ตอนที่ 169-2 ชีวิตพ่อบ้าน เปิดโปง

ยิ่นอ๋องที่ถูกสกัดจุดจนไม่อาจใช้กำลังภายในได้ ไม่ต่างอะไรกับบัณฑิตอ่อนปวกเปียกคนหนึ่ง เขาคิดจะสลัดพวกเด็กยอดหญิงงามน้อยที่กินเก่งจนน่าตกใจออกไป แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

แต่ว่าโชคดีที่สวรรค์ยังมีเมตตาธรรมอันดี เขาจะไม่กินไม่เข้าห้องน้ำไม่ถ่ายเลยได้หรือ

เจ้าเด็กทั้งสามต้องไปทำธุระหนักกันแล้ว

ขันทีหลิวเอากระโทนมาตั้งเรียกกัน เด็กทั้งสามก็นั่งเรียงกันเป็นแถว

“ไม่มีที่เช็ดก้น ท่านพอเอาที่เช็ดก้นที!”

พูดจบ ยิ่นอ๋องก็วิ่งตัวปลิวออกจากเรือนไปทันที เขามาถึงกำแพงที่ล้อมรอบอยู่ ปีนขึ้นกิ่งต้นไห่ถัง แล้วปีนข้ามกำแพงไป

แต่กระนั้นในขณะที่เขากำลังเตรียมจะปีนข้าวกำแพงไปนั้น กลับต้องสิ้นหวังเมื่อเห็นเด็กทั้งสามยกกระโปรง ชูทีเช็ดก้น ยืนเงยหน้ามองเขาอยู่นอกกำแพง

ข่าวใหญ่โตเช่นนี้ ย่อมรู้ไปถึงในวังอย่างรวดเร็ว

ฮ่องเต้กำลังวางหมากอยู่กับจีหมิงซิว พอได้ยินที่ฝูกงกงรายงาน ก็หัวเราะออกมาอย่างไม่เห็นเป็นสาระ “ยังมีเรื่องเช่นนี้ด้วย”

ฝูกงกงเอ่ยทอดถอนใจว่า “ใช่พ่ะย่ะค่ะ บ่าวก็ตกใจเช่นกัน ท่านยิ่นอ๋องระวังเนื้อระวังตัวมาตลอด เหตุใดถึงไปมีสัมพันธ์กับสตรีจากชนเผ่าเกาเย่ว์ได้”

ฮ่องเต้ส่งเสียงหึทีหนึ่ง ฟังไม่ออกว่ากำลังรู้สึกอย่างไร

จีหมิงซิวก็ไม่พูดอะไร แค่เพียงวางหมากในมือลงเงียบๆ

“มั่นใจว่าเป็นสตรีจากชนเผ่าเกาเย่ว์?” ฮ่องเต้ถาม

ฝูกงกงเอ่ยว่า “ไม่น่าผิดไปได้พ่ะย่ะค่ะ คุณหนูจวนแม่ทัพตัวหลัวยังลงไม้ลงมือกับนางแล้วเลย”

ฮ่องเต้เห็นขัน “นังหนูตัวแสบนั่น! ใครเพลี้ยงพล้ำ”

ฝูกงกงยิ้มแห้ง “คุณหนูตัวหลัวสู้คุณหนูชนเผ่าเกาเย่ว์ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”

“นี่หรือบุตรสาวตัวร้ายของจวนแม่ทัพแห่งต้าเหลียง แม้แต่เด็กสาวจากเกาะแร้นแค้นก็ยังสู้ไม่ได้” ฮ่องเต้ส่งเสียงจึ๊ๆ พลางส่ายหน้า แล้ววางหมากตัวหนึ่งลง “หมิงซิวเห็นว่าอย่างไร”

