บทที่ 577 ถังมู่หวั่นเหมือนใครบางคนเป็นที่สุด

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บทที่ 577 ถังมู่หวั่นเหมือนใครบางคนเป็นที่สุด

แต่ก้าวขึ้นเรืออย่างรวดเร็ว นาทีนั้นที่เหยียบขึ้นเรือ มือที่อ่อนช้อยข้างหนึ่งคว้าแขนของเขาไว้ เกรงว่าเขามองไม่เห็นจะยืนไม่มั่นคง

ความอบอุ่นในใจของเย่แจ๋หยิ่งทะลักขึ้น

พยายามเก็บเอาการกระทำของทั้งสองคนในดวงตา มือที่ยื่นออกไปต้องการจะพยุงเย่แจ๋หยิ่ง ถอนกลับไปเงียบๆ เปล่งเสียงไม่พอใจอย่างเย็นชา ไม่ต้องให้คนอื่นเรียก ก็ขึ้นเรืออย่างรวดเร็ว

“ท่านขึ้นมาทำไม?” หลานเยาเยาเหลือบมองไปทางเย่หลีเฉิน

เย่หลีเฉินเอามือไขว้หลัง เชิดหน้ายืดอก เมื่อเงยหน้า ชำเลืองมองไปที่ไกลๆ : “เหมือนกับเจ้า ชื่นชมสาวงาม”

“ท่านไปไม่ได้ สะดุดตาเกินไป”

เย่หลีเฉินเหลือบไปทางเย่แจ๋หยิ่งที่งามสง่าดั่งเทพเซียน ตอนนี้ปิดตาด้วยผ้าแดง ก็เพิ่มความงดงามที่เย็นชา งดงามจนเหมือนภาพลวงตา

แล้วมองซ่างกวนหนานซู่อีก เสื้อผ้าสีอ่อน ไม่โบราณเกินธรรมดา สง่างามสุภาพ จะมองอย่างไรก็ล้วนเป็นความสง่างามที่บริสุทธิ์ไร้จุดด่าง

อดไม่ได้ที่จะโมโหเล็กน้อย

ยังกล้าพูด ใครสะดุดตากันแน่?

“ที่ข้าพูดก็คือเครื่องแต่งกายของท่าน สีเหลือสว่าง รูปมังกรทรงพลัง คือกลัวว่าคนอื่นจะไม่รู้ว่าท่านฮ่องเต้องค์ใหม่ผู้สูงส่งในชุดลำลองเสด็จเป็นการส่วนตัวหรือ?”

“……” นี่……

ถูกคนอื่นชี้ออกมา เย่หลีเฉินมองดูการแต่งตัวของตัวเอง แม้ว่านี่ไม่ใช่ชุดมาตรฐานของฮ่องเต้ขณะว่าราชการที่ราชสำนัก แต่สีสันก็เห็นได้อยู่ตรงนั้น ไม่อยากรู้ก็ไม่ได้

“รู้ก็รู้ นี่ก็ไม่มีอะไร ยิ่งไปกว่านั้น เสด็จอายังอยู่ด้วย! หากจะจำได้ก็จำเสด็จอาได้ก่อน เห็นได้ชัดว่าเจ้าไม่อยากให้ข้าตามพวกเจ้า แต่วันนี้ข้าจะตามอย่างแน่นอนแล้ว”

หน้าตาคืออะไร

ก่อนหน้านี้เขาไม่มี ตอนนี้ก็ไม่มี

ทันใดนั้น หลานเยาเยาก็จนปัญญา เพิ่งไม่เจอกันหนึ่งปี เย่หลีเฉินหน้าหนามากถึงขนาดนั้นแล้ว

“เอาเถอะ!”

อย่างไรซะอีกไม่กี่วันนางก็เป็นคนมีชื่อเสียงแล้ว ก็ไม่ได้สนใจว่าจะเร็วไปหนึ่งวันหรือช้าไปหนึ่งวัน

กลางทะเลสาบหนานหู เรือลำใหญ่ที่เคลื่อนที่อย่างช้าๆค่อยๆหยุดลง เงาคนบนเรือเดินไปมา ราวกับว่ายังจะมีการร้องให้ช่วยชีวิต ต่อจากนั้นก็ยิ่งวุ่นวายขึ้นเรื่อยๆ มีบางคนในนั้นถึงขั้นกระโดดน้ำ

รอจนหลานเยาเยาพวกเขาเข้าใกล้ข้างๆเรือใหญ่ เสียงหวาดผวาที่เลือนรางสามารถฟังได้ชัดเจน

“……คนโดนมนต์ดำ เป็นคนโดนมนต์ดำ ทุกคนรีบวิ่ง”

“คุณหนูใหญ่ถังล่ะ? พวกเจ้าใครเห็นนางบ้าง? นางอยู่ด้านในหรือว่าออกมาแล้ว?”

