่นกัน แต่เขากลับไม่เอ่ยปาก

ถังหลี่เข้าใจว่าเพื่อนของตันเหนียงคือตัวนาง และอีกฝ่ายที่นางพูดถึงคือไป๋มู่หยางพี่ชายของนางนั่นเอง แต่จากคำพูดของตันเหนียงแล้ว หากพี่ชายของนางชอบตันเหนียงจริงๆ เหตุใดเขาจึงไม่เอ่ยปากกับนางไป เขาจะทนฝืนความรู้สึกของตนเองไปเพื่อเหตุใดกัน?

“ข้าคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะชอบเพื่อนของเจ้าเช่นกัน” ถังหลี่เอ่ยขึ้น ตันเหนียงมีความสุขขึ้นมา ไม่นานก็ขมวดคิ้วอีกครั้ง

“แล้วเพราะเหตุใด….”

ไป๋มู่หยางไม่ใช่พี่ชายของนาง นางจึงไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ในใจ ถังหลี่จึงได้แต่พูดขึ้นว่า

“บางทีเขาอาจจะมีเรื่องกังวลใจอยู่ก็เป็นได้” ตันเหนียงคิด พี่ใหญ่ไป๋กังวลใจเรื่องอะไรอยู่ นางกลัวว่าอีกไม่กี่วัน เขาจะออกจากเมืองหลวงไปแล้ว นางจะไม่ได้พบกับเขาอีก ครั้งนี้ไม่รู้ว่าเขาจะเดินทางอีกนานสักเพียงไหน

“ถังหลี่เจ้าคิดว่า..เพื่อนคนนี้ของข้าควรจะทำอย่างไรดี?”

“ข้าคิดว่าพวกเขาควรจะเปิดเผยและพูดจากันอย่างตรงไปตรงมา” ถังหลี่กล่าว “การทำให้ปัญหามาอยู่ในที่สว่างจะช่วยให้แก้ไขได้ แต่ถ้าแก้ไม่ได้นั่นก็มิอาจใช่พรหมลิขิต อย่าได้เสียเวลาผัดวันประกันพรุ่ง” หลังจากตันเหนียงได้พูดคุยกับถังหลี่ นางจึงได้รู้แจ้งตามที่ถังหลี่ได้แนะนำ

เหตุใดนางถึงต้องลองใจเขาด้วย นางสมควรถามเขาไปตามตรงจะดีกว่า…

นางไม่อยากยอมแพ้ นางอยากลองสู้ดูสักครั้ง หากไม่ได้เป็นใจดั่งหวังนางจะปล่อยมือไป

ตันเหนียงคิดจะหาข้อแก้ตัวอย่างไรดีเพื่อจะไปหาพี่ไป๋ นางได้รับข้อความจากนางตู้ว่า ต้องการทำเสื้อผ้าในฤดูใบไม้ผลิ และให้นางไปวัดตัวที่บ้าน นางตู้เป็นคนรู้จักเก่าแก่ของตันเหนียง นางสุขภาพไม่ค่อยดีจึงไม่อยากเดินทางไปไหน ตันเหนียงจึงต้องไปวัดตัวนางที่บ้าน

ตันเหนียงจึงไปหาที่จวนตระกูลตู้ นางลงจากรถม้าเข้าไปยังด้านใน เมื่อเดินเข้าไปยังประตูลานชั้นที่สอง นางรู้สึกถึงสายตาใครบางคนที่จับจ้องมองนางอยู่ ตันเหนียงมองหาสายตาคู่นั้น นางเห็นร่างๆ หนึ่งยืนอยู่หน้าประตูโค้งรูปพัด หญิงสาวรู้สึกคุ้นเคยรางๆ ชายคนนั้นหันหลังกลับเข้าไปยังด้านใน

ตันเหนียงถูกพาเข้าไปยังเรือนของนางตู้ นางวัดตัวให้ นางตู้เป็นหญิงชราท่าทางใจดี เมื่อตันเหนียงยังเป็นเด็กกำพร้าอาศัยอยู่ข้างถนน นางตู้ได้ให้เงินแก่นางเพื่อซื้ออาหาร ตันเหนียงยังระลึกถึงความเมตตาของนางไม่มีวันลืม นางตู้ดึงตันเหนียงมาพูดคุย

“อาตัน เจ้าได้พบเจอคนที่เจ้าชอบบ้างหรือยัง?”