นิ้วเรียวยาวของจีหมิงซิวหยิบหมากสีดำขึ้นมา เม็ดสีดำมันมันวาว ทำให้ปลายนิ้วของเขาขาวผ่องราวกับหยก “ฝ่าบาททรงถามถึงวิชาต่อสู้ของคุณหนูชนเผ่าเกาเย่ว์ หรือถามถึงความสัมพันธ์ระหว่างนางกับท่านยิ่นอ๋องหรือ”

“หากถามทั้งสองเรื่องเล่า” ฮ่องเต้ถาม

จีหมิงซิววางหมากตัวหนึ่งลง “กระหม่อมได้ยินว่าเกาะที่ชนเผ่าเกาเย่ว์อยู่ สภาพแวดล้อมเลวร้ายมาก คนที่ร่างกายอ่อนแอหากอยู่บนเกาะแทบจะอยู่ไม่ถึงโตด้วยซ้ำ พวกเขาฝึกวเชาต่อสู้ แต่ลุคนล้วนเป็นยอดฝีมือแห่งยุทธภพ ไม่มีอะไรน่าแปลกใจ”

“หากกล่าวเช่นนี้ก็ไม่ใช่นักฆ่าแล้วสิ” ฝ่าบาทก็วางหมากตัวหนึ่งลง “ว่าต่อไป”

จีหมิงซิวเอ่ยต่อว่า “ฝ่าบาทยังทรงจำเรื่องที่ยิ่นอ๋องหลับนอนกับคุณหนูนางหนึ่งเมื่อหกปีก่อนได้หรือไม่”

ฮ่องเต้ยิ้มบางๆ “บุตรชายผู้นี้ของข้า กระทำเรื่องเหลวไหลมากมาย เจ้าหมายถึงเรื่องใดเล่า”

“ที่โด่งดังเป็นที่รู้กันทั่วเมืองน่ะพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้อึ้งไป “เจ้าหมายถึงสตรีที่ฮองเฮาให้หมั้นหมายกับเจ้าน่ะหรือ”

จีหมิงวิวเอ่ยว่า “นั้นแลพ่ะย่ะค่ะ”

เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ ฮ่องเต้ก็รักษาสีหน้าไว้ไม่อยู่อีก บุตรชายของตนหลับนอนกับคู่หมั้นของน้องชายลูกพี่ลูกน้องตนเอง คิดอย่างไรก็สู้หน้าน้องชายลูกพี่ลูกน้องผู้นี้ไม่ได้ ฮ่องเต้เอ่ยด้วยสีหน้าไม่สู้ดีว่า “ไม่ได้ผ่านไปแล้วหรอกหรือ เหตุใดอยู่ดีๆ ถึงเอ่ยถึงนางขึ้นมาอีก”

จีหมิงซิวเอ่ยเรียบๆ ว่า “ยิ่นอ๋องกับนางไม่ได้มีอะไรกัน”

ฮ่องเต้อึ้งไป “ไม่ได้มีอะไรกัน ครั้งนั้นข้าเองก็อยู่ในค่าย เห็นกับตาว่านางออกมาจากกระโจมของเจ้าเจ็ด”

จีหมิงซิวจึงเอ่ยว่า “นางเป็นเพียงแพะรับบาปเท่านั้น ถูกคนจับโยนเข้าไปในกระโจมของยิ่นอ๋อง เกรงว่าแม้แต่ตัวนางก็ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น”

ฮ่องเต้หันไปมองจีหมิงซิวอย่างไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

จีหมิงซิวเอ่ยว่า “เรื่องในคืนนั้น จะว่าไม่มีอะไรก็ไม่มีอะไร ก็แค่มีคนร่วมหลับนอนกับยิ่นอ๋องมาหนึ่งราตรี หลังจากนั้นกลับให้เฉียวซื่อมารับผิดแทน”

“หา…” ฮ่องเต้ตกใจหนัก

จีหมิงซิวแค่จะเอ่ยเพียงเท่านี้ “หากฝ่าบาททรงอยากทราบรายละเอียดมากกว่านี้ สู้ให้คนไปถามจากคุณหนูชนเผ่าเกาเย่ว์จะดีกว่า คิดดูแล้ว นางเที่เป็นตัวต้นเรื่อง คงจะยินดีเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฝ่าบาทฟัง”