“ไม่รู้สิ? ภายใต้เหตุการณ์แบบนี้ ใครยังสนใจใครอีกล่ะ? หนีเอาชีวิตรอดเถอะ!”

“…….”

เสียงมากมาย สับสนวุ่นวาย แต่คนโดนมนต์ดำสองสามคำนี้ฟังได้อย่างชัดเจน

ได้ยินว่ามีคนโดนมนต์ดำ เย่แจ๋หยิ่งเหาะจากเรือลำเล็กขึ้นเรือลำใหญ่ก่อน เย่หลีเฉินก็ไม่ได้ล้าหลัง เหาะขึ้นไปข้างบนในพริบตา

มีเพียงหลานเยาเยา มองดูความห่างของเรือเล็กและเรือใหญ่ แล้วมองคนพายเรืออีก ยังไม่ได้พูดอะไร ก็เห็นคนพายเรือมองนางอยู่ ในดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว แต่คำพูดกลับทำให้คนตกใจ

“คุณชายไม่เหาะขึ้นเรือลำใหญ่ไปดูหรือขอรับ?”

หลานเยาเยามุมปากกระตุกเล็กน้อยแบบสังเกตไม่ออก ผิวเผินไม่มีความแปรผันใดๆ ท่าทางลักษณะของสุภาพบุรุษ

“ไม่รีบไม่รีบ ค่อยๆเป็นไป คนขับเรือเทียบเข้าไปก็ได้แล้ว”

ถ้านางเหาะได้ ยังต้องรอถึงตอนนี้หรือ? ไม่เห็นเงาคนตั้งนานแล้ว

ขึ้นเรือ คนที่อยู่บนดาดฟ้า ทั้งหมดใช้สีหน้าเห็นผีมองดูนาง

หากว่าพวกเขาว่ายน้ำได้ แทบอยากจะกระโดดลงน้ำไปแล้ว

คนผู้นี้กลับต้องการขึ้นเรือมา เดี๋ยวก่อน ขึ้นเรือ? เช่นนั้นเขาก็นั่งเรือมา? !

คิดถึงตรงนี้ คนที่อยู่บนดาดฟ้ากลุ่มนั้น พุ่งเข้ามาทางหลานเยาเยาอย่างรวดเร็วเป็นที่สุด จากนั้นก็ผ่านหลานเยาเยาไป ต่อจากนั้นอีก เรือลำเล็กที่บรรจุคนได้สี่ห้าคน ถูกคนกลุ่มนั้นฝืนเบียดแน่นแล้ว

มองดูพวกเขาแต่ละคนดิ้นรนอยู่ในน้ำ แล้วมองคนขับเรือหยิบกระบอกไม้ไผ่ฉุดพวกเขาขึ้นเรือทีละคน สุดท้ายคนขับเรือถูกพวกเขาเบียดจนตกลงไป

“แย่แล้ว! คนขับเรือตกน้ำแล้ว พวกเราจะไปอย่างไร?”

“ห๊ะ? คนล่ะ อยู่ไหน? รีบดึงคนขึ้นมา พวกเราพายเรือไม่เป็นนะ!”

“ก็อยู่ตรงข้างก้นของท่าน ข้าเห็นด้วยตาจะๆว่าท่านผลักคนขับเรือลงไป”

“เจ้าเจ้าเจ้า……พูดความจริงเลอะเทอะอะไร รีบคว้าคนขึ้นมารีบไปเถอะ!”