“หากหลานของข้าเป็นเด็กดีข้าจะให้เขาสู่ขอเจ้า แต่น่าเสียดาย พวกเขาล้วนไว้ใจไม่ได้เหลวไหล”

“ข้าทำน้ำแกงไก่เอาไว้ให้เจ้า ก่อนกลับเจ้าดื่มเสียก่อนเถิดแล้วค่อยกลับ”

ในเวลาเดียวกัน สาวใช้คนหนึ่งเดินถือชามใส่น้ำแกงกำลังเดินไปตามทาง ทันใดนั้น มีคนผู้หนึ่งเข้ามาขวางทางเอาไว้ สาวรับใช้เงยหน้าขึ้นดู ดวงตาของนางเป็นประกาย

“นายน้อยลูกพี่ลูกน้อง!” นายน้อยผู้นี้คือจางไฉ่ บุตรชายคนที่สามของสกุลจางนั่นเอง สกุลตู้ และสกุลจางมีความเกี่ยวดองกันทางการแต่งงาน จางไฉ่บังเอิญได้มาเป็นแขกที่จวนสกุลตู้ในวันนี้เข้าพอดี เขาได้เห็นตันเหนียงโดยบังเอิญอีกครั้ง แม้คำขอแต่งงานจะถูกปฏิเสธไป แต่เขายังไม่ยอมรับ เขาเฝ้าแต่ครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรดีให้นางยอมตกลงแต่งงานกับเขา วันนี้เขาได้เห็นร่างอ้อนแอ้นของตันเหนียง ความคิดบางอย่างจึงผุดขึ้นมาในใจ

“น้ำแกงนี่เป็นของท่านยายหรือ?” จ่างไฉ่ถาม

“เจ้าค่ะ” สาวรับใช้มองเขาพร้อมกับขยิบตา จางไฉ่มัวแต่มุ่งความสนใจไปที่ตันเหนียงเขาจึงไม่สนใจสายตาให้ท่าของสาวใช้

“แม่นางตันจากหอจื่ออวิ๋นยังอยู่หรือไม่?” จางไฉ่ถามต่อ

นางพยักหน้า จางไฉ่จึงหยิบชามเปล่าขึ้นมาเช็ดรอบๆ จากนั้นจึงได้ใส่บางอย่างลงไป

“เจ้าใช้ชามนี้ตักน้ำแกงให้แม่นางตันในภายหลัง…”

จางไฉ่พูดเสียงเบา “ข้าคงทำไม่ได้หากไม่มีเจ้า” เขาพูดจบก็ตบก้นสาวใช้

“เจ้าจำไว้ให้ดีล่ะ” สาวใช้มองเข้าอย่างเอือมระอา จากนั้นจึงได้เดินไปหาผู้เฒ่าตู้ นางตู้เป็นหญิงชราใจดี ตันเหนียงจึงไม่ได้ปฏิเสธความหวังดีของนาง หญิงสาวดื่มน้ำแกงก่อนจากไป

ตันเหนียงเดินไปที่ประตูบ้าน จู่ๆ ก็รู้สึกเวียนหัวขึ้นมา เนื้อตัวร้อนรุมๆ ตันเหนียงยืนพิงเสาแทบไม่อยู่ ในตอนนั้นเองสาวใช้ผู้หนึ่งเดินเข้ามาหา จับแขนของตันเหนียงเอาไว้

“แม่นางตัน ท่านไม่สบายหรือ?”

ตันเหนียงไม่สบายมาก นางวิงเวียนจนเดินแทบไม่อยู่นางจึงได้พยักหน้าให้