ฮ่องเต้จังประเด็นอะไรได้ ถึงเอ่ยว่า “ช้าก่อน เจ้าหมายถึง…คนที่ยิ่นอ๋องอยู่ด้วยในคืนนั้น แท้จริงแล้วก็คือคุณหนูชนเผ่าเกาเย่ว์ผู้นี้หรือ”

“พ่ะย่ะค่ะ”

เช่นนั้นคงเรื่องใหญ่แล้ว…

แม่ทัพตัวหลัวตะโกนเรียกอยู่ในจวนยิ่นอ๋องอยู่เป็นครึ่งค่อนวันแล้วยังไม่เป็นตัวยิ่นอ๋องเสียที จึงโกรธเกรี้ยวไม่หาย จึงเข้าฟังไปขอเข้าเฝ้าฝ่าบาทเสียเดี๋ยวนั้น แต่กลับได้รู้ว่าฝ่าบาทไม่สู้จะสบายดีนัก จึงเข้าไปพักผ่อนแล้ว

จีหมิงซิวเดินออกมาจากตำหนักบรรทมของฮ่องเต้ แล้วออกจากวังไปทางประตูเหนือ

อันที่จริงยิ่นอ๋องจะแต่งงานกับตัวหลัวจื่ออวี้หรือสตรีนางอื่น ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขาทั้งสิ้น แต่ยิ่นอ๋องจำต้องอธิบายให้คุณหนูจากชนเผ่าเกาเย่ว์ได้เข้าใจ เพราะมีเพียงทางนี้เท่านั้น ถึงจะทำให้เรื่องในปีนั้นเป็นที่กระจ่างต่อคนทั่วหล้า ส่วนเฉียวเวยก็จะได้หลุดจากคำครหาเสียที

พอพ้นคืนนี้ไป ฝ่าบาทจะสืบสาวเรื่องในไปนั้นให้แน่ชัดแล้วกระมัง จู่ๆ เขาก็รู้สึกรอคอยที่จะได้เห็นปฏิกิริยาของฮ่องเต้หลังจากได้รู้ความจริงขึ้นมา ว่าจะพระราชทานสมรสให้เขากับเฉียวเวย จะพระราชทานสมรส หรือจะพระราชทานสมรสกันนะ

ใต้เท้าอัครเสนาบดีก้าวขึ้นรถม้าด้วยอารมณ์ทีพอตัว

“ไปไหนหรือขอรับ นายน้อย?” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเอ่ยถามอย่างเกียจคร้าน

จีหมิงซิวเอ่ยกลั้วหัวเราะ “ขึ้นเขา ไปคารวะท่านใต้เท้าพ่อตา!”

มุมปากเยี่ยนเฟยเจวี๋ยกระตุกขึ้นอย่างรุนแรง คำก็พ่อตาสองคำก็พ่อตา คนเขารับปากจะยกบุตรสาวให้แล้วหรือ อย่าลืมเสียว่าหนังสือหมั้นหมายนั่นถูกทับอยู่ใต้สระน้ำนู่น ชั่วชีวิตนี้คงหาขึ้นมาไม่ได้แล้ว!

รถม้าเคลื่อนไปถึงหมู่บ้าน จอดอยู่ตรงตีนเนิน

คงเพราะมาบ่อยแล้ว เด็กในหมู่บ้านเห็นรถม้าของจีหมิงซิวยังไม่รู้สึกกลัว มีเด็กที่เล่นจนน้ำมูกไหล โคลนเลอะเต็มตัววิ่งเข้ามา เอาขาเหยียบที่ล้อรถทีหนึ่ง ก่อนจะรีบชักขากลับไปราวกับถูกไฟดูด!