“……”

หลานเยาเยาทุบๆไหล่ ส่ายหน้าอย่างจนปัญญา หมุนตัวก็เดินไปทางในเรือ

ในเรือไม่ได้มืดสลัว อีกทั้งกว้างขวางสว่างไสว เมื่อมองไป ข้างในว่างเปล่าไร้คน แต่ด้านในห้องผู้โดยสารด้านในสุด เสียงโหยหวนเหมือนสัตว์ป่าแว่วมา เหมือนกับเจ็บปวดมาก และเหมือนกับพยายามขัดขืนอย่างที่สุด

หลานเยาเยาเดินเข้าไป ใกล้ๆข้างประตู สำรวจเข้าไปด้านใน

ด้านในมีคนสี่คน อ่อ ไม่ถูก ควรนับเป็นห้าคน ดำหนึ่งเหลืองหนึ่ง คนใช้หนึ่งเจ้านายหนึ่ง ยังมีผู้หญิงที่โหยหวนเหมือนสัตว์ป่าอีกหนึ่ง

สีดำคือเย่แจ๋หยิ่งที่ขอบเสื้อผ้าฝังด้วยด้ายสีทอง เขายืนอยู่ที่นั่นเงียบๆ ทั้งๆที่ตาสองข้างโดนปิดมองไม่เห็น แต่กลับเหมือนว่ามองดูอย่างตั้งใจที่สุด มองดูเหมือนไม่มีอารมณ์อะไร กลับทำให้คนรู้สึกเย็นยะเยือกลึกสุดๆ

ด้านข้างคือร่างที่คลุมชุดสีเหลือง ทำให้สว่างตาเล็กน้อยของเย่หลีเฉิน สายตาเขาค่อนข้างตื่นเต้น สองมือกำหมัดแน่น แฝงด้วยความสั่นเทาเล็กน้อย เหมือนว่ากำลังพยายามกดความตื่นเต้นในใจไว้

นอกเหนือจากนั้นทั้งสาม อยู่ใกล้กัน

คนใช้สวมชุดสีเทา แต่งตัวเป็นคนใช้ แต่รูปร่างที่กำยำของเขา ดูจากท่าทางที่เตรียมเข้าไปทันที เขาเป็นห่วงที่นั่งยองๆที่พื้น คนที่อยู่ใกล้กับผู้หญิงที่ร้องโหยหวนเป็นสัตว์ป่าที่สุด

นางเป็นผู้หญิง ชุดแดงทั้งตัว สีแดงของหยดเลือด สดจนออกเป็นสีดำ การแต่งหน้าเข้มโฉบเฉี่ยว มือหนึ่งถือขาไก่ที่กัดไปครึ่งหนึ่ง อีกมือถือเข็มเงิน กำลังฝังเข็มที่บนร่างของผู้หญิงที่โหยหวน ฝีมือชำนาญว่องไว สีหน้าเคร่งขรึม มุมปากกลับยกเป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์บางๆ

ผู้หญิงคนนั้น นางก็ไม่ได้แปลกหน้า

แต่เป็นถังมู่หวั่นที่ได้รับเรียกขานว่าเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวง

นางในเวลานี้ เปลี่ยนเป็นอีกคนโดยสิ้นเชิง เหมือนกับนางตอนที่ยังเป็นหลานเยาเยากับหลังจากเป็นเทพธิดาแล้วหลอมรวมกัน

พริบตานั้นในสมองของหลานเยาเยาก็นึกถึงคำร่ำลือในตลาด มีคนบอกว่าถังมู่หวั่นป่วยหนักครั้งหนึ่ง มีคนบอกว่าถังมู่หวั่นได้ยินว่าฮ่องเต้องค์ใหม่ต้องการพระราชทานงานแต่งงานกับคนอื่น หลังจากที่ฟื้นจากการรนหาที่ตาย ก็เปลี่ยนท่าทางเป็นพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินเช่นนี้ ฝีมือวิชาการรักษาล้ำเลิศเป็นที่สุด ……

“อ้า……”

ผู้หญิงที่นอนอยู่บนพื้นเหมือนสัตว์ป่าที่โหยหวน ทั้งร่างเส้นเลือดแตก เส้นเลือดออกเป็นสีฟ้าดำ ท่าทางเหมือนคนโดนมนต์ดำ แต่ดวงตาชัดเจน สติสัมปชัญญะยังอยู่ เพราะเจ็บปวดน้ำตาเอ่อล้นที่หางตา

ในไม่ช้าถังมู่หวั่นก็ฝังเข็มเสร็จ เสียงโหยหวนเหมือนสัตว์ป่าของผู้หญิงก็ค่อยๆสงบลง สุดท้ายก็หลับลึกไป

“คุณหนู ท่านไม่ได้รับบาดเจ็บนะขอรับ?”