เด็กๆ ที่ล้อมอยู่พากันหัวเราะลั่น

เจ้าเด็กแสบน้ำมูลไหลคนนั้นทำใจกล้าเดินเข้าไปอีกที คิดจะเหยียบที่กีบม้าทีหนึ่ง เยี่ยนเฟยเจวี๋ยวตีหน้าดุดัน จนเด็กแสบน้ำมูกไหลตกใจ ร้องลั่นก่อนจะวิ่งหนีไป!

จีหมิงซิวลงจากรถม้าแล้วเดินขึ้นเนินไป

เด็กน้ำมูกไหลคนนั้นเห็นว่าเขาดูไม่ดุดัน จึงค่อยๆ เดินตามไป เอามือลูบอาภรณ์สีสาวสะอาดของเขาทีหนึ่ง อาภรณ์สีขาวพลันปรากฏเป็นรอยมือดำๆ อย่างรวดเร็ว

สายตาจีหมิงซิวพลันเย็นยะเยือก หรี่ตาลง ในขณะที่กำลังจะจับเด็กคนนี้โยนออกไป อีกด้านหนึ่ง เฉียวเจิงก็เดินลงเนินมาแล้ว

จีหมิงซิวรีบฉีกยิ้มกว้าง มีที่เตรียมจะจับโยนออกไป เปลี่ยนไปลูบศีรษะที่มันเยิ้มของเขาแทน ลูบเสร็จ ตัวเขาพลันรู้สึกไม่ดี แต่สีหน้าเขายังคงดูไม่มีอะไรแปลกไปสักนิด เขาหยิบกล่องขนมน้ำตาลลงมาจากบนรถ แล้วส่งให้เขาเม็ดหนึ่ง

เด็กคนอื่นๆ พอได้เห็นเขาได้ขนมน้ำตาล ก็เลยกรูกันเข้าไปห้อมล้อมจีหมิงซิวไว้

จีหมิงซิวแจกจ่างขนมน้ำตาลให้ทุกคนคนละเม็ด ช่างมีน้ำใจเหลือเกิน!

เฉียวเจิงพอใจกับสิ่งที่ลูกเขยในอนาคตกระทำอย่างมาก เขาเดินเข้ามา ดึงเด็กเหล่านั้นออกไป “พวกเจ้าดูสิ ทำเสื้อผ้าคุณชายหมิงเลอะเทอะหมดแล้ว ไปเล่นที่อื่นเลย ไปเร็ว”

พวกเด็กๆ ไม่ยอมไป เอาแต่จับจ้องขนมน้ำตาลในมือจีหมิงซิว กลัวว่าหากตนไปแล้ว อีกเดี๋ยวเขาจะให้เด็กที่ยังอยู่อีก

จีหมิงซิวเลยเอากล่องขนมให้พวกเขาไปเลย พวกเด็กๆ พอได้ขนมก็วิ่งกันไปอย่างรวดเร็ว

“นายท่านเฉียวนี่จะไปไหนหรือ” จีหมิงซิวเห็นตะกร้าที่หลังของเฉียวเจิง จึงเอ่ยถาม

เฉียวเจิงตอบว่า “ข้าจะไปเด็ดสมุนไพร”

จีหมิงซิวชะงักไป “ข้าเองก็อยากหาสมุนไพรตัวหนึ่งเช่นกัน ขอตามนายท่านเฉียวไปเผื่อจะบังเอิญเจอก็แล้วกัน”

เฉียวเจิงถามว่า “เจ้าจะหาสมุนไพรอะไร ข้าจะดูให้ว่าตอนนี้ข้ามีหรือไม่”

“หญ้าจื่ออิ๋ง”

ท่านต้องไม่มีแน่

เฉียวเจิงทำท่าใช้ความคิด “หญ้าจื่ออิ๋งไม่ใช่สมุนไพรที่มีในต้าเหลียง ซ้ำยังต้องฤดูหนาวถึงจะมี เจ้าขึ้นเขาไป เกรงว่าก็คงยากจะหาพบ”

ก่อนที่จีหมิงซิวจะมา เขาให้จีอู๋ซวงทำการบ้านมาอย่างดี จึงไม่กลัวจะเผยพิรุธสักนิด “ข้าเองก็ได้ยินหมอในยุทธภพคนหนึ่งบอกว่า เขาเคยพบหญ้าจื่ออิ๋งแถวนี้มาก่อน เพียงแต่จุดที่มันขึ้นอยู่สูงขันเกินไป เขาเด็ดไม่ถึง ถึงได้ยอมแพ้ไป”

หญ้าจื่ออิ๋งเติบโตอยู่บนหน้าผาที่สูงชันจริงๆ เฉียวเจิงจึงเชื่อในสิ่งที่จีหมิงซิวพูดมากขึ้นหลายส่วน “ผลสองภพก็หาใช้พื้นที่ขึ้นในต้าเหลียง แต่ครั้งนี้กลับมาปรากฏอยู่บนเกาะโดดเดี่ยวของจวนไท่ซือ คิดดูแล้วไม่ว่าเรื่องใดก็คงมีข้อยกเว้น เข้าลองตามข้าขึ้นเขาไปเสี่ยงดวงดูก็แล้วกัน”

ตะวันเริ่มตกดิน เฉียวเวยเก็บเสื้อผ้าที่ต่างอยู่ในลาน ป้าหลัวยกส้มสองตะกร้าเข้ามา “ที่ปลูกเองตรงเรือนหลัง เปรี้ยวนิดหน่อย แต่ส้มประเภทนี้เขาก็กินกันแบบเปรี้ยวๆ นี่ล่ะ”

เฉียวเวยหอบผ้าเอาไว้ แล้วรับตะกร้าจากนางมา “ขอบคุณแม่บุญธรรมมาก”

“ขอบคุณอะไรกัน” ป้าหลัวช่วยเฉียวเวยพับเสื้อผ้า “ข้าเห็นพวกนางท่านสองคนแล้ว”

มือที่พับเสื้อผ้าอยู่ของเฉียวเวยพลันชะงัก “นายท่าน สองคน?”

ป้าหัวยิ้มกว้าง “ก็พ่อเจ้ากับคุณชายหมิงน่ะสิ เขามาถึงก็ขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรเป็นเพื่อนพ่อเจ้า ข้าว่าพ่อเจ้าคงชอบคุณชายหมิงคนนี้มากจริงๆ”

เฉียวเวยคิดในใจว่า นั่นเพราะเขายังไม่รู้ว่าเป็นพ่อของเด็กๆ น่ะสิ ไว้รอรู้ก่อนเถอะ น่ากลัวว่าคงได้เอากระดานซักผ้ามาวางสักสิบเจ็ดสิบแปดอันไว้รอให้หมิงซิวคุกเข่าลง

ระหว่างที่ทั้งสองคุยกัน พ่อตาลูกเขยก็กลับมาพอดี ทั้งพูดคุย ทั้งหัวเราะ ปานประหนึ่งพ่อลูก

สองมือเฉียวเจิงว่างเปล่า ตะกร้าใส่สมุนไพรสะพายอยู่บนหลังจีหมิงซิว

“ท่านพ่อ พวกท่านกลับมาแล้ว” เฉียวเวยเอ่ยทักทาย

เฉียวเจิงตบบ่าจีหมิงซิว เอ่ยด้วยความดีใจว่า “วันนี้ได้คุณชายหมิงมาช่วย เก็บสมุนไพรมาได้ไม่น้อย”

เฉียวเวยมองตะกร้าที่หนักอึ้งแล้ว สายตาสั่นไหวเล็กน้อย “ท่านพ่อไม่ได้มีจูเอ๋อร์หรือ”