องครักษ์ที่แต่ตัวเป็นคนใช้ ขึ้นไปด้านหน้าอย่างรีบร้อน ไถ่ถามสถานการณ์ของถังมู่หวั่น

ถังมู่หวั่นค่อยๆลุกขึ้น หันกลับไปมองเขาอย่างขี้เกียจ สีหน้าค่อนข้างเหนื่อยล้า แต่กลับบางอย่างประหลาด ริมฝีปากสีแดงขยับขึ้น :

“ไม่เป็นไร อุ้มคุณหนูกู้ขึ้นไปบนเตียง แจ้งให้คนในครอบครัวนางมา”

“ขอรับ!” หลังจากองครักษ์รับคำสั่ง เคลื่อนย้ายคุณหนูกู้ไปบนเตียง จากนั้นก็หมุนตัวออกไป

เวลานี้

เหมือนกับว่าถังมู่หวั่นเพิ่งจะเห็นพวกเขาเช่นนั้น มองดูเย่แจ๋หยิ่งนิ่งๆแวบหนึ่ง ในแววตามีความเย็นชาแวบผ่าน จากนั้น กัดน่องไก่ที่เหลือหนึ่งคำ ต่อจากนั้นเอากระดูกทิ้งไปนอกห้องผู้โดยสาร ไม่รู้ว่าหยิบผ้าเช็ดมือออกมาจากไหน หลังจากเช็ดก็เอามือสองข้างไว้หน้าหน้าอก เอนพิงกำแพงเรือแล้วกล่าว :

“ที่แท้คือฮ่องเต้กับอ๋องเย่ ยังจะหาพบได้ยากจริงๆ ท่านคนผู้หนึ่งที่ไม่ไช่ว่าควรอยู่ในจวนปิดประตูไม่ออกจากบ้าน อีกผู้หนึ่งอยู่ในพระราชวังยุ่งเรื่องบ้านเมืองจนหัวปั่นหรือ? คิดไม่ถึงกลับปรากฏตัวอยู่ที่นี่ มาเองโดยไม่ได้เชิญมีเรื่องอะไรเพคะ?”

ได้ยินคำพูดและน้ำเสียงของนาง ก็รู้ ถังมู่หวั่นรู้จักพวกเขา

เย่หลีเฉินเก็บความรู้สึกในใจดีแล้ว ค่อยๆขึ้นไปด้านหน้าก้าวหนึ่ง

“พวกเราสามคนมาเที่ยวทะเลสาบ ได้ยินเสียงร้องบนเรือติดต่อกัน จึงเข้ามาดู ได้ยินว่าหลังจากที่นิสัยของคุณหนูถังเปลี่ยนแปลงไปมาก มีบ้างที่ลืมคนสำคัญและเรื่องราวไปมาก คิดไม่ถึงยังจำพวกเราได้”

ถังมู่หวั่นยิ้มอย่างเย็นชา

“เพียงลืมแค่บางเรื่องราวเท่านั้น ก็ไม่ได้เสียความทรงจำทั้งหมด”

พูดจบ นางเคลื่อนสายตามาทาง ผู้ชายแปลกหน้าที่ยืนอยู่ข้างประตู แววตานิ่งเฉย

“คุณชายผู้นี้สบายๆรูปหล่อสง่างาม กลับไม่คุ้นหน้าอย่างมาก ขอถามชื่อสกุลได้หรือไม่?”

ได้ยินดังนั้น หลานเยาเยายิ้มบางๆ เดินไปข้างกายเย่แจ๋หยิ่งอย่างสง่าผ่าเผย ยื่นมือไปดึงแขนเย่แจ๋หยิ่งไว้ กล่าวอย่างหยิ่งผยอง :

“ข้าซ่างกวนหนานซู่ เป็นหมอข้างกายของอ๋องเย่ กล่าวให้ถูก เขาเป็นคนของข้า”

“คนของท่าน?”

แววตาของถังมู่หวั่นเหลือบมองแต่เหมือนไม่ได้มองมือที่ดึงแขนเย่แจ๋หยิ่งไว้ มือข้างนั้นเล็กเรียวผิวขาวละเอียด นุ่มนวลอ่อนช้อย ในพริบตาแววตามีความไม่ปกติแวบผ่าน หายไปอย่างรวดเร็ว แต่หลานเยาเยากลับสามารถหาความโกรธที่หายวับไปเจอได้