เฉียวเจิงส่งเสียงเฮ่อทีหนึ่ง “จูเอ๋อร์หนีไปเล่นซนแล้ว”

“ท่านก็ชอบตามใจเจ้าลิงนั่นเรื่อย” เฉียวเวยพูดพลางลุกขึ้นไปช่วยจีหมิงซิวเอาตะกร้าลงจากหลัง

จีหมิงซิวกลับกันมือนางไว้ “ข้าทำเอง” เขาหันไปพูดกับเฉียวเจิงว่า “ท่านลุง ให้วางในห้องท่านหรือไม่”

คำเรียกขานเปลี่ยนจากนายท่านเฉียวมาเป็นท่านลุงแล้ว!

ท่านลุงเฉียวตอบรับทันที “ใช่ วางไว้ในห้องข้าเลย เดี๋ยวข้าค่อยไปจัดการ จะเอาไปตากแห้งแล้วจะได้เก็บเข้าลิ้นชักยาไป”

จีหมิงซิวเอาตะกร้าไปวางในห้องเฉียวเจิงให้อย่างเอาใจใส่

เฉียวเวยตักน้ำมาสองกะละมัง ส่งผ้าสะอาดผืนหนึ่งให้เฉียวเจิง “นี่เพิ่งรู้จักกันได้กี่วันเอง ก็สนิทกันเพียงนี้แล้วหรือ”

เฉียวเจิงหัวเราะหึหึๆ “ใครว่าเพิ่งรู้จักกันไม่กี่วัน ข้ากับคุณชายหมิง รู้จักกันมานานกว่ารู้จักกับเจ้าอีก!”

“ตั้งแต่เมื่อไรกัน เหตุใดข้าถึงไม่รู้” เฉียวเวยไม่เข้าใจ

จะว่าไปก็นานมาแล้ว เรื่องสมัยฤดูใบไม้ผลิกระมัง” เฉียวเจิงม้วนผ้าเช็ดหน้า ระว่างที่เช็ดเหงื่อตรงหน้าผาก ก็พูดไปด้วยว่า “ตอนนั้นข้ายังสติไม่ปรอดโปร่ง จำเจ้าไม่ได้ ข้าไปพบจิ่งอวิ๋นเข้า จิ่งอวิ๋นสลบอยู่ริมแม่น้ำ ข้าอุ้มจิ่งอวิ๋นเข้าไปในถ้ำ ตอนที่รักษาอาการป่วยให้จิ่งอวิ๋นอยู่นั้น คุณชายหมิงก็มาตามหา บอกว่าจิ่งอวิ๋นเป็นบุตรชายของเขา ข้าจำผิดว่าจิ่งอวิ๋นเป็นเจ้า เป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมให้ตัวเขาไป ตอนหลังอุ้มเด็กออกจากถ้ำไป แล้วบังเอิญไปพบหมีตาบอดในป่าเข้า ข้ากับจิ่งอวิ๋นเกือบกลายเป็นเหยื่อของมัน ดีทีได้คุณชายหมิงช่วยพวกเราเอาไว้ ตอนนั้นจู่ๆ ข้าก็มาคิดได้ว่าลูกข้าเป็นลูกผู้หญิง ไม่ใช่ผู้ชาย เด็กคนนี้เป็นลูกของเขา ข้าเลยเอาตัวจิ่งอวิ๋นให้เขาไป…”

เฉียวเวยได้ฟัง ใจก็กระดอนขึ้นมาถึงลูกกระเดือก

หยุดคิดต่อ หยุดคิดต่อ หยุดคิดต่อเดี๋ยวนี้…

เฉียวเจิงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ข้าเอาลูกชายเขาคืนให้เขา… ลูกชายเขา ลูกชายเขา…”

เฉียวเจิงพึมพำ ก่อนจะคิดบางอย่างขึ้นมาได้ รอยยิ้มจึงพลันแข็งค้าง “จิ่งอวิ๋นเป็นลูกชายของเขา?!”